“พี่ลินดาแย่แล้ว”
เสียงตื่นตระหนกของลูกพี่ลูกน้องดังขึ้นด้านหลัง อลินดารีบยกหลังมือขึ้นป้ายหยาดน้ำตาออกจากแก้ม จนแน่ใจแล้วว่าแห้งเหือดจึงค่อยๆ หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับคนเรียก
“มีอะไรเหรอส้ม”
วิลาวรรณ หรือ ส้ม เป็นลูกสาวคนที่สองของน้าสุนีย์พี่สาวของมารดา และค่อนข้างจะสนิทกับหล่อนมากกว่านารีรัตน์ ยืนหน้าตาตื่นอยู่ด้านหลัง
“พี่นารีหายตัวไปจากห้องแต่งตัวจ้ะพี่ลินดา”
หล่อนไม่ได้ตกใจกับคำพูดตื่นตระหนกของวิลาวรรณนัก เพราะมั่นใจว่างานแต่งในค่ำคืนนี้จะไม่มีทางขาดเจ้าสาวอย่างแน่นอน ในเมื่อ นารีรัตน์รอคอยวันนี้มาตลอด
“พี่นารีคงไปเข้าห้องน้ำ หรือไม่ก็คงออกไปเดินเล่นมั้งส้ม”
“แต่พวกเราหาจนทั่วแล้วนะพี่ลินดา”
วิลาวรรณยังคงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“แต่ก็หาไม่พบ ไม่รู้เหมือนกันว่าหายตัวไปได้ยังไงจ้ะพี่ลินดา”
แม้จะเริ่มรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่อลินดาก็ยังคงเชื่อมั่นว่าพี่สาวไม่มีทางหายไปไหนแน่นอน
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปช่วยตามหาก็แล้วกัน”
“ไม่ได้พี่ลินดา พี่ต้องไปกับฉันก่อน”
แขนเรียวของอลินดาถูกมือของส้มคว้าเอาไว้
“จะให้พี่ไปไหนเหรอ” คิ้วเรียวโก่งสวยตามธรรมชาติเลิกสูง กลีบปากที่มีเพียงลิปสีชมพูบางเบาเคลือบทับเม้มแน่นสนิทเป็นเส้นตรงด้วยความแคลงใจ
“ไปห้องแต่งตัวจ้ะพี่ลินดา”
“ไปทำไมเหรอ”
หล่อนยังคงมึนงง แต่ก็ยอมให้วิลาวรรณลากตรงไปยังห้องแต่งตัวได้ง่ายดาย
“เดี๋ยวก็รู้จ้ะพี่ลินดา”
ไม่กี่นาทีอลินดาก็ถูกวิลาวรรณพามาถึงห้องแต่งตัวของเจ้าสาว หล่อนก้าวเข้าไปภายใน ก็พบว่านอกจากบิดามารดาของตัวเองแล้วภายในห้องนี้ก็ยังมีญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวยืนหน้าเคร่งเครียดร่วมอยู่ด้วย
“พี่ลินดามาแล้วจ้ะ”
วิลาวรรณที่ลากหล่อนเข้ามารีบพูดขึ้น ในขณะที่หล่อนยืนนิ่งและเต็มไปด้วยความมึนงง วินาทีต่อมาสายตาทุกคู่ของทุกคนก็จับจ้องมองมาที่หล่อน และมารดาของแซคคารีย์ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น
“จะทำอะไรก็รีบทำกันเถอะค่ะ อีกแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีงานก็จะเริ่มแล้วนะคะ และฉันจะขายหน้าแขกเหรื่อที่อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่วมงานไม่ได้”
“งั้นทางออกเดียวในระหว่างที่ยังตามหานารีไม่พบ ก็คงต้องให้ ลินดาแต่งงานแทนไปก่อนนะค่ะ”
คือคำพูดของมารดา และแน่นอนว่าญาติพี่น้องของหล่อนแสดงความเห็นด้วยทุกคน ในขณะที่หล่อนทำได้แค่เพียงยืนตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้ยิน
“อะไรกันนะคะ”
“แกไม่ต้องมาทำหน้าตกอกตกใจหรอกลินดา ก็แค่สวมรอยเป็นพี่สาวของแกในงานเลี้ยงนี้เท่านั้นเอง”
ผู้เป็นบิดาตอบออกมาหน้าตาเฉย เหมือนกับว่าสิ่งที่พูดมันคือเรื่องปกติธรรมดา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เลยสักนิด
“ให้... ลินดาแต่งงานกับคุณ... แซคเหรอคะ” น้ำเสียงของหล่อนเบาหวิว ดวงตากลมโตเบิกกว้าง และศีรษะทุยสวยก็ส่ายไปมาน้อยๆ “ลินดา... ทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่แกต้องทำ ไม่อย่างนั้นครอบครัวของคุณแซคคารีย์จะต้องเสียหน้ามาก” มารดาของหล่อนออกคำสั่งเฉียบขาด
“เธอไม่ต้องกังวลหรอกนะลินดา เพราะทางเราแค่ไม่ต้องการให้งานแต่งล่มโดยไม่มีเจ้าสาวเท่านั้นเอง เมื่อจบงานเลี้ยงแล้ว เธอก็กลับไปใช้ชีวิตปกติของตัวเองได้เหมือนเดิม” น้ำเสียงของคนพูดที่เป็นมารดาของแซคคารีย์เต็มไปด้วยความห่างเหิน จนหล่อนน้ำตาซึม อลินดาเม้มปากอิ่มเป็นเส้นตรง
“ลินดาทราบค่ะคุณป้า แต่ลินดา... ไม่อยากเป็นคนโกหก”
หล่อนยังคงยืนกรานปฏิเสธ
“และหากคุณแซคทราบเรื่องเข้า ก็คงจะโมโหมาก ดังนั้นอย่าให้ ลินดาเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยนะคะ”
“หนูลินดา ถือว่าลุงขอร้องเถอะนะ งานแต่งในค่ำคืนนี้จะล่มไม่ได้จริงๆ มันมีผลต่อชื่อเสียงของตระกูลของลุงน่ะ” คนๆ เดียวที่ยังคงเมตตาหล่อนเหมือนเดิมนั่นก็คือบิดาของแซคคารีย์
หล่อนเลื่อนสายตาไปสบประสาน ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้เพื่อกล่าวขออภัย
“ลินดากราบขอโทษนะคะคุณลุง ลินดา... คงทำไม่ได้...”
อลินดาหมุนตัวจะวิ่งหนีออกไปจากห้องแต่งตัวของเจ้าสาว แต่ก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของแซคคารีย์ที่หน้าประตูห้องเสียก่อน ร่างของหล่อนเซถลาล้มลงไปกองกับพื้น ในขณะที่เขายืนค้ำตระหง่านอยู่เหนือร่างของหล่อน
“ต้องให้ฉันคุกเข่าขอร้องเธออีกคนหรือเปล่า อลินดา”
ดวงตากลมโตที่ฉาบไปด้วยหยาดน้ำตาช้อนขึ้นมองเขา มองผู้ชายที่หล่อเหลาไม่ต่างจากเทพบุตรด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หล่อนกัดฟันลุกขึ้นยืน
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ เพราะลินดา... จะไม่ทำเรื่องหลอกลวงแบบนั้นเด็ดขาด ขอโทษนะคะ”
หล่อนจะเดินผ่านเขาออกไปนอกประตูห้อง แต่แขนเรียวถูกคว้าเอาไว้ ไอร้อนอบอุ่นจากฝ่ามือกระด้างที่สัมผัสกับท่อนแขน ทำให้หัวใจสาวเต้นโครมคราม
“ถ้าเธอไม่ตกลงปลอมตัวเป็นนารีในคืนนี้ ก็เท่ากับว่าครอบครัวของเธอทำผิดคำสัญญา ดังนั้นฉันมีสิทธิ์จะเรียกสินสอดทั้งหมดคืนได้จริงไหม”
อลินดาชะงักค้าง ช้อนตาขึ้นมองผู้ชายตัวโตด้วยความตื่นตกใจ เพราะหล่อนรู้ดีว่าเงินสินสอดที่ทางครอบครัวตัวเองได้รับมามันเหลืออยู่ไม่ครบแล้ว เพราะทั้งแม่ทั้งพี่สาวรวมถึงพ่อด้วยเอาไปใช้กันอย่างสนุกมือ
“เอ่อ...”
“ตัดสินใจเดี๋ยวนี้”
หล่อนหันไปมองมารดา และบิดา ก็เห็นว่าท่านทั้งสองคนหน้าหดเหลือแค่สองนิ้ว
นี่หล่อนควรจะทำยังไงดี
“การเงียบของเธอคือการปฏิเสธ ดังนั้น...” แซคคารีย์ปล่อยมือจากแขนของหล่อน และถอยออกห่าง “ฉันก็จะออกไปบอกกับแขกเหรื่อทุกคนว่าเจ้าสาวไม่อยู่ แน่นอนว่าฉันต้องเสียชื่อเสียง แต่ฉันจะเรียกคืนความเสียหายนี้จากครอบครัวของเธอทั้งหมด”
น้ำเสียงของแซคคารีย์เหี้ยมเกรียมและบอกให้หล่อนรู้ว่าเขาพูดจริงทำจริงแน่นอน
อลินดาพยายามคิดทบทวนกับผลได้ผลเสียที่จะกระทบครอบครัวของตัวเอง และสุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากตอบรับทำตามความต้องการของทุกคน
“ค่ะ ลินดาจะเข้าพิธีแต่งงานแทนพี่นารี”
เสียงถอนใจโล่งอกดังออกจากปากของทุกคนในห้องแต่งตัว ยกเว้นเขาเพียงคนเดียว
หล่อนถูกลากให้ไปนั่งบนเก้าอี้หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ช่างแต่งหน้าช่างทำผมต่างช่วยกันเร่งมือแต่งแต้มสีสันลงบนใบหน้าของหล่อนด้วยความรีบร้อนแข่งกับเวลา
น้ำตาของหล่อนไหลตกลงไปข้างใน สุดท้ายแล้วหล่อนก็เป็นได้แค่เพียงผู้หญิงคั่นเวลา ผู้หญิงตัวแทน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันมีความหมายว่าไม่ใช่ตัวจริง
ทำเพื่อครอบครัว สวมรอยเป็นเจ้าสาว เพื่อรอให้ แซคคารีย์ตามหานารีรัตน์ให้เจอ
“อย่าร้องไห้สิคะคุณน้อง เมคอัพเปื้อนหมดแล้วเนี่ย”
“ขอ... ขอโทษค่ะ...”
ช่างแต่งหน้าดุหล่อนอย่างไม่พอใจ ขณะที่ใช้กระดาษทิชชูซับขอบตาให้
“ที่ร้องไห้นี่เพราะดีใจใช่ไหม ที่ได้เป็นเจ้าสาวแทนพี่สาวของตัวเองน่ะ”
“นังแจ๋วไปว่าน้องเขาได้ยังไง น้องเขาไม่ได้อิจฉาพี่สาวของตัวเองสักหน่อย”
ช่างทำผมทำเหมือนจะเข้าข้างหล่อน แต่แท้จริงแล้วก็ร่วมมือกับช่างแต่งหน้ากล่าวหาหล่อนอีกคน
“อ้าว จริงเหรอ นึกว่าน้องลินดาแอบชอบพี่เขยของตัวเองเสียอีก”
หล่อนเดาได้ไม่ยากกับสิ่งที่ได้ยิน ช่างสองคนนี้คงจะฟังมาจาก นารีรัตน์นั่นเอง
อลินดาทำได้แค่นั่งเงียบๆ และปล่อยให้โชคชะตาพัดพาตัวเองลงไปสู่นรกอเวจีอย่างไร้ทางดิ้นหนี