งานเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสของนารีรัตน์กับแซคคารีย์ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สมฐานะอภิมหาเศรษฐีของฝ่ายชาย และก็สมกับความรักที่เจ้าบ่าวมีให้กับเจ้าสาวแสนสวย
แขกเหรื่อที่เป็นผู้คนชั้นสูงของวงสังคมทั้งของประเทศไทยและต่างชาติโดยเฉพาะประเทศบ้านเกิดของแซคคารีย์ บินลัดฟ้ามาร่วมงานมงคลนี้กันอย่างล้นหลาม
หล่อนยืนตัวเกร็งอยู่ข้างบิดามารดาที่ยิ้มหน้าบานต้อนรับแขกเหรื่ออยู่หน้างาน เกลียดตัวเองยิ่งนักที่ยังไม่อาจจะยินดีกับพี่สาวฝาแฝดได้อย่างจริงใจ มันเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมากที่หล่อนแอบมีใจให้กับพี่เขยของตัวเอง
อลินดาพยายามยิ้มให้เป็นปกติที่สุด แต่มารดาของหล่อนก็ยังจับสังเกตจนได้
“ทำไมหน้าตาไม่สู้ดีเลย อย่าบอกนะว่าอิจฉานารีน่ะ”
คำถามของแม่ทำให้หล่อนยิ่งอดสู น้ำตาพาลจะไหล แต่ก็กลั้นยิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันไม่เคยอิจฉาพี่นารีจ้ะแม่”
“แล้วทำไมทำหน้าเศร้าล่ะ นี่มันงานมงคลของพี่สาวแกนะ”
แม่ยังคงมองหล่อนด้วยสายตาไม่พอใจเช่นเดิม และพ่อก็หันมามองหน้าหล่อนเช่นกัน
“นั่นสิ หน้าตาแกดูเศร้าๆ นะลินดา”
“คือฉัน... แค่ตื่นเต้นแทนพี่นารีน่ะจ้ะพ่อแม่ ไม่มีอะไรจริงๆ”
“อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกอิจฉาพี่สาวตัวเอง ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดแม่ตัดลูกกับแกเลย”
แม่ของหล่อนก็ยังคงมองหล่อนในแง่ร้ายเช่นเดิม และก็ยังรัก นารีรัตน์มากกว่าหล่อนไม่เปลี่ยนแปลง หล่อนน้อยใจมาเสมอกับความรักที่ไม่เท่ากันของพ่อและแม่ แต่ก็ไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้ ทำได้แค่เพียงก้มหน้ายอมรับโชคชะตาเท่านั้น
“ฉันเจียมตัวเองเสมอจ้ะ”
หล่อนตอบออกไปเสียงแผ่วเบา และก้มหน้าเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมา พ่อกับแม่ของหล่อนก็ไม่ได้สนใจไยดีหล่อนอีกเลย หันไปกล่าวเชื้อเชิญแขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมงานต่ออย่างมีความสุข
“เชิญค่ะ เชิญด้านในค่ะ”
กลิ่นไอแห่งความสุขคละคลุ้งจนหล่อนรู้สึกอึดอัด และสุดท้ายก็ตัดสินใจแยกตัวออกมาจากบิดาและมารดา มาหลบยืนอยู่นอกงานเลี้ยง หล่อนคิดว่าการมายืนรับลมเย็นๆ จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง แต่กลับยิ่งรู้สึกแย่ลง เมื่อสายตามองไปเห็นเจ้าบ่าวตัวโตกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ตัว
หล่อนยืนนิ่ง และบอกให้ตัวเองรีบหันหลังเดินออกไปจากตรงนี้ซะ แต่แซคคารีย์หันมาเห็นหล่อนเข้าเสียก่อน สายตาคมกริบสีสนิมยามนี้มืดลึกยามจับจ้องมาที่หล่อน
เดินออกไปสิ อย่าอยู่ตรงนี้ อลินดา รีบเดินไป!
เสียงในหัวร้องสั่งดังลั่น แต่ขากลับไร้เรี่ยวแรงที่จะก้าวเดินไปไหน มันยังคงยืนติดนึบอยู่ที่เดิม แถมดวงตาก็เบิกกว้าง จับจ้องมองผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาหาตลอดเวลา
“มีอะไรกับฉันหรือ ถึงออกมาหาที่นี่”
น้ำเสียงของเขากระด้าง ห้วน และไม่น่าฟังนัก แต่หล่อนชินชาแล้วล่ะ เพราะแซคคารีย์ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับหล่อนเสมอ ไม่ว่าจะที่บ้านหรือว่าที่ทำงาน
“ฉัน... ออกมาเดินเล่นค่ะ”
หล่อนกลั้นใจตอบ และก็อดไม่ได้ที่จะตวัดสายตามองเจ้าบ่าวรูปหล่อที่อยู่ในชุดสูทสีขาวเรียบหรูตรงหน้าอย่างพิจารณา
แซคคารีย์หล่อจัดและสง่างามทุกกระเบียดนิ้วเสมอ ยิ่งมาอยู่ในชุดสูทสีขาวสะอาดของเจ้าบ่าว เขาก็ยิ่งเหมือนกับเทพบุตรกรีกไม่มีผิด หัวใจของหล่อนเต้นแรงระรัว เรือนร่างทรงพลังผึ่งผายของเขาทำให้ผู้หญิงมากมายต่างยอมสยบอยู่แทบเท้า ไม่เว้นแม้แต่หล่อน แต่ผู้หญิงที่โชคดีมีเพียงคนเดียวเท่านั้นนั่นก็คือนารีรัตน์พี่สาวของหล่อนนั่นเอง
“คิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดของเธอหรือ”
เขาขยับเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น จนหล่อนได้กลิ่นกายเซ็กซี่และอันตรายของชายหนุ่มอย่างชัดเจน หัวใจสาวสั่นระริกแทบกระดอนออกมาจากอก และก็เป็นหล่อนเองที่ถอยหลังหนี
“ก็แล้วแต่คุณแซคจะคิดเถอะค่ะ ขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยว...”
แขนเรียวตกอยู่ในอุ้งมือร้อนอบอุ่น หล่อนมองแขนของตัวเองและเลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าหล่อจัดของแซคคารีย์
“คุณแซคมีอะไรกับฉันเหรอคะ” หล่อนถามกลับและก็บิดแขนของตัวเองจนได้รับอิสระ
สายตาคมกริบทอดมองมาอย่างดูแคลน และมันก็มีผลทำให้ใบหน้าของหล่อนร้อนฉ่า
“ฉันหวังว่าเธอคงไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย...” เขาหยุดพูดเล็กน้อยคล้ายกับต้องการให้หล่อนฟังให้ชัดๆ “เกี่ยวกับผู้ชาย ในงานแต่งงานของฉันกับนารีหรอกนะ”
หล่อนทำได้แต่เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง มองหน้าเขาอย่างน้อยใจ แต่ก็ไม่ได้แก้ตัวอะไรออกมา
“จะพยายามค่ะ”
หล่อนเค้นเสียงเจ็บปวดตอบกลับไป ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีจากไปอย่างรวดเร็ว น้ำตาไหลรินออกมา จนต้องยกหลังมือขึ้นป้ายทิ้ง
แซคคารีย์ไม่ผิดหรอกที่มองหล่อนสารเลวแบบนี้ เพราะหล่อนใจดีเอง ใจดีกับนารีรัตน์ ยอมรับสมอ้างเป็นผู้หญิงร่านสวาทในคลิปพวกนั้นกับแซคคารีย์ เพื่อแลกกับการที่ให้พี่สาวฝาแฝดหยุดการนำชื่อของหล่อนไปใช้มั่วผู้ชายอีก
“เธอโง่จริงๆ ลินดา”
หล่อนทำได้แค่คร่ำครวญออกมาด้วยความเสียใจเพียงเท่านั้น เพราะไม่อาจจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ร่างอรชรทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว และปล่อยใจให้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายยาวนาน