บทที่ 6
งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสผ่านพ้นไปอย่างชื่นมื่น ทุกคำอวยพรจากแขกเหรื่อที่มาร่วมงานยังคงดังก้องอยู่ในหูของหล่อนอย่างชัดเจน ไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าสาวที่ยืนยิ้มเจื่อนๆ อยู่ข้างเรือนกายสง่างามของเจ้าบ่าวสุดหล่อคือตัวปลอม
ไม่มีใครดูออก!
หล่อนยิ้มเศร้าหมองให้กับโชคชะตาของตัวเอง ขณะนั่งตัวเกร็งอยู่บนเตียงเคียงข้างกับแซคคารีย์ เฝ้ารอคอยการลาจากของแขกผู้ใหญ่คนสุดท้ายที่กำลังจะก้าวผ่านพ้นประตูห้องหอออกไป
ไม่ช้าบานประตูไม้ก็ปิดสนิทลง ส่งสัญญาณบอกให้หล่อนรู้ว่าทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว
เสียงถอดถอนหายใจของหล่อนดังออกมาจากลำคอ และร่างเล็กก็รีบขยับเหยียดสองขาออกไปข้างหน้าเมื่อนั่งพับเพียบอยู่นานจนเมื่อยขบ
“ฉันกลับได้แล้วใช่ไหมคะ”
หลังจากนั่งบิดตัวไปมาเพราะความเมื่อยขบอยู่นาน ก็หันไปถามผู้ชายที่นั่งนิ่งอยู่ห่างออกไปเพียงแค่คืบเดียว แต่สายตาคมเข้มวาววับที่ตวัดจ้องมองมา ทำให้หล่อนต้องรีบเสหลบสายตาอย่างรวดเร็ว
“สมองปลาทองหรือไง จำที่แม่ฉันสั่งไม่ได้หรือไง”
“คะ?”
กระแสความเกรี้ยวกราดจากดวงตาสีสนิมส่งผ่านมายังหล่อนได้อย่างชัดเจน
นี่เขาโกรธบ้าโกรธบออะไรหล่อนอีกล่ะ ทั้งๆ ที่หล่อนก็ช่วยแก้หน้าให้เขาจนจบสิ้นไปแล้ว
“นอกจากจะสมองปลาทองแล้ว เธอยังโง่เหมือนลาอีกใช่ไหม อลินดา”
หล่อนถูกด่ามากๆ ก็อดที่จะโกรธขึ้นบ้างไม่ได้ กลีบปากอิ่มจึงเม้มแน่น
“ใช่ค่ะ ฉันโง่ ก็เพราะถ้าไม่โง่จริง ฉันคงไม่ยอมช่วยปลอมตัวเป็นพี่นารีหรอกค่ะ”
“นี่เธอทวงบุญคุณฉันหรือไง”
“โอ๊ย... เจ็บนะคะ” หล่อนอุทานด้วยความเจ็บปวด เมื่อแขนเรียวเล็กตกอยู่ในอุ้งมือกระด้างของแซคคารีย์ และเขาก็บีบแรงๆ อย่างไม่ปรานีปราศรัย
ก็ใช่สิ หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาจะต้องทะนุถนอมนี่
อลินดาเต็มไปด้วยความปวดร้าว น้ำตาไหลตกในซ้ำแล้วซ้ำเล่า และก็ต้องการออกไปจากห้องหอนี่ให้เร็วที่สุด
“ปล่อยแขนฉันเถอะค่ะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว”
“เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“เอ๊ะ...”
หล่อนมองเขาอย่างไม่พอใจ
“แต่ทุกอย่างมันก็จบลงแล้วนะคะ แขกผู้ใหญ่คนสุดท้ายก็กลับไปแล้วด้วย ดังนั้นฉันก็คงไม่จำเป็นต้องเล่นละครเป็นพี่นารีอีกต่อไป”
แทนที่เขาจะเห็นด้วยกับคำพูดของหล่อน กลับแสยะยิ้มเลือดเย็น และจ้องหน้าหล่อนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“แขกผู้ใหญ่กลับไปหมดแล้วก็จริง แต่ที่นี่มีคนรับใช้มากมาย และฉันก็คงไม่สามารถตามปิดปากได้ทุกคน”
“คุณแซคหมายถึง...”
“เธอต้องอยู่กับฉัน ต้องแสดงละครเป็นนารีจนกว่าฉันจะตามหาผู้หญิงที่ฉันรักพบ แล้วเมื่อนั้นแหละ เธอถึงจะมีสิทธิ์ย่างเท้าออกไปจากที่นี่ได้”
อลินดาส่ายหน้าไปมาด้วยความตื่นตกใจระคนเหลือเชื่อ นี่หล่อนอ่านนิยายมากไปหรือเปล่านะ ทำไมสิ่งที่ได้ยินจากปากของแซคคารีย์ถึงเหมือนนิยายน้ำเน่าเรื่องล่าสุดที่อ่านเลยล่ะ
“แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราตกลงกันไว้นี่คะ”
“หรือว่าเธอจะให้ฉันไปเรียกร้องค่าเสียหายจากพ่อกับแม่ของเธอล่ะ”
เขาข่มขู่ และแน่นอนว่าผู้ชายใจเหี้ยมคนนี้พูดจริงทำจริงเสมอ หล่อนมั่นใจเพราะทำงานกับเขามาได้สักพักแล้ว
“แต่ฉัน... ไม่ใช่ภรรยาของคุณแซคนะคะ จะให้มาอยู่กับคุณแซคได้ยังไงกัน”
“เพื่อรักษาชื่อเสียงของฉันเอาไว้ ยังไงเธอก็ต้องอยู่ให้ได้”
หล่อนเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง มองเขาอย่างขอความเห็นใจ “แล้วคุณแซคจะให้ฉันอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรเหรอคะ”
เขาปล่อยแขนของหล่อนให้เป็นอิสระ และหรี่ตาแคบกวาดมองดวงหน้าอ่อนเยาว์ของหล่อน ไม่นานรอยยิ้มเหยียดหยันก็เกลื่อนใบหน้าหล่อจัดของแซคคารีย์
“เมียคั่นเวลายังไงล่ะ”
“เมียคั่นเวลา?”
“ใช่ รอจนกว่าฉันจะพบนารี แล้วเมื่อนั้นหน้าที่นี้ของเธอจะจบสิ้นลง หวังว่าเธอคงจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดนะ อลินดา” ทุกพยางค์ที่ออกมาจาก ริมฝีปากหยักสวยของแซคคารีย์ช่างเลือดเย็นและไร้หัวใจยิ่งนัก
หล่อนมองเขาด้วยความน้อยอกน้อยใจแต่ก็ต้องพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้
“แล้วเรื่องนั้น...” หล่อนเอ่ยถามแต่ก็ไม่สามารถกลั้นใจพูดจนจบประโยคได้ แต่แซคคารีย์เข้าใจความหมายของหล่อน จึงพูดแทรกขึ้นมาในทันที
“ถ้าเธอหมายถึงเรื่องบนเตียงระหว่างเรา” น้ำเสียงของเขาเลือดเย็นและเหี้ยมเกรียมตลอดเวลา
“เอ่อ... ค่ะ...”
หล่อนผงกศีรษะตอบรับและเสหลบสายตาของชายหนุ่มที่หล่อเหลาไม่เกรงอกเกรงใจมนุษย์ผู้หญิงลงมองมือเล็กที่ประสานกันอยู่บนตักทันที
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยันเยาะ “ถ้าเธอมโนไปว่าเราจะต้องนอนด้วยกัน เสียใจด้วยนะ เพราะฉันคงทำใจแตะต้องผู้หญิงสกปรกอย่างเธอไม่ลง”
คำพูดจาดูแคลนของแซคคารีย์คมกริบราวกับคมมีดแหลม หล่อนช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างลืมตัว หยาดน้ำตาแห่งความปวดร้าวทรมานไหลซึม
“ทำไมต้องดูถูกกันแบบนี้คะ คุณแซค”
“แล้วฉันพูดผิดไปตรงไหนล่ะ เธอสำส่อน มั่วไม่เลือก ใช้ผู้ชายเปลืองยิ่งกว่าผ้าอนามัย หึ... แล้วยังจะให้ฉันมองเธอว่าเป็นผู้หญิงแสนดีได้อีกหรือ”
น้ำตาที่ไหลคลอเบ้าตอนนี้กลิ้งหล่นลงมาตามแก้มนวล หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายทิ้ง
“ค่ะ ฉันเป็นผู้หญิงสำส่อน พอใจหรือยังคะ”
หล่อนก้าวลงจากเตียง น้ำตายังคงไหลซึม
“ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ และหวังว่าคุณแซคจะไม่ตามเข้ามาแอบดู”
เพราะน้อยใจเสียใจทำให้อดที่จะโต้ตอบกลับไปบ้างไม่ได้
“เพราะถ้าคุณแซคโผล่เข้ามาในห้องน้ำเมื่อไหร่ ฉันจะจับคุณแซคปล้ำ”
แล้วหล่อนก็ยกมือขึ้นป้ายน้ำตา ก่อนจะรีบวิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำทันที
“ผู้หญิงแพศยา”
แซคคารีย์คำรามในลำคอด้วยความเกลียดชัง ก่อนที่เขาจะตวัดขาลงจากเตียง และเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างออก สายลมเย็นฉ่ำพัดเข้ามาปะทะร่างหนุ่มเต็มแรง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรือนกายหนาวเหน็บได้เท่ากับความเย็นยะเยือกที่เกิดขึ้นภายในหัวใจได้เลยแม้แต่น้อย
“นารี... คุณหายไปไหน”