บทที่ 7 หวังดีหรือกลั่นแกล้งกันแน่

1405 คำ
ในวันฉูซี เพื่อเป็นการฉลองส่งท้ายปีเก่า ทางราชวังได้มีการจัดเลี้ยงอาหารขึ้นเป็นงานเลี้ยงใหญ่โต บรรดาท่านอ๋องและชายา พระสนมจากวังหลังทุกพระองค์ รวมถึงองค์หญิงองค์ชายต่างก็มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ องค์หญิงจิ่นซีเองก็มาร่วมกับเขาด้วยเช่นกัน โดยผู้ที่รับสั่งให้นางมาร่วมงานด้วยคือไทเฮา จนทำให้หวงกุ้ยเฟยไม่อาจขัดรับสั่งนั้นได้ สถานที่จัดงานเป็นลานกว้างตรงหน้าท้องพระโรง ทั่วทั้งลานกว้างถูกจัดตกแต่งไว้อย่างสวยงาม มีโคมไฟ ผ้า และดอกไม้ประดับอยู่เต็มไปหมด โต๊ะเตี้ยถูกจัดเรียงไว้ตามลำดับขั้นของเจ้าของตำแหน่ง นางกำนัลที่นำหน้าที่ดูแลงาน จะเชิญเหล่าเชื้อพระวงศ์ให้ไปนั่งตามที่นั่งของตนเอง ด้วยความที่ไม่อยากให้องค์หญิงใหญ่เป็นที่สนใจของผู้คนมากนัก หวงกุ้ยเฟยจึงได้จัดให้นางนั่งในตำแหน่งที่ไม่สมพระเกียรติและอยู่ไกลออกไปจนเกือบจะสุดท้าย โดยอ้างว่าเพราะไม่รู้มาก่อนว่าองค์หญิงจิ่นซีจะมาร่วมงานด้วย จึงไม่ได้จัดเตรียมที่ไว้ให้ และนี่เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงจิ่นซีได้มาร่วมงานเลี้ยง เพราะก่อนหน้านี้ผู้ดูแลวังหลังอย่างหวงกุ้ยเฟยไม่เคยแจ้งให้นางทราบ พอถึงวันฉูซีของแต่ละปีทีไร หวงกุ้ยเฟยก็มักจะบอกว่าองค์หญิงใหญ่ ไม่สบาย มาร่วมงานไม่ได้เสมอ ครั้งนี้นางได้มาร่วมงานก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก สายตาก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อาหารในงานเลี้ยงดูละลานตาไปหมด ถึงแม้ว่าองค์หญิง จิ่นซีจะหิวมากเพียงใด แต่ก็ยังคงรักษากิริยาเอาไว้ นางไม่ได้รีบกินจนดูตะกละตะกลาม แต่ทว่าก็กินอาหารทุกจานที่นางกำนัลนำมาวางตรงหน้าจนหมด เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้กินอะไรที่มีรสชาติดีถึงเพียงนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญเป็นที่สุด นอกจากอาหารที่ทำให้นางอิ่มอร่อยแล้ว ในงานเลี้ยงยังมีการแสดงหลายชุด องค์หญิงใหญ่ตื่นเต้นมากเนื่องจากไม่เคยเห็นมาก่อน จะว่าไปแล้วทั้งชีวิตของนางนอกจากการเดินหมากคนเดียวแล้ว ก็ไม่เคยได้สัมผัสอะไรเลย นางมองนางรำที่ทำการแสดงอยู่ที่ลานตรงกลางอย่างชื่นชม พลางคิดว่าหลังจากกลับไปตนเองคงต้องไปฝึกร่ายรำเช่นนี้บ้างแล้ว ในขณะที่ทุกคนกำลังชมการแสดงร่ายรำอยู่นั้น หวงกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่เคียงข้างฝ่าบาท ก็มองเห็นองค์หญิงใหญ่ที่นั่งอยู่ไกล ๆ นางมองดูด้วยสายตาที่เหยียดหยาม ในใจก็คิดสะใจว่า ตนเองสามารถทำให้ธิดาที่เกิดกับฮองเฮากลายเป็นคนไร้ความหมายในงานสำคัญเช่นนี้ได้ ผิดกับโอรสของนางที่ตอนนี้โดดเด่นในฝูงชนและได้รับความสนใจจากฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง เมื่อการแสดงร่ายรำจบลง หวงกุ้ยเฟยก็ถือโอกาสช่วงที่ยังไม่มีสิ่งใดมาดึงความสนใจของฮ่องเต้กราบทูลไปว่า “ฝ่าบาทเพคะ ปีนี้องค์หญิงใหญ่ก็อายุครบเจ็ดปีแล้ว ความจริงนางจะต้องย้ายออกไปอยู่ตำหนักของตนเอง แต่หม่อมฉันคิดว่าให้นางย้ายไปอยู่ที่ตำหนักซู่ฟางร่วมกับองค์หญิงรองและองค์หญิงสี่ดีหรือไม่เพคะ” ฮ่องเต้พอได้ยินที่หวงกุ้ยเฟยเอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่ ก็ราวกับว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพระองค์ยังมีธิดาองค์นี้อยู่ เมื่อทอดพระเนตรดูแล้วก็เห็นว่านางนั่งอยู่ไกลมาก แต่อย่างน้อยพอจะมองเห็นใบหน้าของเด็กหญิงผู้หนึ่งที่เหมือนกับอดีตฮองเฮาได้ ตอนที่เห็นองค์หญิงจิ่นซี ภาพของนางก็ทับซ้อนกับอดีตฮองเฮา ทำให้ฮ่องเต้ทรงปวดพระทัยเป็นอย่างมาก ดังนั้นในพระทัยของพระองค์จึงกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างรักและเกลียดชังธิดาองค์นี้ ฮ่องเต้ยังไม่ทันได้ตรัสตอบ หวงกุ้ยเฟยเมื่อเห็นท่าทางลังเลก็กล่าววาจายุแยงต่ออีกว่า “ให้นางย้ายไปอยู่ที่ตำหนักซู่ฟางย่อมจะดีกว่าให้นางแยกตำหนักออกไปนะเพคะ ที่ตำหนักซู่ฟางยังมีองค์หญิงรองกับองค์หญิงสี่ หากองค์หญิงใหญ่ไปอยู่ด้วยอีกคน ก็จะครึกครื้นขึ้น อีกอย่างหากจะให้อยู่ตำหนักท้ายวังต่อไป ก็ออกจะน่าสงสารเกินไปเพราะที่นั่นเปลี่ยวร้างยิ่งนัก” หวงกุ้ยเฟยเอ่ยออกมาพร้อมกับสังเกตสีหน้าของฮ่องเต้ไปด้วย นางเว้นระยะเล็กน้อย เมื่อเห็นพระองค์ยังดูนิ่งเงียบจึงยุแยงต่อด้วยท่าทางเหมือนหวังดีกับองค์หญิงจิ่นซีอยู่ไม่น้อย “ที่ผ่านมาองค์หญิงใหญ่อยู่ในตำหนักท้ายวังพระองค์เดียว สหายสักคนก็ไม่มี คงจะเหงาไม่น้อย หม่อมฉันคิดว่าให้นางได้อยู่กับพี่น้องของนางน่าจะมีความสุขกว่านะเพคะ” ฮ่องเต้ยังไม่ทรงตรัสตอบเพียง แต่สายพระเนตรนั้นยังคงอยู่ที่ธิดาของตนเองอย่างไม่วางตา ความรู้สึกที่สับสนในตอนนี้ทำให้พระองค์ถึงกับตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้คำตอบกับหวงกุ้ยเฟยอย่างไรดี จะว่าไปแล้วพระองค์ไม่ได้ทรงฟังในสิ่งที่หวงกุ้ยเฟยเอ่ยออกมาต่อจากนั้นเลยต่างหาก หวงกุ้ยเฟยเมื่อไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะตรัสอันใด จึงอ้าปากเตรียมที่จะกล่าวยุแยงต่อ ทว่าไทเฮาที่ทรงฟังมาตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เอ่ยคัดค้านขึ้นมา “ข้าไม่เห็นด้วยที่จะให้จิ่นซีย้ายไปอยู่ที่ตำหนักซู่ฟาง เจ้าอาศัยอำนาจอันใดมาจัดการเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้” ไทเฮาตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธกริ้ว พร้อมกับใช้หางตามองมายังหวงกุ้ยเฟย แม้ว่าหวงกุ้ยเฟยจะถือตราหงส์ มีอำนาจในหวังหลังมากเพียงใด แต่อย่างไรก็ยังไม่อาจสูงกว่าไทเฮาที่เป็นพระมารดาของฮ่องเต้ ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายต่างก็คานอำนาจกันมาสักพักแล้ว ไทเฮาเองก็ไม่ได้พึงพอใจหวงกุ้ยเฟยตั้งแต่แรก เพราะว่าตั้งแต่นางได้รับตราหงส์ไปนั้น ก็วางอำนาจใหญ่โตหยิ่งผยองมาตลอด ความสามารถในการดูคนของไทเฮานั้นถือว่าเป็นเลิศ พระนางดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าหวงกุ้ยเฟยไม่ใช่คนดีอะไร ออกจะมีความร้ายกาจมากกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าต้องรับเอาอีกฝ่ายเข้ามาเป็นสนมอีกคนหนึ่ง เพราะเหตุผลทางการเมือง ในเมื่อวันนี้หวงกุ้ยเฟยกล้าเอ่ยเรื่องที่จะส่งธิดาของอดีตฮองเฮาไปอยู่ตำหนักซู่ฟาง หนำซ้ำยังบอกว่าตำหนักที่นางประทานให้กับองค์หญิงใหญ่เป็นตำหนักเปลี่ยวร้างอีก ไทเฮาจึงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก ครั้งนี้จึงคิดจะข่มหวงกุ้ยเฟยต่อหน้าทุกคน เพื่อที่นางได้ไม่กล้ามาต่อกรอีก “ที่หม่อมฉันเสนอเช่นนี้ ก็เพื่อตัวขององค์หญิงใหญ่เองนะเพคะ หม่อมฉันหวังดีกับองค์หญิงใหญ่จริง ๆ หาได้มีผลประโยชน์อันใดไม่” หวงกุ้ยเฟยรีบแก้ตัว เรื่องเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นนั้นนางถนัดนัก ครั้งนี้นางยกเหตุผลมากมายมา ก็เพื่อที่จะทำให้ฮ่องเต้เชื่อว่าสิ่งที่นางทำไปนั้นทำเพราะหวังดีกับองค์หญิงใหญ่จริง ๆ “นี่เจ้ายังมีหน้ามากล่าวว่าทำเพื่อนาง ทำเพราะหวังดีกับนางอีกอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้ามีจุดประสงค์อันใด ที่ผ่านมาเจ้ากลั่นแกล้งนางมาตลอด ข้ายังไม่เอาความ แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะถึงขั้นกลั่นแกล้งนางไม่เลิก ยังจะให้นางไปอยู่ที่ตำหนักซู่ฟางอีก ทั้งที่ตามศักดิ์ฐานะของนาง จะต้องหาตำหนักที่สมเกียรติมาให้อยู่เสียด้วยซ้ำ” ไทเฮาตรัสขึ้นมาอย่างเดือดดาล ที่จริงพระนางอยากจะตรัสมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่ติดที่พระวรกายไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว จึงจำเป็นจะต้องพักหายใจก่อน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม