บทที่ 11
“ลินดาไม่สบายหรือเปล่าครับ ตาแดงเชียว”
แฮรี่อดเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เมื่อมานั่งรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน
“นั่นสิ จมูกก็แดงด้วย เหมือนคนร้องไห้มาอย่างหนักเลย”
หทัยชนกที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นบ้าง และก็ทำให้ อลินดาถึงกับต้องก้มหน้าหลบสายตาสงสัยของทุกคน
“คือ... มาสคาร่าที่ปัดมามันเข้าตาน่ะจ้ะ แล้วลินดาก็ลืมตัวขยี้หนักมือไปหน่อย ตาก็เลยแดง”
หล่อนแก้ตัว แต่ดูเหมือนว่าผู้ร่วมสนทนาจะไม่ค่อยเชื่อนัก โดยเฉพาะหทัยชนก
“แหม อย่ามาพูดดี เธอเคยปัดมาสคาร่าที่ไหนกันยายลินดา เห็นหน้าสดมาทำงานตลอด”
“อ๋อ พอดีเมื่อเช้าลองปัดมาน่ะจ้ะพี่นก” อลินดารีบแก้ตัวขึ้นอีก ระบายยิ้มเจื่อนๆ ออกมา
“ผมว่าเรากินข้าวกันเถอะครับ กับข้าวเย็นหมดแล้ว”
อลินดากล่าวขอบคุณแฮรี่อยู่ภายในอกเงียบๆ เมื่อเขาช่วยทำให้หล่อนหลุดพ้นจากหัวข้อสนทนานั้นอย่างหวุดหวิด
“ลินดาลองกินนี่สิครับ ไก่ทอดอร่อยมาก ผมกินมาสองสามครั้งแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ คุณแฮรี่”
อลินดาระบายยิ้มหวานให้กับแฮรี่อย่างซาบซึ้งในน้ำใจ และกำลังจะตักอาหารใส่ปาก แต่สายตาไม่รักดีดันมองข้ามศีรษะของแฮรี่ไปยังร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเข้าพอดี
ดวงตาของหล่อนติดแหงกอยู่กับร่างของแซคคารีย์จนขยับไปไหนไม่ได้ หล่อนจ้องมองแซคคารีย์ที่ยืนคุยอยู่กับผู้ชายรูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของโรงแรมอยู่นานจนแฮรี่ผิดสังเกต ต้องเอี้ยวตัวไปมองข้างหลังเช่นกัน
“แปลกนะที่ท่านประธานมากินข้าวในโรงอาหารนี้ด้วย เห็นปกติให้คนยกขึ้นไปให้ที่ห้องอาหารชั้นบนตลอด” หทัยชนกพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“คงเป็นเพราะมีคุณกฤติชัยมาด้วยมั้งครับ” แฮรี่รู้จักผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ แซคคารีย์
“คุณแฮรี่รู้จักผู้ชายคนนั้นด้วยเหรอคะ” อลินดาที่สามารถหยุดมองแซคคารีย์ได้แล้ว รีบกลบเกลื่อนด้วยการถามออกไป
“รู้จักสิครับลินดา คุณกฤติชัยนะเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ใหญ่ พาลูกค้ากระเป๋าหนักมาพักโรงแรมของเราเป็นประจำเลย”
“เพราะอย่างนี้ท่านประธานถึงต้องลงมาเทคแคร์ด้วยตัวเองใช่ไหมคะ” คราวนี้หทัยชนกเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง แต่แฮรี่ยังไม่ทันได้ตอบ หทัยชนกก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสงสัย “นี่ถ้านกตาไม่ฝาด นกเห็นคุณกฤติชัยมองมาที่โต๊ะเราตาไม่กะพริบเลยนะคะเนี่ย”
อลินดาก็เห็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่คิดว่าที่กฤติชัยมองมาคงเป็นเพราะจำแฮรี่ได้
“คงมองคุณแฮรี่น่ะพี่นก”
อลินดาตอบออกไป ก่อนที่จะก้มหน้าตักข้าวใส่ปากเงียบๆ จิตใจของหล่อนไม่เคยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย ยามที่สมองรับรู้ว่าแซคคารีย์มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
เมื่อไหร่กันนะ เมื่อไหร่หล่อนถึงจะหลุดพ้นจากบ่วงรักที่แสนทรมานนี้สักที
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หล่อนและแฮรี่ รวมถึงหทัยชนกก็แยกย้ายกันกลับเข้าไปทำงานของตัวเอง แต่หล่อนเกิดปวดท้องจึงแวะเข้าห้องน้ำระหว่างทาง พอก้าวออกมาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นผู้ชายที่ยืนเคียงข้างกับแซคคารีย์ที่โรงอาหารระบายยิ้มโปรยมาให้
เพราะรู้จักแฮรี่มาว่าเขาคือกฤติชัย เจ้าของทัวร์ใหญ่ที่เป็นลูกค้าคนสำคัญของโรงแรมที่ตัวเองทำงานอยู่ ดังนั้นหล่อนจึงต้องระบายยิ้มตอบกลับไปให้ตามมารยาท
“สวัสดีครับ”
“สะ... สวัสดีค่ะ” หล่อนรีบยกมือไหว้ เมื่อลูกค้าคนสำคัญของโรงแรมกล่าวทักทาย
“ไม่ทราบว่าคุณ... อลินดาใช่ไหมครับ”
“ค่ะ แต่ว่า... คุณรู้ชื่อของฉันได้ยังไงกันคะ”
หล่อนเต็มไปด้วยความแปลกใจ แต่คู่สนทนไม่ยอมตอบ กลับระบายยิ้มให้แทน
“ไปคุยกันสักประเดี๋ยวได้ไหมครับ”
“แต่ว่า... ถึงเวลาทำงานแล้วน่ะค่ะ”
“ผมขออนุญาตคุณแซคแล้วล่ะครับ” คำตอบของผู้ชายหน้าตาดีตรงหน้าทำให้หล่อนไม่มีทางเลือก
“ก็... ได้ค่ะ”
“งั้นเชิญทางนี้ครับ”
ร่างสูงเพรียวของกฤติชัยนำหน้าหล่อนออกไปยังด้านนอกของตัวโรงแรม และไปหยุดที่สวนหย่อมแสนสวย
“พี่สาวของคุณหายตัวไปเหรอครับ”
ทันทีที่หยุดเดิน คำถามของกฤติชัยก็ดังออกมาจากปากของเขา อลินดามองชายหนุ่มที่น่าจะวัยไล่เลี่ยกับแซคคารีย์ด้วยความประหลาดใจ
“คุณ... ทราบได้ยังไงคะ”
สีหน้าของกฤติชัยยังคงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “ผมทราบจากคุณแซคน่ะครับ”
หล่อนชะงักไปเล็กน้อย และก็อดโมโหแซคคารีย์ไม่ได้ ไหนเขาบอกว่าเรื่องที่นารีรัตน์หายตัวไปมันคือความลับระหว่างสองครอบครัวยังไงล่ะ แต่ทำไมเขาเอามาบอกกฤติชัย
“ค่ะ” หล่อนจำต้องตอบรับออกไป “แต่ฉันอยากขอร้องให้คุณ กฤติชัยเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับได้ไหมคะ คือถ้าเรื่องนี้มันมีคนอื่นที่รู้เพิ่มขึ้นอีก ฉันเกรงว่าชื่อเสียงของคุณแซคจะเสียหาย รวมถึงชื่อเสียงของพี่นารีด้วยน่ะค่ะ”
หล่อนไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มละไมของ กฤติชัยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็รับปากออกมาจนได้ และก็ทำให้หล่อนสบายใจขึ้น
“ไว้ใจผมเถอะครับ คุณอลินดา”
“ขอบคุณมากนะคะ คุณกฤติชัย”
อลินดายกมือขึ้นไหว้ขอบคุณบุรุษตรงหน้าอย่างซาบซึ้งในน้ำใจของเขา
“ด้วยความยินดีครับ ว่าแต่... เย็นนี้พอจะมีเวลาว่างไปรับประทานมื้อค่ำกับผมสักมื้อได้ไหมครับ”
“คุณกฤติชัยชวน... ฉันเหรอคะ” หล่อนเอานิ้วจิ้มเข้ามาที่ร่างของตัวเอง มองคู่สทนาอย่างแปลกประหลาดใจ
“ใช่ครับ พอดีผมนัดกินข้าวกับคุณแซคเอาไว้นะครับ ก็เลยอยากจะชวนคุณอลินดาไปด้วย”
หล่อนคงตอบตกลงได้ไม่ยากเย็นนัก หากไม่รู้ว่ามี แซคคารีย์รวมอยู่ด้วย
“คือเย็นนี้ฉันต้องรีบกลับบ้านน่ะค่ะ ต้องกราบขออภัยคุณกฤติชัยด้วยนะคะ”
“ถือว่าเห็นกับผมไม่ได้เหรอครับ ผมอยากชวนคุณไปกินข้าวด้วยจริงๆ”
“แต่ว่า... คุณกฤติชัยก็มีคุณแซคไปด้วยแล้วทั้งคนนี่คะ”
“ก็ผมอยากให้คุณอลินดาไปด้วยนี่ครับ”
น้ำเสียงของกฤติชัยแม้จะนุ่มนวลแต่ก็หนักแน่นและจริงจังจน อลินดาอดหวาดหวั่นไม่ได้
“คือว่า...”
“อาทิตย์หน้าจะมีทัวร์จากยุโรปเดินทางมาเมืองไทยอีกหลายสิบชีวิต และผมก็สัญญาว่าจะนำมาลงที่โรงแรมนี้”
กฤติชัยคงกำลังจะบอกหล่อนเป็นนัยๆ ว่าเขาคือลูกค้าใหญ่นะ ห้ามขัดใจเขานะ อย่างแน่นอน
“ก็ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวคุณกฤติชัยบอกชื่อร้านมานะคะ เลิกงานแล้วฉันจะรีบนั่งแท็กซี่ไปหาเลยค่ะ”
คำตอบของหล่อนไม่ถูกใจเขาอีกแล้วใช่ไหม เพราะกฤติชัยส่ายศีรษะไปมา
“เดี๋ยวไปพร้อมผมครับ”
“ไปพร้อมคุณกฤติชัยเหรอคะ”
เจ้าของชื่อพยักหน้ารับน้อยๆ
“ใช่ครับ เพราะกว่าผมจะคุยธุระกับคุณแซคเสร็จก็คงอีกหลายชั่วโมง”
“แต่ฉันเลิกงานห้าโมงเย็นนะคะ”
หล่อนยังคงเกรงใจและเป็นกังวล แต่สีหน้าของกฤติชัยไม่มีร่องรอยความทุกข์ร้อนใดๆ เลย
“ผมรอได้ครับ”
หล่อนไม่รู้จะปฏิเสธยังไงก็เลยต้องตอบตกลงออกไป และเดินกลับไปยังแผนกบัญชีด้วยความมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มันน่าแปลกใจไม่น้อย ที่จู่ๆ ลูกค้ารายใหญ่ของแซคคารีย์มาตีสนิทกับพนักงานบัญชีต๊อกต๋อยเช่นหล่อน