(Talk เหมันต์)
“ไงมึงไอ้เหม เมื่อคืนหายหัวเลยนะมึงอ่ะ” เสียงไอ้บาสเรียกผมมาตั้งแต่ไกล
“อืม” ผมตอบมันแค่นั้นเพราะไม่มีกะจิตกะใจต่อปากต่อคำ สายตากวาดมองหาแต่ไอ้รุ่นพี่บ้านั่น
“เป็นเชี่ยอะไรมึง คาบพี่เอยไปแดกแล้วมาทำหน้าซังกะตาย ทำไมไม่เด็ดหรือไงเล่ามาซิ” มันทำหน้าตาตื่นเต้นเหมือนนักข่าวกำลังสัมภาษณ์ดาราดัง
ผมทำหน้าจ๋อยมองหน้ามัน สีหน้าและความรู้สึกผิดท่วมท้น ตอนนี้ยังไม่อยากเล่าให้มันฟังเลยอยากเจอพี่เอยมากกว่า แล้วหายไปไหนวะ ปกติจะเดินเฉิดฉายมาให้เห็นตลอด พอเวลาอยากเห็นละเสือกไม่โผล่มา
“เอ้า สรุปยังไงที่พนันกันไว้อ่ะ ถ้ามึงไม่พูดจะถือว่ากูชนะมั้ย” ไอ้นี่ยังไม่เลิกตอแยผม ผมเริ่มรำคาญมันแล้วบวกอารมณ์หงุดหงิดในตัวเข้าไปด้วย
“เออ กูแพ้มึง มึงจะให้กูทำอะไร” ผมยอมรับ จริงๆ แพ้ราบคาบเลยด้วย
“เฮ้ยจริงดิ แสดงว่าปากถ้ำไม่ได้กลวงอย่างที่เขาลือกันใช่มั้ย” มันทำหน้าเหลือเชื่อออกมา จริงๆ มันก็เหลือเชื่อแหละ
“อืม แถมไม่พอกูยังเป็นคน…” ผมอึกอักจะพูด แต่ไอ้บาสมันเป็นเพื่อนสนิทผม ถึงแม้มันจะเป็นคนปากมากแต่มันก็ไม่เคยเอาเรื่องผมไปพูดเสียหาย
“เป็นอะไรวะ มึงอย่าอ้ำอึ้ง กูอยากรู้ใจจะขาด มึงกับกูไม่เคยมีความลับ” แหมไอ้เชี่ยนี่ได้ทีเอาคำว่าเพื่อนรักมาใช้ จริงๆ มันก็แค่อยากรู้ป่ะ
“กูเป็นคนแรกของพี่เอย”
พรูด/// ไอ้บาสสำลักน้ำที่กำลังกระดกขึ้นดื่ม
“เชี่ยไรมึงเนี่ยสกปรกมั้ย” ผมปัดน้ำที่มันกระเด็นมาโดนผม
“เมื่อกี้มึงบอกว่ามึงเป็นผู้ชายคนแรก…” ไอ้บาสลืมตัวจนแหกปากออกมา
“ไอ้เชี่ยตะโกนหาพ่อมึงหรอ” ผมดุมันที่กำลังทำหน้าเหวอ เหวอมาก
“ไอ้เหม” น้ำเสียงตรงนี้คือพยายายามย้ำคำถามที่มันถามมาตะกี้
“เออ กูเปิดซิงไอ้รุ่นพี่บ้าพลังนั่น มึงเข้าใจถูกแล้ว”
“พระเจ้าช่วย” ขอสมองกูเรียบเรียงข้อมูลก่อนนะ
.
.
(Talk เอิงเอย)
“ไงมึง คนอย่างมึงไม่เข้าเรียน ฟ้าจะถล่มมั้งอีเอย” เสียงชมพู่เพื่อนสนิทเอ่ยนิ่งๆ ตามสไตร์คุณหนูหน้านิ่ง
“อืม ไม่ค่อยสบาย เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย” ฉันบ่ายเบี่ยงประเด็นใหญ่กับพวกนาง ยังไม่พร้อมจะเล่าว่าโดนหลอกฟันมา
“หึหึ อีกเดี๋ยวมึงจะสบาย หายเป็นปลิดทิ้งเลย ถ้าได้เจอ…” ทำไมพวกมันทำหน้ากรุ้มกริ่มแบบนั้นล่ะ แล้วไอ้ท่าทีชวนสงสัยที่คะยั้นคะยอให้ฉันเข้าเรียนช่วงบ่ายนี่อีก เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เออ เข้าเรียนมั้ย เห็นว่าอาจารย์คนใหม่มาสอนวรรณกรรมอังกฤษไม่ใช่”
ระหว่างเดินเข้ามาที่ห้อง
พวกเพื่อนสองคนของฉันยิ้มกรุ้มกริ่มมองหน้ากัน อะไรของพวกมันว่ะ
“อาจารย์หนุ่มหล่อไฟแรงจบโทจากเมืองนอก” ไอ้ชมพู่ท่าทางกรุ้มกริ่มมาก จากหน้านิ่งๆ
“อาจารย์สุดหล่อต้องมาเป็นขวัญใจสาวๆ แน่ๆ” ไอ้มีนยังพูดเสริมอีก
“เหอะๆ พวกมึงนี่ยังไง พยายามมาบอกให้กูอินไปกับพวกมึงเหรอ จะหล่อขนาดไหนกันว่ะ”
“หล่อไม่หล่อไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ว่าถ้ามันมาทำให้หัวใจด้านชาของมึงตึกตักได้ก็ถือว่าผ่าน” ไอ้มีนยังไม่หยุด
“เหอะๆ ไม่มีใครทำหัวใจกูตึกตักได้ทั้งนั้นอ่ะ ถ้าไม่นับ…” ไอ้เวรสี่ตานั่น เจ็บใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าใจเต้นกับมัน
“อย่าพึ่งพูด มึงดูนั่นก่อน" ไม่มีนชี้ไปที่หน้าชั้นเรียน หลังจากที่พวกเราเลื่อนประตูเพื่อเข้าห้อง
ใบหน้าหล่อเหลาที่ยืนรอนักศึกษาอยู่หน้าโปรเจคเตอร์ เส้นผมดำขลับตัดกับผิวสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาเข้ารูป ตาชั้นเดียวแต่ทรงเสน่ห์ ริมฝีปากหนาอวบอิ่มสีชมพูกว่าผู้หญิงแบบฉัน แล้วนัยน์ตาสีดำที่จ้องมาที่ดวงตาของฉัน
ปุ๊ป ทั้งหนังสือและกระเป๋าร่วงหล่นจากมือที่สั่นเทาของฉัน
“ซัน” ฉันอุทานออกมาเบาๆ มือฉันเริ่มสั่น ร่างบางกำลังสะท้าน และน้ำตาที่แห้งเหือดไปกว่า 3 ปีเริ่มกลับมาเอ่อล้น
เมื่อเขาก้าวเข้ามา ก้าวเข้ามาเรื่อยๆ และประจันหน้ากับฉัน เขาก้มลงเก็บของให้ฉัน แล้วยื่นมา
“ของหล่นแล้วครับนักศึกษา อาจารย์ว่าไปหาที่นั่งกันก่อนมั้ย” น้ำเสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานาน หน้าฉันร้อนผ่าว ตรงคอเหมือนมีอะไรมาติดกลืนน้ำลายลงไปยากมาก แถมลมหายใจเหมือนจะขาดห้วง
เพื่อนฉันดึงฉันเข้าไปนั่งที่โต๊ะตอนนี้สติฉันล่องลอยมาก
“มึงโอเคมั้ย กูรู้ว่าตะลึง แต่ไม่คิดว่ามึงจะตกใจขนาดนี้”
“เออ ถ้าไม่โอเคออกไปพักมั้ย”
นั่นสิ ตอนนี้ฉันไม่โอเคสักนิด เรื่องบ้าอะไรกันว่ะ ผู้ชายที่ทิ้งฉันไปมีชีวิตใหม่กลับมาทำไมละนั่น แล้วต้องมาสอนฉันเพื่ออะไร กลับมาทำไม ตั้งใจงั้นหรอ ไม่อยากจะเชื่อ แค่เรื่องเมื่อคืนก็เกินรับไหวแล้วมั้ย ยังมาเจอะอะไรแบบนี้อีกหรอ
เกินไปมั้ยโชคชะตา มีแต่คำถามเต็มไปหมด ทำไมมันถึงประเดประดังเข้ามาทีเดียวแบบนี้ล่ะ
ฉันนั่งเรียนไปแบบไม่เข้าสมองเลยสักนิด มีแต่น้ำเสียงคุ้นหูของเขาที่ดังเข้ามาในโสตประสาท ภาพเก่าเริ่มรีรันจนทำให้หัวใจด้านชาเริ่มเจ็บแปลบ คนอย่างหมอนั่น คนอย่างเขา อึก…
.
.
เมื่อจบคาบทุกคนต่างแยกย้าย แต่ไม่รู้ว่าหมอนี่ต้องการอะไรถึงเรียกให้ฉันอยู่
“เอย น้ำเสียงแผ่วเบา” น้ำเสียงที่คุ้นเคย แค่เสียงของเขาก็ทำให้ฉันหวั่นไหวขนาดนี้
“อาจารย์ตะวันคะ พอดีฉันไม่สะดวกให้เรียกชื่อเล่นค่ะ” ใช่ต้องรักษาระยะห่าง และห้ามหวั่นไหว ต้องจำให้ได้ว่าเขาทิ้งแกไปยังไงไอ้เอย
“ยังโกรธอยู่สินะ” เขาต้องการอะไรวะ ทำไมต้องมาทำสีหน้ารู้สึกผิด ป่านนี้แล้วเนี่ยนะ
“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูด งั้นฉันขอตัวนะคะ”
“ผมขอโทษเอย” น้ำเสียงรู้สึกผิดและสำนึกมาเต็ม พวกผู้ชายนี่ใช้คำว่าขอโทษกันเป็นว่าเล่นหรือไงว่ะ ใช้กันจนเป็นนิสัย
“เรื่องมันนานมากแล้ว มันไม่ได้อยู่ในสมองฉันแล้วค่ะ เพราะงั้น อื้อ อู้” ฉันยังพูดไม่จบเขาก็ประกบริมฝีปากร้อนลงมาที่ปากของฉัน ฉันสะดุ้งจนรูม่านตาขยาย หมอนี่ เกินไปแล้วมั้ย
เมื่อเขาผละออก
“ผมไม่เชื่อว่าเธอจะลืมผมได้เอย เพราะงั้น…”
เพี้ยะ ฝ่ามือประทับลงไปบนหน้าขาวๆ จนเขาต้องหันไปอีกด้าน
“เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวไม่เคยเปลี่ยน เอาแต่ใจเกินไปมั้ย คิดจะทิ้งก็ทิ้งคิดจะกลับมาก็กลับงั้นหรอ คิดว่าเอยต้องยอมพี่ทุกครั้งใช่มั้ย ฮึก ฮึก ฮืออ”
น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตา ร่างเล็กๆ เริ่มสะท้านอีกครั้ง มือใหญ่กำลังจะเอื้อมมาจับ แต่คนตัวเล็กขยับหนีอย่างไว ไม่เอาแล้ว พอสักที
“อย่ามายุ่งกับฉันอีก” น้ำเสียงตรงนี้แข็งกร้าวมากๆ ดวงตาที่มองอย่างจริงจังจนคนตัวใหญ่ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
แล้วคนตัวเล็กก็เดินออกมาจากสถานการณ์นั้น
.
.
.
งื้ออ เปิดตัว ตัวละครใหม่
เป็นไงบ้างคะพอไหวมั้ย
เอิงเอยจะทำยังไงล่ะลูกทีนี้
ขอคนละหัวใจให้มีแรงอัพต่อหน่อยนะคะ
.
.
ไรท์โม
ซาชิกิวาราชิ