บทที่ 5 ฮูหยินเอกผู้อ่อนแอ 1

1785 คำ
“ท่านแม่ วันนี้ท่านแม่จะพาปิงเอ๋อร์ไปที่ใดหรือเจ้าคะ?” จ้าวเสวี่ยปิงเงยหน้าเอ่ยถามมารดาตนด้วยสีหน้าระคนตื่นเต้น ในตอนแรกที่นางได้ยินท่านแม่บอกว่าจะพานางออกไปข้างนอก เด็กน้อยมีสีหน้าท่าทางดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จ้าวเสวี่ยปิงกระวีกระวาดหาชุดสวยๆ สำหรับใส่ออกไปข้างนอกยกใหญ่ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้เป็นมารดาและแม่นมโม่ได้ไม่น้อย “วันนี้แม่จะพาเจ้าไปหาท่านตาท่านยายของเจ้าที่จวนตระกูลอู๋ ขากลับแม่จะพาเจ้าแวะเที่ยวชมตลาดพร้อมกับรับพี่ชายของเจ้ากลับมาด้วย” เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้า ใบหน้าเล็กมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่ไม่สร่างนับตั้งแต่ออกจากจวนมา เรื่องการศึกษาของบุตรชายบุตรสาว อู๋เยว่ฉินไม่ได้มีปัญหาหากว่าเขาจะส่งบุตรชายไปเรียนที่สำนักศึกษาในวังหลวงร่วมกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ ในขณะที่บุตรสาวกลับให้เรียนอยู่ที่จวนโดยมีอาจารย์มาสอนให้ ด้วยเพราะนางนั้นรู้ถึงความแตกต่างของสถานะชายกับหญิงดี อีกอย่าง หากบุตรสาวของนางร่ำเรียนอยู่ที่จวนจะทำให้นางรู้สึกอุ่นใจได้มากกว่า แต่มิใช่ว่านางไม่เป็นห่วงบุตรชายตัวน้อยที่ต้องออกไปเรียนข้างนอก ทว่า...ด้วยความที่จ้าวเสวี่ยชิงเกิดมาเป็นชายนั่นทำให้นางรู้สึกวางใจได้มากกว่าจ้าวเสวี่ยปิงผู้เป็นน้องสาวจริงๆ รถม้าเคลื่อนตัวมาได้ราวสามเค่อก็หยุดลงตรงหน้าจวนใหญ่หลังหนึ่ง อู๋เยว่ฉินอุ้มบุตรสาวลงจากรถม้าโดยการช่วยเหลือของอาซิน จากนั้นหญิงสาวก็จูงมือเล็กๆ ของเด็กจ้าวเสวี่ยปิงเดินเข้าไปในจวน อาซินเดินตามผู้เป็นนายเข้าไปพร้อมกับห่อของขวัญที่นายสาวตระเตรียมมาฝากบิดามารดา นางเป็นอีกหนึ่งคนที่เติบโตมาพร้อมๆ กับอู๋เยว่ฉิน ครั้นเมื่อหญิงสาวแต่งเข้าสกุลจ้าวเมื่อหลายปีก่อนก็ยังติดตามไปคอยรับใช้และคอยเป็นหูเป็นตาให้ผู้เป็นนายด้วยความภักดี ในเมื่อวันนี้ผู้เป็นนายเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมนางจึงติดตามอีกฝ่ายมาด้วย โดยให้แม่นมโม่ที่อายุมากกว่ารออยู่ที่จวนตระกูลจ้าว “เยว่เอ๋อร์” อู๋ฮูหยินเอ่ยทักบุตรคนเล็กของตนเองทันทีที่อีกฝ่ายย่างก้าวเข้าไปในห้องรับรอง หญิงชรามองดูบุตรสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไล่สายตาไปหาหลานสาวตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้เป็นมารดา “ปิงเอ๋อร์หลานยาย ไม่เจอกันนานเจ้าเติบโตขนาดนี้แล้ว” คนเป็นยายเอ่ยอย่างเอ็นดู “ปิงเอ๋อร์ คารวะท่านยายสิลูก” อู๋เยว่ฉินเอ่ยเสียงหวานกับบุตรสาว “ปิงเอ๋อร์คารวะท่านยาย ขอให้ท่านยายสุขภาพแข็งแรงเจ้าค่ะ” เด็กน้อยเอ่ยพร้อมกับย่อกายลงทำความเคารพผู้ใหญ่อย่างน่ารัก “ปิงเอ๋อร์ หลานสาวตัวน้อยของยาย ช่างน่าเอ็นดูอะไรเยี่ยงนี้ มา มาหายายมา” อู๋ฮูหยินเอ่ยพร้อมกับกวักมือเรียกหลานสาวเข้าไปหา สองยายหลานพูดคุยกันกะหนุงกะหนิงอยู่พักใหญ่ กระทั่งสาวใช้เดินเข้ามารายงานว่านายท่านใหญ่หรือก็คืออู๋เฮ่อผู้เป็นบิดาของอู๋เยว่ฉินกลับมาแล้ว “อยู่คุยกับบิดาเจ้าเสียก่อนเถิด เห็นอย่างนั้นเขาก็คิดถึงเจ้ามากทีเดียว” อู๋เยว่ฉินสบตากับมารดาอยู่ครู่หนึ่งก่อนนางจะพยักหน้ารับเบาๆ ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนตอนที่อู๋เฮ่อผู้เป็นบิดาบอกกับนางว่าเขาจะให้นางแต่งงานกับจ้าวเสวี่ย บุรุษที่มีอายุอานามใกล้เคียงกับผู้เป็นบิดา แน่นอนว่าในตอนนั้นนางย่อมต้องเอ่ยคัดค้านอย่างไม่ยินยอม ทว่าสุดท้ายแล้วมีหรือที่นางจะสามารถขัดความต้องการของผู้เป็นบิดาได้ เพราะต้องการสร้างเส้นสายทางการเมือง บิดาของนางจึงส่งนางไปแต่งงานกับจ้าวเสวี่ยเพื่อให้อีกฝ่ายสนับสนุนพี่ชายคนโตของนางที่ปีนั้นเขาสอบขุนนางได้ตำแหน่งทั่นฮวา ด้วยเหตุนั้นอู๋เยว่ฉินจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นได้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วตอนนั้นนางมีคนๆ หนึ่งอยู่ในใจ เดิมทีตระกูลอู๋นั้นเป็นตระกูลคหบดีตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงอ้ายซ่างอันเป็นเมืองหลวง ทว่าอู๋เย่เฉิงบุตรชายคนโตนั้นไม่ชอบการค้าขายจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนกระทั่งสอบขุนนางได้ จนนำมาซึ่งการแต่งงานภายใต้เงื่อนไขและผลประโยชน์ที่มีระหว่างกันของตระกูลอู๋และตระกูลจ้าว ด้วยความที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว อู๋เยว่ฉินจึงแต่งเข้าตระกูลจ้าวโดยไม่ได้เต็มใจและเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้นางกับผู้เป็นบิดาห่างเหินกันไปโดยปริยาย ระยะเวลาหลายปีก่อนที่อู๋เยว่ฉินจะตั้งครรภ์ หญิงสาวก็มักจะมาเยี่ยมเยือนมารดาที่จวนตระกูลอู๋บ้าง แม้ตัวคนมาไม่บ่อยครั้งแต่นางก็มักจะส่งของขวัญกลับมาที่จวนเดิมเสมอๆ ทว่าหลังจากนางตั้งครรภ์ลูกแฝดทั้งสองก็ห่างเหินไป เนื่องจากต้องคอยดูแลครรภ์กระทั่งลูกคลอดก็ยังหาโอกาสมาเยี่ยมบ้านเดิมตนไม่ได้กระทั่งวันนี้ เพราะต้องคอยระแวดระวังผู้ไม่ประสงค์ดี ไหนจะต้องคอยเสแสร้งแกล้งเล่นละครเป็นคนไร้ปากเสียงต่อหน้าสามีผู้ร้ายลึกมาหลายปีอีก ความสัมพันธ์ของนางครอบครัวเดิมจึงนับว่าห่างเหินกันไปมากทีเดียว หากมิใช่ว่าแม่นมโม่คอยส่งจดหมายมาหามารดาของนางอยู่เรื่อยๆ มาตรว่าวันนี้นางก็คงไม่กล้าเดินเข้าจวนมาด้วยสีหน้าปกติเรียบเฉยแบบนี้แน่ “เยว่เอ๋อร์คารวะท่านพ่อ” หญิงสาวลุกขึ้นย่อกายทำความเคารพบิดาเมื่ออีกฝ่ายเดินมาถึงม้านั่งที่นางกับมารดาและบุตรสาวตัวน้อยกำลังนั่งอยู่ ชายชราพยักหน้ารับเพียงครั้งเดียวก่อนจะหันไปมองร่างเล็กที่นั่งอยู่บนตักของผู้เป็นภรรยาคู่ชีวิต “ลูกโตจนป่านนี้แล้วค่อยพากลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ช่างน่าภูมิใจเสียจริงๆ” อู๋เฮ่อเอ่ยในขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ร่างเล็กของจ้าวเสวี่ยปิง เด็กน้อยมองหน้าคนที่จ้องหน้าตนเองกลับ ดวงตากลมโตมองชายชราที่ดูจากภานนอกแล้วใกล้เคียงกับผู้เป็นบิดาของตนตาปริบ ผ่านไปครู่หนึ่งร่างเล็กถึงได้ลงจากตักผู้เป็นยาย เด็กน้อยเดินช้าๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าของชายชรา จากนั้นก็ย่อกายทำความเคารพด้วยท่าทางเกร็งๆ “ปิงเอ๋อร์...คารวะท่านตาเจ้าค่ะ” เด็กน้อยเอ่ยบอกโดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นตา อู๋เฮ่อเห็นอย่างนั้นแล้วก็นิ่งหน้า ในใจนึกตำหนิบุตรสาวตนว่าเป็นเพราะนางไม่กลับมาเยี่ยมบ้านนานเกินไป หลานชายหลานสาวถึงได้ห่างเหินกับผู้เป็นตาอย่างเขาเช่นนี้ “ลุกขึ้นเถอะ” ชายชราเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทางห้วน จากนั้นก็เดินผ่านร่างเล็กของจ้าวเสวี่ยปิงไป อู๋เฮ่อเดินผ่านหน้าภรรยาไปยังหลังที่มีประตูเชื่อมกันอยู่บานหนึ่งซึ่งสามารถทะลุออกไปยังเรือนใหญ่ของพวกเขาได้ “ท่านแม่ ท่านตาก็ไม่ชอบปิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่เจ้าคะ” จ้าวเสวี่ยปิงเดินไปหามารดาพร้อมกับเอ่ยพร้อม ใบหน้าน้อยเวลานี้ไม่หลงเหลือรอยยิ้มใดๆ แล้ว “ปิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นกันเล่า ท่านตาไม่ได้ไม่ชอบหลานหรอกนะ เพียงแต่ท่านตาของหลานเป็นคนไม่ค่อยยิ้มเท่านั้นเอง” อู๋ฮูหยินออกรับแทนผู้เป็นสามี เด็กน้อยหันหน้ามองผู้เป็นยาย ทันใดนั้นหยดน้ำใสๆ ก็ไหลอาบลงเปื้อนก้อนแก้มขาวของนางทันที “ปิงเอ๋อร์” อู๋เยว่ฉินเอ่ยเรียกบุตรสาวเสียงอ่อน มือบางคว้าร่างเล็กของบุตรสาวเข้ามากอดปลอบ ผู้เป็นย่าเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาปลอบหลานสาวตัวน้อยด้วย “ท่านตาไม่เหมือนท่านพ่อของเจ้า แต่เป็นเพราะท่านตากับลูกไม่ค่อยได้พบหน้ากันจึงยังไม่สนิทสนมคุ้นเคยกัน หากท่านตาได้เห็นเจ้าบ่อยๆ แม่เชื่อว่าท่านตาจะต้องเอ็นดูปิงเอ๋อร์ของแม่มากแน่ๆ หลังจากนี้แม่จะพาเจ้ามาหาท่านตาท่านยายบ่อยๆ ดีหรือไม่” เวลาผ่านไปราวสองเค่อจ้าวเสวี่ยปิงก็กลับมาเป็นปกติ เด็กน้อยเลยหยุดร้องไห้แล้วอู๋เยว่ฉินจึงให้อาซินพานางออกไปเดินเล่นในสวนโดยมีคนสนิทของมารดาเดินออกไปเป็นเพื่อนด้วย “เยว่เอ๋อร์ นี่มันเรื่องอันใดกัน? เหตุใดปิงเอ๋อร์จึงร้องไห้ออกมาแบบนั้น” อู๋ฮูหยินเอ่ยถามเมื่อนั่งอยู่กันสองคนแม่ลูก ในตอนที่นางเห็นหลานสาวตัวน้อยหลั่งน้ำตา หัวใจคนเป็นยายก็ทั้งรู้สึกสงสารและงุนงงสับสนพอๆ กัน ทั้งยังตกใจไม่น้อยอีกด้วยที่จ้าวเสวี่ยปิงร้องไห้ออกมาหลังจากเห็นหน้าผู้เป็นตา ไหนจะคำพูดน้อยเนื้อต่ำใจนั่นอีก ฟังแล้วช่างสะท้อนใจนัก เด็กห้าขวบเช่นนางถึงกับรู้จักกับความรู้สึกเศร้าตรมแล้วเช่นนั้นหรือ เมื่อได้ยินคำถาม คนเป็นลูกสาวก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ เรื่องที่จ้าวเสวี่ยปิงไม่เป็นที่โปรดปรานเอ็นดูของจ้าวเสวี่ยอย่างไร้สาเหตุนี้ หากนางพูดออกไปให้มารดาฟัง ไม่รู้ว่ามารดาจะหาว่านางคิดมากหรือไร้สาระเกินไปหรือไม่ “ท่านแม่ จริงๆ แล้วปิงเอ๋อร์ของลูกมีเรื่องทุกข์ใจและน้อยใจจริงๆ เจ้าค่ะ” “ทุกข์ใจ...น้อยใจ? เด็กวัยห้าขวบที่ยังห่วงแต่เล่นสนุกไปวันๆ เช่นนั้นนะหรือรู้จักความทุกข์ใจแล้ว” อู๋ฮูหยินเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ในขณะที่ผู้เป็นลูกสาวพยักหน้ารับเบาๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม