คืนนี้ยังคงทำให้ลู่เพ่ยรู้สึกใจไม่สงบอีกเช่นเคย ตั้งแต่กินอาหารเย็นเรียบร้อยก็เอาแต่ยืนเหม่อมองออกไปด้านนอก นางมาที่นี่หลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกคุ้นชินอยู่ดี หลายครั้งก็อดนึกถึงภพภูมิปัจจุบันของตัวเองไม่ได้จริงๆ หรือว่าชีวิตในชาติปัจจุบันของนางนั้นได้ตายไปแล้ว ตายไปโดยที่จิตวิญญาณยังจมดิ่งอยู่กับหนังสือที่เปิดอ่าน
เสียงทอดถอนหายใจคล้ายมีเรื่องให้กังวลของผู้เป็นนาย ทำให้มี่ฮวนกับมี่เจี๋ยต้องมองหน้ากันไปมา จนกระทั่งป้าเฉิงอดไม่ได้ต้องเป็นคนเข้ามาพูดคุยกับคุณหนูด้วยตัวเอง
“คุณหนูกังวลเรื่องต้องเข้าวังหรือเจ้าคะ”
นางหันมามองคนเก่าคนแก่ที่ดูแลร่างนี้มาตั้งแต่จำความได้ ฝืนยิ้มทั้งๆ ที่ยิ้มไม่ออก “มีเรื่องใดให้กังวลกัน ข้าจะต้องเข้าวังหรือไม่ ก็ล้วนเป็นการตัดสินใจของท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่ ข้าเป็นแค่บุตรีที่ไร้ค่าในสายตาพวกเขา ได้เข้าวังก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ”
“แต่บ่าวเห็นคุณหนูเป็นทุกข์เหลือเกิน”
“ทุกข์ของเพ่ยเอ๋อ เดี๋ยวข้าจะปัดเป่าให้เอง”
ยังไม่ทันที่ลู่เพ่ยจะเอ่ยปาก สายลมเย็นวูบหนึ่งก็ลอยเข้ามาในห้อง บ่าวรับใช้ใกล้ชิดทั้งสามทำได้เพียงเบิกตาโตหลังจากนั้นก็ทรุดไปกองกับพื้น สิ้นไร้สติ ทำให้เจ้าของเรือนได้แต่มองผู้บุกรุกในยามค่ำด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่า แต่ความรู้สึกหนึ่งกลับเป็นความสบายใจพัดผ่าน คล้ายกับว่าพอได้อยู่กับเขา นางไม่ต้องกังวลใดๆ อีก
“เพ่ยเอ๋อของข้า” เฟยหลิงทอดเสียงอ่อนเรียก ไม่ได้สนใจใบหน้างอง้ำเลยสักนิด เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะคว้ามือบางนุ่มให้เดินไปนั่งบนเตียงด้วยกัน ตบๆ หมอนคราหนึ่งก็ทิ้งตัวนอนเหยียดยาวแล้วพูดทั้งๆ ที่ปิดเปลือกตาลง “นอนลงเถอะ ข้ามีเรื่องคุยกับเจ้ามากมาย”
ลู่เพ่ยมองเตียงครึ่งหนึ่งที่ถูกยึดครองแล้วถอนใจ ความจริงบุรุษและสตรีไม่ควรใกล้ชิดกันถึงเพียงนั้น แต่ดูเหมือนกฎระเบียบต่างๆ จะถูกองค์ชายองค์นี้แหวกขนบธรรมเนียมจนหมดสิ้น ตัวนางเองก็ไม่ใช่หญิงสาวในยุคโบราณสักหน่อย นางมาจากยุคปัจจุบันที่เปิดกว้าง จึงนอนลงเคียงข้างเขาแต่โดยดี หากยังเว้นระยะห่างสักเล็กน้อย
“คนอื่นเขานั่งดื่มน้ำชาพูดคุยกัน แต่ทำไมพอท่านจะคุยกับข้า ถึงได้กลายเป็นนอนคุยไปได้”
“นั่งคุยเอาไว้ใช้กับคนอื่น สำหรับเพ่ยเอ๋อแล้ว นอนคุยเหมาะสมที่สุด”
“ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้า คงยากจะเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้ หลุดมาจากปากขององค์ชายผู้สูงศักดิ์”
“ต่อให้ข้าเป็นองค์ชายสูงศักดิ์ของแคว้นนี้ หรือของใครต่อใคร แต่สำหรับเพ่ยเอ๋อแล้ว ข้าเป็นเพียงบุรุษธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น”
นางอ่อนใจเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา จึงชิงเปลี่ยนเรื่อง “องค์ชายมีอะไรรับสั่ง ก็ทรงตรัสมาเถิดเพคะ”
ในเมื่อนางต้องการเข้าเรื่อง เฟยหลิงก็ไม่ปล่อยให้ผิดหวัง เขาเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้เปิดเปลือกตาขึ้น เผยนัยน์ตาดำขลับดูลึกลับไร้คลื่นลมให้เห็น “เจ็ดวันหลังจากนี้ข้าอาจป่วยตาย”
ลู่เพ่ยนิ่งไปเล็กน้อย จากความทรงจำของนาง องค์ชายหกไม่มีทางป่วยตายแน่ “ทรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้วเพคะ ถ้าหม่อมฉันคาดเดาไม่ผิด เจ็ดวันนี้ต้องพูดว่า องค์ชายตายแล้วฟื้นมากกว่า”
“เจ้ารู้”
“หม่อมฉันไม่อาจหาญรู้อะไรหรอกเพคะ หม่อมฉันก็แค่จำคำสัญญาที่องค์ชายทรงมอบให้เท่านั้น องค์ชายจะตายได้อย่างไร ในเมื่อหม่อมฉันยังไม่หลุดพ้นจากการต้องเป็นสนม ถ้าองค์ชายตายไปตอนนี้ เห็นทีหม่อมฉันต้องลงไปทวงสัญญากับองค์ชายถึงปรโลกแล้ว”
“เจ้ายินดีจะตายตามข้าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันแค่จะบอกว่า องค์ชายตายไม่ได้ต่างหาก”
ไม่ว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นคำลวงหรือไม่ แต่ภายในใจของเฟยหลิงกำลังถูกสะกิดด้วยปลายเล็บของนางทีละเล็กน้อย จนตอนนี้รู้สึกคันยุบยิบอย่างน่าประหลาด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในยามนี้ อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาของตาเฒ่าเซินก็เป็นได้ จึงส่ายหน้าหักห้ามอาการฟุ้งซ่านของตัวเองแล้วตะแคงข้างจ้องมอง ยิ่งมองใบหน้างดงามของนางเท่าไร ก็อดใจขยับปลายนิ้วลูบไล้พวงแก้มนุ่มไม่ได้จริงๆ
“เจ็ดคืนต่อจากนี้ ข้าคงมาหาเจ้าไม่ได้ ฉะนั้นเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ายังคงรักษาสัญญา ในระหว่างนี้เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าจะให้องครักษ์อยู่คุ้มครอง หรือถ้าเจ้าต้องการสิ่งใดก็เรียกใช้พวกเขาได้”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เจ้าช่างว่าง่ายนัก”
ลู่เพ่ยอดแจกค้อนให้ไม่ได้ ก็ในเมื่อเขาดูจริงจัง นางจะล้อเล่นไปทำไมกัน “องค์ชายต้องกลับมาช่วยหม่อมฉันนะเพคะ”
“แน่นอน” เฟยหลิงหักห้ามบางสิ่งบางอย่างที่ก่อตัวไม่ไหวจึงต้องขยับตัวใกล้ชิดนางให้มากหน่อย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของนางที่ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมและก็ดอกไม้ ทำให้เขาต้องสูดหายใจเข้าปอดลึก สุดท้ายก็ต้องล้วงปิ่นปักผมออกมาจากอกเสื้อ “นี่เป็นปิ่นปักผมมุกมรกตจากน้ำทะเลลึก มีตำนานเล่าขานกันว่าเงือกสาวแห่งวังบาดาลเป็นคนเฝ้าทะนุถนอมไข่มุกเก้าเม็ดนี้มาเป็นระยะเวลาหลายพันปี และเม็ดสีแดงเม็ดหนึ่งนั้นเป็นตัวยาล้ำค่าหายาก ทั่วทั้งแผ่นดินมีแค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียว”