บทที่ 6 หวงกุ้ยเฟยผู้โหดร้าย

1889 คำ
เรื่องความลำบากขององค์หญิงใหญ่จิ่นซีนั้นหวงกุ้ยเฟยที่ตอนนี้มีอำนาจดูแลทุกอย่างในวังหลังนั้นรู้ดี แต่ก็แสร้งทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้างแถมยังกีดกันเสี่ยวหลัว อดีตนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาไม่ให้ไปรับใช้องค์หญิงใหญ่ที่ตำหนักท้ายวังด้วย เพราะแต่เดิมนางไม่ชอบฮองเฮาพระองค์ก่อนอยู่แล้วจึงทำทุกวิถีทางเพื่อกลั่นแกล้งทั้งบ่าวข้างกายและธิดาของพระองค์ ขนาดเวลานี้หญ้าที่ปกคลุมหลุมศพของฮองเฮาสูงเท่าเข่าแล้ว แต่ทว่าฮ่องเต้ก็ยังไม่ลืมนางเสียที มิหนำซ้ำฮ่องเต้ยังไม่คิดแต่งตั้งฮองเฮาพระองค์ใหม่ทั้งที่เวลาก็ผ่านเนิ่นนานเจ็ดปีแล้ว ต่อให้เหล่าบรรดาขุนนางต่างถวายฎีกากดดันให้ฝ่าบาทแต่งตั้งฮองเฮา แต่พระองค์ยังมีใจรักต่อฮองเฮาพระองค์ก่อน จึงปัดฎีกาพวกนั้นตกไปเสียทุกครั้ง หวงกุ้ยเฟยจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจแต่ทำอะไรได้ไม่มากนัก ยามที่มองธิดาของอดีตฮองเฮาก็เหมือนกับเห็นอีกฝ่ายมายืนอยู่ตรงหน้า เพราะว่าหน้าตาขององค์หญิงจิ่นซีช่างเหมือนกับฮองเฮาแทบจะถอดแบบกันมาเลยทีเดียว โทสะที่มีทั้งหมดจึงได้เอามาลงกับองค์หญิงใหญ่ผู้นี้แทน อีกทั้งนางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ดูแลองค์หญิงจิ่นซี ก็ล้วนเป็นคนของหวงกุ้ยเฟยทั้งนั้น เรื่องความเป็นอยู่ที่แสนจะลำบากขององค์หญิง จึงไม่เคยเล็ดลอดออกจากตำหนักท้ายวังเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้ฮ่องเต้และไทเฮาไม่เคยรับรู้ความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของนางเลย หวงกุ้ยเฟยนั่งลูบคลำตราหงส์ที่อยู่ในมือพลางพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวังหลัง วันนี้นางจึงเรียกนางกำนัลผู้หนึ่งจากตำหนักท้ายวังมาสอบถามเรื่องความเป็นอยู่ขององค์หญิง ที่เรียกมาถามนั้นไม่ใช่เพราะความเป็นห่วงแต่อย่างใด เป็นเพราะเพียงแค่อยากรู้ว่าชีวิตขององค์หญิงใหญ่ผู้นี้เป็นไปอย่างยากลำบากตามที่นางต้องการหรือไม่ “ตอนนี้จิ่นซีอายุครบเจ็ดหนาวแล้วสินะ นางเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” หวงกุ้ยเฟยถามนางกำนัลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนชวนสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป “เป็นไปตามที่พระสนมวางไว้ทุกประการเพคะ องค์หญิงเติบโตไปตามวัย แต่ร่างกายออกจะซูบผอมไปสักหน่อย ส่วนเรื่องอื่นก็ปกติดีเพคะ” นางกำนัลผู้นั้นรายงานตามความเป็นจริง “ปกติดีอย่างนั้นหรือ ถ้าปกติก็แปลว่าไม่ได้ลำบากอย่างนั้นสิ เห็นที่เราต้องเพิ่มความลำบากให้นางเสียหน่อยแล้ว เจ้าว่าควรทำอย่างไรดี” หวงกุ้ยเฟยเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนักที่ธิดาของฮองเฮาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ยิ่งคิดถึงหน้าฮองเฮาผู้จากไปนางก็ยิ่งแค้นใจจนอยากที่จะกลั่นแกล้งองค์หญิงจิ่นซีขึ้นมา นางกำนัลที่คิดว่าเพียงเท่านี้องค์หญิงก็อยู่อย่างยากลำบากจนไม่มีทางไปแล้ว ทว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยกลับยังคงคิดที่จะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ นั่นไม่ยุติธรรมกับองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่านางจะไม่ค่อยชอบองค์หญิงสักเท่าไรที่เป็นต้นเหตุให้นางต้องถูกส่งไปอยู่ตำหนักท้ายวัง แต่ทว่าการกระทำของพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็ออกจะเกินไปสักหน่อย จึงได้กล่าวออกไปด้วยเสียงเบา ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “เท่านี้ก็มากพอแล้วกระมังเพคะพระสนม” “จะมาพอได้อย่างไร เมื่อก่อนตอนที่มารดาของนางยังอยู่เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าถูกกดหัวเพียงใด ยามนี้มารดาของนางไม่อยู่แล้ว ข้าจะเอาคืนเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเป็นอะไรไป กลั่นแกล้งเพียงเท่านี้ไม่ได้ทำให้นางตายหรอก หรือเจ้าอยากจะโดนกลั่นแกล้งแทนนางล่ะ ข้าจะได้จัดการกับเจ้าก่อน” หวงกุ้ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวพร้อมกับจ้องมองนางกำนัลอย่างไม่พอใจ นางกำมือแน่นราวกับว่าอยากจะบีบความแค้นที่อยู่ในกำมือนั้นให้แหลก “ไม่นะเพคะ” นางกำนัลคนนั้นตกใจอย่างมาก รีบก้มหน้าหลบสายตาและส่ายหน้าปฏิเสธออกมาอย่างรวดเร็ว “ก็ดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเปลี่ยนชาที่ตำหนักของนาง ให้เป็นชาแบบเดียวกันที่ชาวบ้านทั่วไปดื่มกัน ชาชั้นดีทั้งหลายให้เก็บออกไปให้หมด” หวงกุ้ยเฟยกล่าวออกมาอย่างเข้มงวด “เพคะ” นางกำนัลรับคำอย่างเสียไม่ได้ การเปลี่ยนชาให้เป็นแบบที่ชาวบ้านดื่มนั้นเป็นการลบหลู่เกียรติขององค์หญิงอย่างเห็นได้ชัดเจน ในเมื่อปกติแล้วในวังจะนำเข้าแต่ชาชั้นดีเท่านั้น การทำเช่นนี้ช่างเป็นการปฏิบัติต่อองค์หญิงจิ่นซีไม่ต่างจากบ่าวไพร่เลย แม้แต่นางกำนัลเองยังได้ดื่มชาที่ดีกว่าเสียด้วยซ้ำ “พรุ่งนี้จะเป็นวันที่คนของฝ่ายพัสตราภรณ์มาวัดตัวตัดชุดให้กับเหล่าองค์ชายองค์หญิงใช่หรือไม่” หวงกุ้ยเฟยเมื่อได้กลั่นแกล้งจนพอใจแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาเล็กน้อย เรื่องการตัดเสื้อผ้าขององค์ชายองค์หญิงในวังหลวง นางเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้และยังไม่ได้บอกกับโอรสของนางเรื่องนี้เช่นกัน “ใช่แล้วเพคะ พระสนมจะให้แจ้งกับองค์หญิงจิ่นซีมาวัดตัวด้วยหรือไม่เพคะ” นางกำนัลถามกลับเพราะว่านางยังไม่ได้แจ้งเรื่องนี้กับองค์หญิงจิ่นซี เพราะทุกเรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงจิ่นซีจะต้องมาถามความเห็นจากพระสนมหวงกุ้ยเฟยเสียก่อน การตัดเสื้อผ้าให้กับบรรดาเชื้อพระวงศ์ จะทำกันในทุก ๆ หกเดือน แต่สำหรับองค์หญิงใหญ่นั้นเหมือนกับว่าไม่ได้ตัดชุดใหม่มานานแล้ว เป็นเพราะว่าหวงกุ้ยเฟยไม่ใส่ใจและสั่งไม่ให้คนไปวัดตัวตัดชุดให้นาง “พระสนมเพคะ หม่อมฉันว่าครั้งนี้องค์หญิงโตขึ้นมาก เสื้อผ้าตัวเดิมคงใส่ไม่ได้แล้ว ส่วนที่ใส่ได้ก็มีเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น พระสนมน่าจะเมตตานางดูสักครั้งนะเพคะ อีกอย่างหากวันดีคืนดีไทเฮาเสด็จไปเยี่ยมองค์หญิงที่ตำหนัก แล้วเห็นว่าชุดที่มีอยู่นั้นส่วนมากเล็กและเก่าเกินไป พระสนมเองอาจจะถูกไทเฮาตำหนิเอาได้ว่า ดูแลคนในวังหลังไม่ดีและไทเฮาอาจจะถือโอกาสเข้ามาจัดการเองทั้งหมดทุกเรื่องก็ได้ อย่างนั้นยิ่งจะไม่เป็นผลดีนะเพคะ” เยี่ยหง นางกำนัลคนสนิทของหวงกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้น “อย่างนั้นก็ให้พวกเขาไปวัดตัวตัดชุดให้นางเถอะ ถือเสียว่าข้าเมตตานางบ้างก็แล้วกัน” หวงกุ้ยเฟยได้ฟังอย่างนั้นก็กล่าวออกมาในที่สุด เมื่อนางกำนัลจากไปแล้ว หวงกุ้ยเฟยก็นั่งจิบชาต่ออย่างสุขใจ ในมือยังคงลูบคลำตราหงส์อยู่ตลอด เป็นเพราะว่าตราหงส์นี้ทำให้นางได้มีอำนาจอย่างแท้จริง ถึงแม้จะรู้สึกขัดใจที่ฮ่องเต้ยังไม่ทรงแต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮาเสียทีทั้งที่ก็ควรจะแต่งตั้งนานแล้ว แต่หวงกุ้ยเฟยก็หาได้ท้อไม่ นางจะยังคงผลักดันตนเองต่อไปเพื่อที่จะคว้าตำแหน่งนี้มาครองให้จงได้ หวงกุ้ยเฟยยังไม่ปล่อยวางเรื่องขององค์หญิงผู้เกิดจากฮองเฮา ปีนี้นางอายุครบเจ็ดหนาวแล้ว นั่นก็ถึงเวลาที่จะต้องออกไปอยู่ตำหนักแยก เพราะแต่เดิมตำหนักที่นางอยู่ก็เป็นตำหนักที่ไทเฮาประทานให้ ด้วยศักดิ์ฐานะที่เป็นถึงองค์หญิงใหญ่นั้น นางก็ควรจะที่จะมีตำหนักใหญ่โตเป็นของตัวเอง แต่ทว่าหวงกุ้ยเฟยจะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด นับวันยิ่งเติบโต องค์หญิงจิ่นซีก็ยิ่งมีใบหน้าเหมือนมารดาของนางมากจนหวงกุ้ยเฟยเกรงว่าฮ่องเต้จะพระทัยอ่อน จึงคิดส่งตัวองค์หญิงจิ่นซีไปอยู่ที่ตำหนักซู่ฟาง ซึ่งเป็นตำหนักรวมองค์หญิงที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แต่ถ้าจะกล่าวให้ถูกก็คือเหล่าองค์หญิงที่อยู่ในตำหนักนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากสนมชั้นผิน ไม่ก็องค์หญิงที่สูญเสียมารดาไป แล้วไม่มีผู้ใดอุ้มชู เหล่าองค์หญิงที่ตำหนักซู่ฟางถึงแม้ว่าจะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ได้ดีเลิศ ทว่าก็ยังอยู่กันได้อย่างสบายใจ เพียงแต่ว่าฮ่องเต้จะไม่ทรงเสด็จไปที่นั่น จึงเป็นการยากมากที่องค์หญิงเหล่านี้จะเป็นที่โปรดปรานของบิดา ดังนั้นการคิดให้องค์หญิงใหญ่ไปอยู่ที่ตำหนักซู่ฟาง ก็จะเป็นการตัดหนทางที่จะทำให้พ่อลูกได้พบกัน เพราะถ้าหากว่าฮ่องเต้ได้มีโอกาสได้พบนางแล้วละก็ ด้วยความที่มีหน้าตาที่เหมือนกับฮองเฮามาก อาจจะทำให้ฮ่องเต้คิดถึงฮองเฮาขึ้นมาอีกก็เป็นได้ แม้สถานะขององค์หญิงใหญ่ในยามนี้จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง แต่ดีร้ายอย่างไร นางก็เป็นถึงองค์หญิงที่เกิดกับฮองเฮา การให้นางไปอยู่ที่ตำหนักนั้น ก็เป็นการหยามเกียรติของนางไม่น้อย และนี่ก็เป็นสิ่งที่หวงกุ้ยเฟยต้องการ!! องค์หญิงใหญ่ยามนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง ก็มัวแต่เดินหมากบนกระดานด้วยความเงียบเหงา แต่ผู้อื่นหาได้รู้ไม่ ว่าการฝึกเดินหมากด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กนี้ ทำให้องค์หญิงจิ่นซีมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าผู้อื่น ที่เห็นว่านางเป็นเด็กไม่เอ่ยวาจา ไม่ตอบโต้ใด ๆ นั้น เป็นเพียงเพราะนางไม่อยากมีปัญหา แต่ทว่านางกลับจดจำเอาเรื่องราวที่ผู้อื่นกระทำต่อนางทั้งหมดเอาไว้แล้ว ระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา ไทเฮาแม้ว่าจะไม่เสด็จมาที่ตำหนักท้ายวังแห่งนี้ แต่ก็ทรงมีรับสั่งเรียกองค์หญิงจิ่นซีให้ไปเข้าเฝ้าอยู่บ่อยครั้ง โดยที่หวงกุ้ยเฟยไม่อาจขัดได้ ทุกครั้งที่ไปเข้าเฝ้า ไทเฮาก็จะให้เสี่ยวหลัวนางกำนัลคนสนิทของอดีตฮองเฮาที่ตอนนี้มารับใช้ใกล้ชิดไทเฮาเป็นผู้สอนหนังสือและเรื่องอื่น ๆ ให้กับองค์หญิงจิ่นซี และไทเฮาก็เมตตาประทานหนังสือให้นางหลายต่อหลายเล่ม รวมทั้งกระดานหมากนี้ด้วย “องค์หญิงเพคะ พรุ่งนี้จะมีคนมาวัดตัวตัดชุดให้ในยามเว่ยนะเพคะ” นางกำนัลคนเดิมเดินเข้ามาแจ้งข่าว นางยังไม่ทันรอคำตอบก็เดินออกจากห้องไปแล้ว องค์หญิงจิ่นซีไม่กล่าวว่าอะไร เพียงแต่หยิบหมากสีขาวขึ้นมาตัวหนึ่งแล้ววางลงไป “สีขาวชนะแล้ว!!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม