3
คำขอร้องของยายเฉลาลักษณ์
ธาวิศวางสายจากยายเฉลาลักษณ์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ น้ำเสียงของท่านเหมือนมีเรื่องร้อนใจเป็นอย่างมาก แถมยังกำชับอีกว่า ให้ไปหาท่านแบบเงียบ ๆ ในตอนหัวค่ำ ห้ามบอกให้ใครรู้โดยเด็ดขาด แม้แต่บุพการีทั้งสองของเขาเอง เมื่อถึงเวลานัดหมาย ชายหนุ่มก็คว้ากุญแจรถแล้วขับออกไปหาผู้เป็นยายในทันที
เรือนไทยหลังงาม ที่เพิ่งผ่านการจัดงานแต่งมาได้สองวัน ดูเงียบเหงาผิดปกติ อีกทั้งผู้เป็นยายยังมีสีหน้าอมทุกข์อยู่ด้วย
“กินข้าวมาหรือยังตาภูมิ” ยายเฉลาลักษณ์ถามคนที่เพิ่งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้รับแขก
“ยังไม่ได้กินเลยครับคุณยาย กะว่าจะมากินฝีมือคุณยายนี่แหละครับ”
“ยายแก่แล้วไม่มีแรงไปทำกับข้าวหรอก ฝีมือยัยภาเขาโน่น เดี๋ยวให้น้องตั้งโต๊ะก่อนค่อยไปกินกันนะ”
“ครับคุณยาย ว่าแต่คุณยายมีธุระสำคัญอะไร ถึงได้เรียกผมมาหาแบบเงียบ ๆ ดูมีลับลมคมในมากเลยนะครับ นี่ขนาดคุณแม่ถามผมยังต้องโกหกเลยนะครับ ว่าไปหาเพื่อนในตัวจังหวัด” คนไม่ชอบการโกหก พูดแบบรู้สึกผิดต่อมารดาขึ้นมา
“ยายขอโทษตาภูมิด้วย ที่ทำให้ต้องหลอกแม่มาแบบนี้ แต่ว่าเรื่องที่ยายอยากขอร้องภูมินั้น ยายไม่อยากให้พ่อแม่ของเรารู้ อยากให้เป็น แค่เรื่องของยายกับภูมิแค่สองคน”
“คุณยายกับผมแค่สองคนอย่างนั้นเหรอครับ” ธาวิศเห็นสีหน้าของผู้เป็นยายเคร่งเครียดขึ้น เหมือนเรื่องที่กำลังจะถูกเอ่ยออกมานั้น มันสำคัญต่อท่านเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้วภูมิ” ยายเฉลาลักษณ์ตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ทำให้คนเป็นหลานรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เลยหาเรื่องอื่นมาชวนท่านคุย
“เอ่อ เหรอครับ ว่าแต่ไอ้ดลอยู่ไหนครับคุณยาย มานี่ผมยังไม่เห็นมันเลย” เพราะอายุห่างกันแค่สองปี ดลธีจึงเหมือนเพื่อนมากกว่าน้องชาย
“นี่แหละต้นตอของเรื่องทั้งหมด ที่ยายอยากขอร้องภูมิ”
ธาวิศยืดตัวขึ้นตรง แล้วมองหน้าผู้เป็นยายอีกรอบ คราวนี้เขาไม่เบี่ยงประเด็น หรือพูดเล่นกับท่านอีกต่อไปแล้ว
“บอกผมมาตรง ๆ เลยครับคุณยาย ผมพร้อมที่จะฟังเรื่องของเราแล้ว”
ระหว่างที่นั่งฟังเรื่องของเรา จากปากของยายเฉลาลักษณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ธาวิศก็หน้าเคร่งเครียดตามผู้เป็นยายไปด้วย มีหลายครั้ง ที่เขาแย้งท่านไปเรื่องความเหมาะสม แต่ท่านก็ตอบกลับมาด้วยความจริง เรื่องการสืบสกุลโศภิตอำไพ ซึ่งหนึ่งในลูกหลานอย่างเขา ก็ต้องตระหนักถึงหน้าที่นี้ด้วยเหมือนกัน
“ยัยภาเป็นคนอื่นแท้ ๆ ยังยอมเสียสละเพื่อโศภิตอำไพของเรา ภูมิเป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูล จะไม่ยอมเสียสละตัวเอง เพื่อช่วยยายบ้างเหรอลูก”
คำพูดประโยคนี้แหละ ที่ทำให้คนเป็นหลานโดยสายเลือดอย่างธาวิศ ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิด ทำไมเขาต้องมาตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วย
“ผมมีลิลอยู่แล้วทั้งคนนะครับคุณยาย ผมนอกใจลิลไม่ได้หรอกครับ” คำปฏิเสธของเขา ทำให้ยายเฉลาลักษณ์หน้าเศร้าลงทันตา
“เรื่องนี้จะเป็นความลับนะภูมิ มีแค่ยายกับภูมิแล้วก็ยัยภาแค่นั้นที่รู้” แต่ก็พยายามหว่านล้อมเขาใหม่
“น้องภาจะไม่พูดไปเหรอครับคุณยาย เรื่องแบบนี้น้องภาเป็นคนเสียหาย วันข้างหน้าหากผมแต่งงานไปแล้ว น้องภาจะมาเรียกร้อง ความรับผิดชอบอะไรจากผมอีกไหม ผมไม่อยากอยู่กับความหวาดระแวงแบบนั้นนะครับคุณยาย”
“ยัยภาไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกภูมิ ยายเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ รู้จักนิสัยใจคอของน้องเป็นอย่างดี เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ให้ภูมิลองทำดูก่อนนะลูก ส่วนจะสำเร็จหรือไม่มันก็อีกเรื่องหนึ่ง หลังจากนี้ก็กลับกรุงเทพฯ กลับไปใช้ชีวิตตามปกติของภูมิได้เลย ยัยภาจะไม่ติดต่อ หรือไปรบกวนชีวิตของภูมิแน่นอน ยายรับรองได้”
“แต่ว่าคุณยายครับผม...”
“ภูมิเพื่อโศภิตอำไพของเรา ภูมิจะไม่ช่วยยายเลยเหรอลูก” เป็นอีกครั้งที่ธาวิศต้องจุกอยู่ในอก เขาหลับตาลงแน่น ๆ ก่อนจะตอบยายเฉลาลักษณ์ออกมาเบา ๆ ว่า
“ตกลงครับคุณยาย”
ธาวิศโทรศัพท์กลับไปบอกมารดา ว่าดื่มกับเพื่อนหนักไปหน่อย เลยขอค้างที่บ้านเพื่อนต่อคืนหนึ่ง เขาถูกมารดาต่อว่าเล็กน้อยในตอนแรก ก่อนที่ท่านจะบอกว่าเข้าใจในภายหลัง
มื้อค่ำวันนี้เป็นไปอย่างเงียบ ๆ ยายเฉลาลักษณ์ชวนเขาคุยเรื่องทั่วไป ไม่ได้เจาะจงในเรื่องที่คุยกันก่อนหน้า ยิ่งนิภาก็ยิ่งนั่งเงียบสงบปากสงบคำ
“อิ่มแล้วภูมิก็เข้าไปอาบน้ำ ในห้องของดลได้เลยนะลูก เสื้อผ้าของดลก็น่าจะใส่ได้อยู่นะยายว่า”
“ขอบคุณครับคุณยาย” ธาวิศฝืนยิ้มให้ผู้เป็นยายก่อนจะปรายตา มองคนที่เก็บจานเปล่าเดินเข้าไปในห้องครัว นิภาไม่ปริปากพูดกับเขาแม้แต่คำเดียว ยิ่งทำให้เขารู้สึกหนักใจมากยิ่งขึ้น ปกติก็แทบไม่ได้คุยกันอยู่แล้ว ต้องมาทำบางเรื่องด้วยกันในวันนี้ ก็ชวนอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย
“วันนี้ยายจะเข้านอนเร็ว ภูมิก็ตามสบายนะลูกทำตัวเหมือนอยู่บ้านตัวเองได้เลย เอ่อ ยายขอหลาย ๆ ครั้งนะภูมิจะได้มีลุ้นหน่อย ยายคุยกับยัยภาแล้วน้องเข้าใจดีทุกอย่าง”
“ครับคุณยาย” คำว่าทุกอย่างของยายเฉลาลักษณ์ เต็มไปด้วยความหมายซับซ้อนซ่อนอยู่ ธาวิศมองตามหลังผู้เป็นยายไปด้วยความสับสน นี่เขากำลังจะทำเรื่องผิดต่อลลิสา และกำลังจะทำลายนิภาอย่างเลือดเย็น โดยมีความหวังเดียวของยายเฉลาลักษณ์บีบบังคับอยู่
‘แกต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ไอ้ภูมิ’
ธาวิศอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็หยิบชุดนอนของดลธีออกมาสวมใส่ เขาเดินผ่านห้องของยายเฉลาลักษณ์ ซึ่งตอนนี้ปิดไฟนอนไปแล้ว เป้าหมายของเขาคือห้องปีกซ้ายมือสุด ปลายเท้าหยุดอยู่ที่หน้าห้องยกมือขึ้นหมายจะเคาะ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ เขาไม่จำเป็นต้องเคาะ คนในห้องย่อมรู้อยู่แล้ว ว่าเขาต้องมาในคืนนี้ ยื่นมือออกไปผลักประตูเบาๆ ประตูก็เปิดออกเพราะเจ้าของห้องไม่ได้ลงกลอนไว้
นิภาหันไปมอง คนที่ก้าวเข้ามาในห้องนอนของเธอ ด้วยหัวใจอ่อนยวบ เธอวางหวีที่แปรงเส้นผมลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง มองไปยังเจ้าของใบหน้าคมเข้ม ที่มาพร้อมกับความสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเขา
ในใจของทั้งคู่ ย่อมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย เจ้าของห้องลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปนั่งบนขอบเตียงนอนของตัวเอง ขณะที่ธาวิศก็หันหลังไปลงกลอนประตูห้อง หันกลับมาอีกทีก็ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เขาไม่เคยเห็นนิภาในชุดนอนแสนบางเบาแบบนี้มาก่อน เส้นผมดำขลับถูกปล่อยยาวลงมา รับกับใบหน้าสวยใสตามวัย ทรวดทรงก็โค้งเว้าดันผ้าลูกไม้ออกมา ทำให้เขาใจเต้นได้
“ก่อนทำเรื่องนี้ พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง
“ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาว ให้ขึ้นมองหน้าเขา
“น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลง เหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร
“น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม
“ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง
“ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ”
“ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ”
ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบ ที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภา จนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า
“ระหว่างเรา มันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่