บทที่ 10
ทันทีที่หล่อนก้าวออกมาจากลิฟต์ตัวใหญ่ที่มีเอาไว้สำหรับผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น วาเนสซ่าก็รีบเดินเข้ามาหา และกล่าวเร่งเร้าให้หล่อนรีบเดินตาม
“ท่านประธานรอเธอนานแล้ว เร็วเข้า”
“ค่ะ”
วาเนสซ่าพาหล่อนมาหยุดที่หน้าห้องทำงานของแซคคารีย์ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูไม้หนึ่งครั้ง
“ท่านประธานคะ อลินดาพนักงานบัญชีมาแล้วค่ะ”
“ให้เข้ามา”
“ค่ะ”
เลขาสาวตอบรับคำสั่งของเจ้านาย ก่อนจะหันมามองหล่อนที่ยืนหน้าซีดอยู่ใกล้ๆ
“ท่านประธานอนุญาตแล้ว เข้าไปได้”
ประตูห้องทำงานของแซคคารีย์เปิดกว้างออกด้วยมือของวาเนสซ่า
“เข้าไปสิ เร็วเข้า”
“ค่ะ”
หล่อนที่ยืนลังเลอยู่ไม่มีทางเลือก จำต้องก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องทำงานกว้างขวางของแซคคารีย์อย่างไม่มีทางเลือก บานประตูไม้แกะสลักถูกดึงให้ปิดสนิทจากด้านนอก
แซคคารีย์นั่งตระหง่านอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดดุดัน และน่ากลัวยิ่งนัก
หล่อนพยายามตั้งสติ แต่เหงื่อก็ผุดพรายขึ้นมาในอุ้งฝ่ามือจนเปียกชุ่ม
หล่อนไม่อยากเผชิญหน้ากับแซคคารีย์เลย...
“คุณแซค... มีอะไรจะใช้ฉันเหรอคะ”
ดวงตาสีสนิมตวัดจ้องมองมาที่หล่อนเขม็ง และถ้ามองไม่ผิดที่มุมปากของเขามีรอยยิ้มหยัน
นี่หล่อนทำอะไรผิดไปอีกล่ะ
“ถ้าไม่มี... ฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ”
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”
เสียงกระด้างดังเล็ดลอดออกมาจากลำคอแกร่ง และแซคคารีย์ก็ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะทำงานไม้มาหยุดไม่ไกลจากร่างของหล่อนนัก อลินดาถอยหลังออกห่างอีกหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ
“คุณแซค... มีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ” ทำใจกล้าเอ่ยถามออกไป แต่สุ่มเสียงสั่นระริกจนน่าอับอาย
หล่อนเห็นกรามแกร่งที่มีเงาของไรหนวดและเคราของแซคคารียร์ขบกันแน่น ก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“เมื่อเช้าฉันไปสถานีตำรวจมา”
อ๋อ ที่ทิ้งหล่อนเอาไว้ที่ปั๊มน้ำมัน ก็เพราะเขารีบไปสถานีตำรวจนี่เอง และก็ไม่ต้องให้ใครบอกหล่อนก็รู้ว่าแซคคารีย์ไปที่สถานีตำรวจทำไม
“ค่ะ”
เขายิ้มหยัน มองหล่อนด้วยสายตาดุดัน “แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันได้รับรู้อะไรจากตำรวจมาบ้าง”
“ก็คงจะเป็นเบาะแสของพี่นารีมั้งคะ”
“นี่ดูท่าทางเธอไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลยนะที่นารีหายตัวไป”
เขาก้าวเข้ามาหากระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่หล่อนมั่วแต่ตอบโต้เขาจนลืมถอยหลังหนี มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่สองร่างแทบจะไม่เหลือช่องว่างอยู่อีกแล้ว
“หรือว่าทุกอย่างมันเป็นการจัดฉากของเธอ”
“คะ?” หล่อนตกใจกับสิ่งที่ได้ยินมาก นี่แซคคารีย์ดูละครมากไปหรือเปล่า ถึงได้คิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมาได้
“อย่ามาทำหน้าซื่อตาใส ฉันคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน มันอาจจะเป็นเพราะฝีมือของเธอ”
“นี่คุณแซคคิดว่าที่พี่นารีหายตัวไป เป็นเพราะฉันเหรอคะ”
“ใช่”
หล่อนหัวเราะเยาะออกมา มองเขาอย่างเหลือเชื่อ “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะว่าคุณแซคจะคิดอะไรได้ตลกแบบนี้”
“ตลกตรงไหนกัน”
เขาเค้นเสียงเดือดดาลถามกลับมา
“ก็ตรงที่คิดว่าฉันจะให้คนมาลักพาตัวพี่สาวฝาแฝดไปน่ะสิคะ ฉันจะทำแบบนั้นทำไม มันไม่มีเหตุผลสักนิด”
นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่คิดอะไรแบบนี้
“เหตุผลมีแน่นอน”
“เหตุผลอะไรคะ”
ศีรษะทระนงของผู้ชายจอมบงการโน้มต่ำลงมาหา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย
“ก็เพราะว่าเธออยากเป็นเมียของฉันแทนนารียังไงล่ะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เธอรักฉัน”
หล่อนเผยอปากค้างเติ่ง เมื่อคำพูดของแซคคารีย์มันวิ่งเข้าแทงหัวใจของหล่อนอย่างจัง ราวกับลูกธนูเพลิงไม่มีผิด ใช่... หล่อนตกหลุมรักแซคคารีย์จนโงหัวไม่ขึ้น แต่หล่อนไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของนารีรัตน์
อลินดาเม้มปากอิ่มแน่นจนเจ็บ รวบรวมสติของตัวเองอย่างสุดความสามารถ และรีบก้าวเท้าถอยหลังห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณค่ะ คุณแซค”
“ฉันไม่เชื่อ นารีบอกฉันมาตลอดว่าเธอแอบรักฉันอยู่ และก็เคยขอร้องให้นารียกฉันให้กับเธอ”
อลินดาส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ คาดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวของตัวเองจะเลือกการใส่ร้ายแบบนี้ให้กับหล่อน ทั้งๆ ที่หล่อนก็ยอมเสียสละให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อเสียง
“ไม่จริงค่ะ”
“กล้าๆ หน่อยสิ กล้ายอมรับออกมา”
“ก็บอกแล้วไงคะว่าฉันไม่รู้เรื่องที่พี่นารีหายไป ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่ะ”
หล่อนถดถอยหนีไปจนแผ่นหลังชนเข้ากับกำแพงเย็นเฉียบ ในขณะที่แซคคารีย์ย่างสามขุมคุกคามเข้ามาหยุดตรงหน้า หล่อนหมดทางหนี ทำได้แค่ส่ายหน้าปฏิเสธในสิ่งที่เขากล่าวหาเท่านั้น
“ฉันไม่รู้เรื่องค่ะ ได้โปรดอย่าปรักปรำฉันเลย”
“เอาไว้ไปแก้ตัวกับตำรวจเถอะ”
ดวงหน้าของอลินดาซีดเผือด “หมาย... หมายความว่ายังไงเหรอคะ”
แซคคารีย์ระบายยิ้มเหี้ยมเกรียม “ฉันบอกกับตำรวจไปว่าฉันสงสัยเธอ”
“คุณแซค?”
หล่อนตกใจสุดขีด และก็น้ำตาเอ่อล้นขอบตาด้วยความน้อยใจกับสิ่งที่แซคคารีย์กระทำกับตัวเอง
“พรุ่งนี้ตำรวจคงจะมาเชิญตัวเธอไปสอบปากคำ เตรียมคำพูดแก้ตัวเอาไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน อ้อ... แต่ถ้าไม่อยากไปพบตำรวจ ก็บอกความจริงมาว่าเธอเอาคนรักของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน”
แซคคารีย์เรียกนารีรัตน์ว่าคนรักเต็มปากเต็มคำ หล่อนเจ็บไปทั้งอกทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเขารักพี่สาวของตัวเอง
“ฉันไม่รู้เรื่องค่ะ”
“ถ้าปากแข็งแบบนี้ ก็ไปคุยกับตำรวจก็แล้วกัน”
เขาขยับตัวออกห่างจากร่างที่สั่นเทาของหล่อน สายตาคมกริบที่มองมาเต็มไปด้วยความขยะแขยง
“แต่จำเอาไว้นะว่า หากมีหลักฐานโยงมาถึงเธอเมื่อไหร่ ฉันจะเอาเรื่องเธอให้ถึงที่สุด”
น้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ขอบตาตอนนี้ทะลักไหลออกมาโชว์ความอ่อนแออย่างน่าอับอาย มือเล็กรีบยกขึ้นปาดทิ้ง
“ค่ะ”
แซคคารีย์หงุดหงิดที่อลินดาไม่ยอมปริปากบอกอะไรเลย ทั้งๆ ที่เขาก็ข่มขู่หล่อนหนักหนาแบบนี้
“ไสหัวไปได้แล้ว ออกไป!”
ไม่ต้องรอให้เขาไล่ซ้ำอีก หล่อนก็รีบวิ่งหนีออกไปจากห้องทำงานของเขาอย่างรวดเร็ว
ทำไม... ทำไมเขาใจร้ายแบบนี้...
อลินดาหนีเข้ามาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในห้องน้ำ น้ำตาไหลรินอาบแก้มจนแทบจะท่วมห้องน้ำอยู่แล้ว
แค่เขาไม่รัก แค่เขาไม่ไยดีก็เจ็บปวดทรมานแสนสาหัสแล้ว แต่นี่... เขายังมองหล่อนเลวร้ายแบบนี้อีก หญิงสาวสะอื้นได้ด้วยความทุกข์ทรมานเป็นที่สุด