เห็นความสำคัญ

2001 คำ
ร่างระหงเดินออกจากท้องพระโรงอย่างสง่างามพร้อมกับพัดคู่ใจ ราวกับการประชุมครานี้มิได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย ไม่ว่าผู้ใดก็นึกชื่นชม ไม่เว้นแม้แต่ นางกำนัลคนสนิทอย่างเสี่ยวหงที่หอบม้วนตำราเดินตามหลังนายเหนือหัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แน่นอนว่าการที่มีสตรีเดินออกมาจากท้องพระโรงย่อมเป็นที่สนใจของคนทุกผู้ ทว่าสายตาของเหล่าบุรุษทั้งหลาย มิได้มีผลต่อความคิดของซิงเยียนเลย บัดนี้ในศีรษะเล็กกำลังเฝ้านึกถึงเรื่องที่พระบิดาของตน เอ่ยปัดเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาท ผู้คนทั่วแคว้นต่างรู้ดีว่าองค์ฮ่องเต้มิมีโอรสเพื่อสืบบัลลังก์แม้แต่พระองค์เดียว และหลังจากที่สนมขั้นผินประสูติองค์หญิงเจ็ด จวิ้นหนิงเซียนแล้ว ก็ไม่มีสนมคนใดให้กำเนิดพระโอรสหรือพระธิดาอีกเลย “เห็นทีเรื่องนี้คงต้องพูดคุยกับเสด็จพ่อให้เข้าใจ” เพราะนับจากที่ซิงเยียนได้เข้ามาช่วยงานพระบิดา พระองค์ก็ไว้วางใจซิงเยียนมากขึ้น บ้างก็เรียกไปพูดคุย บ้างก็เรียกไปสอนเกี่ยวกับการปกครอง ทั้งยังมีการประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่าซิงเยียนจะเข้ามาเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ คอยช่วยจัดการเรื่องต่างๆ “พี่หญิงกลับมาแล้ว เรารีบไปกันเถิดเพคะ” “อันใดกัน ต้องรีบไปที่ใดหรือ” ซิงเยียนหันไปมองพระมารดาอย่างต้องการคำตอบ “ฮองเฮาเรียกสนมและองค์หญิงทุกพระองค์ไปรับน้ำชาที่ศาลาริมสระหลวง เรารีบไปกันเถิด สายมากแล้ว” ได้ยินคำบอกเล่าของมารดา ซิงเยียนก็พยักหน้าเข้าใจ แล้วจึงเร่งพากันไป วังหลังของราชวงศ์จวิ้น มิมีผู้ใดอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้ว่าจะพูดจาดีต่อกัน ทว่าลับหลังก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ บางคนอาจซ่อนมีดเอาไว้ พร้อมจะทำร้ายกันได้เสมอ องค์ฮองเฮาเองก็สนิทสนมกับพระสนมฉี สนมขั้นหวงกุ้ยเฟยที่ถือว่าเป็นสนมขั้นสูงกว่าพระมารดาของซิงเยียน แต่ทั้งสองก็ใช่ว่าจะไม่ชิงดีชิงเด่นกัน “เป็นเพราะข้าหย่อนยานในหน้าที่หรือไร จึงมีสนมและองค์หญิงมิรักษาเวลา เที่ยวเดินเตร็ดเตร่จนทำให้ผู้อื่นต้องรอ” ทันทีที่สนมหวังและองค์หญิงทั้งสองเดินขึ้นมาบนศาลา ฮองเฮาหลิวก็กล่าวบ่นออกมา พลางยกชาขึ้นดื่ม “ขอประทานอภัยฮองเฮาด้วยเพคะ เนื่องจากว่าหม่อมฉันมีงานที่ต้องรับผิดชอบ ต้องเข้าประชุมเช้ากับเสด็จพ่อทุกวัน จึงได้มาเข้าเฝ้าช้าเช่นนี้” ซิงเยียนยอบกายลงนั่งประจำที่ พลางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงโอ้อวด ไม่ว่าผู้ใดก็รับรู้ว่าหญิงสาวกำลังเย้ยหยันพวกนางทุกคน “เจ้าเป็นหญิง จะเข้าท้องพระโรงไปยุ่งเกี่ยวกับกิจของบุรุษได้อย่างไร สนมหวังมิเคยสั่งสอนบุตรีเลยหรือ จึงมิรู้ขนบธรรมเนียมเช่นนี้” “ขอประทานอภัยที่ต้องเอ่ยแทรกเพคะ เรื่องที่พี่หญิงต้องเข้าร่วมการประชุมเช้า มิใช่ความผิดของเสด็จแม่ แต่เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อ พระองค์คงจะเห็นถึงความสามารถของพี่หญิงเพคะ” หนิงเซียนว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทว่าถ้อยคำนั้นกลับอวดอ้างยิ่งกว่าเดิม จนผู้เป็นนางกำนัลของตำหนักพระสนมหวังลอบยิ้มกันเป็นแถว มิต่างจากพี่สาวอย่างซิงเยียนที่หัวเราะร่าอยู่ในใจ แม้ภายนอกน้องสาวนางจะดูอ่อนแอ แต่ก็เฉลียวฉลาด ดื้อรั้นมากทีเดียว “ถึงกระนั้นซิงเยียนก็เป็นสตรี ทั้งยังเป็นองค์หญิง ควรสงวนกิริยาต่อหน้าเหล่าขุนนางไว้บ้าง มิควรคิดการใหญ่เกินตัว” หวงกุ้ยเฟยพยักหน้า ผสมโรงกับองค์ฮองเฮาที่เอ่ยตักเตือน “ฮองเฮากลัวว่าหม่อมฉันคิดอยากได้ตำแหน่งองค์รัชทายาทของแคว้นจวิ้นอย่างนั้นหรือ อืม~ ช่างเป็นความคิดที่น่าสนใจยิ่งนัก” ท่าทางนึกขึ้นได้ของซิงเยียน ทำให้ฮองเฮาหลิวรู้ว่าตนเองได้ชี้โพรงให้กระรอกเสียแล้ว จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุยทันที “เหลวไหล! เอาเถิด ที่จริงแล้วข้าเรียกพวกเจ้ามา เพราะอยากจะปรึกษาเรื่องการจัดงานชมบุปผาใต้แสงจันทร์” “คราก่อนหม่อมฉันเป็นผู้จัดงาน ปีนี้คงจะเป็นสนมหวังเพคะ” สนมหานเอ่ยตามความเป็นจริง เรื่องการจัดงานเลี้ยงในวาระต่างๆ จะมีการวนเวียนให้ทั้งสนมและฮองเฮาได้เป็นผู้นำในการจัดงาน และครานี้ก็เป็นคราวของหวังเจียลี่ที่จะได้เป็นผู้แสดงความสามารถในการจัดงานชมบุปผาใต้แสงจันทร์ “ปีนี้มีผู้เข้าร่วมมากกว่าทุกปี ข้าจึงจะจัดการเอง” คำตอบของหงส์เคียงบัลลังก์ ทำให้หวังเจียลี่ต้องก้มหน้ารับอย่างเศร้าหมอง ทั้งที่นางจะได้แสดงความสามารถให้ผู้อื่นได้เห็น อย่างน้อยก็ทำให้ธิดาทั้งสองของนาง เห็นว่านางมิได้ด้อยค่า แต่เมื่อผู้มีอำนาจในเรื่องนี้เอ่ยว่าจะจัดการเอง นางก็มิอาจขัดได้ “ฮองเฮาเพคะ งานชมบุปผาในปีนี้ เสด็จแม่ของหม่อมฉันตั้งใจว่าจะจัดให้ยิ่งใหญ่ พระนางได้วางแผนการคร่าวๆ เอาไว้แล้ว เพราะคิดว่าจะได้เป็นแม่งานตามการเวียนรอบ” ซิงเยียนเอ่ยแทรกขึ้นมา จนมารดาที่นั่งอยู่เคียงข้างต้องรีบปราม “แม่มิเป็นไร” “แต่เสด็จแม่ได้ทาบทามและวางแผนงานไว้แล้วมิใช่หรือ อีกอย่างการจัดงาน พระสนมทุกพระองค์จะต้องเวียนกันจัดเช่นนี้อยู่แล้ว ปีนี้ถึงคราของเสด็จแม่ ก็ควรเป็นไปตามนั้นนะเพคะ” “ชักจะสามหาวเกินไปแล้วนะซิงเยียน มารดาข้าเป็นฮองเฮาย่อมมีสิทธิ์ขาดในเรื่องนี้” ซูหนี่ชักสีหน้าไม่พอใจ เดิมที่ก็เคืองเรื่องที่เสด็จพ่อให้ซิงเยียนเข้าท้องพระโรงอยู่แล้ว “…” ซิงเยียนนั่งนิ่ง หากอ้างเรื่องสิทธิ์ขาด ฮองเฮาหลิวก็ได้รับไปเต็มๆ “หึ! มิมีสิ่งใดจะค้านแล้วใช่หรือไม่” ยังไม่ทันที่องค์ฮองเฮาจะได้ยิ้มเยาะจนสาแก่ใจ เสียงขานการมาถึงของประมุขแผ่นดินก็ดังขึ้น เหล่าสนมและองค์หญิงต่างรีบลุกขึ้น เพื่อคารวะต่อผู้มาใหม่ “ฝ่าบาท” “อืม ทำอันใดกันอยู่หรือ จึงได้อยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้” “หม่อมฉันเรียกเหล่าสนมและองค์หญิงมาปรึกษา เรื่องงานชมบุปผาเพคะ” เสียงออดอ้อนของหงส์เคียงบัลลังก์มิใช่ว่าผู้ใดจะได้ยินง่ายๆ “ดีๆ มิได้มีสิ่งใดติดขัดใช่หรือไม่” “มิได้-” ฮองเฮาหลิวถึงกับหน้าตึงเมื่อถูกซิงเยียนเอ่ยขัด “มีเพคะ ลูกอยากขอให้เสด็จแม่จัดงานในครานี้เพคะ เดิมทีก็ถึงคราที่เสด็จแม่จะได้เป็นผู้จัดงานนี้อยู่แล้ว แต่ฮองเฮามิให้จัดเพคะ” “องค์หญิงซิงเยียน อย่าได้เอ่ยให้ฝ่าบาทเข้าใจข้าผิด หม่อมฉันเพียงเห็นว่างานปีนี้จะมีผู้คนมาเข้าร่วมมากกว่าเดิม จึงกลัวว่าสนมหวังจะเหนื่อยเอาได้เพคะ” องค์ฮ่องเต้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ “อย่างนั้นก็ให้ฮองเฮาจัดไปเถิด” ไม่ต้องบอก ทุกคนก็พอจะเดาได้ว่าองค์ฮองเฮายิ้มแย้มหน้าบานเพียงใด แต่มีหรือซิงเยียนจะยอม “หากเป็นเช่นนั้นลูกคงต้องขอลาประชุมเช้าสักระยะ ลูกต้องไปจัดการเรื่องยกเลิกการจ้างงานที่เสด็จแม่ได้ทาบทามไว้ก่อนหน้า เพราะตอนนั้นเป็นลูกที่ออกหน้าไปไถ่ถามให้” “ได้อย่างไร มีเรื่องบ้านเมืองมากมายที่เจ้าต้องทำ” ได้ยินดังนั้น ฮ่องเต้ของแคว้นจวิ้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที หากไม่มีซิงเยียน พระองค์จะตอบปัญหาทั้งหมดได้อย่างไร ทุกวันนี้หากมีเรื่องใดที่ตอบไม่ได้ หรือไม่อยากตอบ บุตรีก็จะเป็นคนคอยพูดแทน จนหลายวันมานี้พระองค์ผ่อนคลายขึ้นมาก มิต้องเตรียมตัวก่อนเข้าท้องพระโรง เพราะอย่างไรพระธิดาของพระองค์ก็ตอบคำถามแทนได้ “…” “เอาเป็นว่าให้สนมหวังจัดการเถิด ซิงเยียนจะได้ไม่ต้องไปยกเลิกงานใดๆ หากกลัวว่าจะไม่ไหว ก็ให้หนิงเซียนเข้าไปช่วยด้วย” เมื่อได้ยินดังนั้น ฝ่ายสนมหวังก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะเอ่ยขอบพระทัยสวามีที่ให้โอกาส ต่างจากองค์ฮองเฮาที่บัดนี้อับอายเกินทน ที่ถูกองค์กษัตริย์หักหน้าท่ามกลางเหล่าสนมและองค์หญิง แต่นั่นยังไม่ทำให้ฮองเฮาหลิวเจ็บใจเท่าการที่รู้ว่าซิงเยียนกลายเป็นบุคคลสำคัญไปเสียแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่วางพระทัยให้หม่อมฉันจัดงานนี้เพคะ” “อย่างไรก็จัดการให้เรียบร้อย แต่ครานี้ซิงเยียนคงมิได้อยู่ช่วยเจ้า เพราะช่วงนี้ข้าตั้งใจจะให้นางมาศึกษาการบ้านการเมือง จะได้ช่วยงานข้าได้มากขึ้น” แม้ฮ่องเต้หลงไท่จะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่นั่นกลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกหวั่นในใจขึ้นมา โดยเฉพาะมารดาของแผ่นดิน “หากว่าเป็นเรื่องการบ้านการเมือง ฝ่าบาทให้หนี่เอ๋อร์เข้าไปช่วยดีหรือไม่เพคะ หนี่เอ๋อร์ของเราศึกษาเรื่องนี้มาจากท่านราชครูไม่น้อย” “ใช่เพคะ ลูกเชี่ยวชาญมากทีเดียว พวกโรคระบาดในทางเหนือของแคว้น ลูกก็พอรู้วิธีแก้ปัญหานะเพคะ เราต้องให้ราษฎรเลี้ยงสัตว์ให้ห่างจากตัวเรือน เมื่อสัมผัสตัวสัตว์ก็ต้องรีบทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย เท่านี้ก็จะมิมีโรค” ซูหนี่อธิบายเสียยาวเหยียด ผู้ไม่รู้ก็ได้แต่นึกประหลาดใจ ที่องค์หญิงสามของแคว้นมีความรู้มากถึงเพียงนี้ เว้นแต่ซิงเยียนที่ยกมือปิดปากตนเองแทบไม่ทัน “คิกๆ” “เจ้าหัวเราะอันใด” “คึ! ขออภัยเพคะ หม่อมฉันเพียงนึกขันที่องค์หญิงสาม ยังมิรู้ว่าโรคระบาดได้หายไปจากเมืองทางเหนือ มานานกว่าสามปีแล้ว และวิธีรักษาโรค ชาวบ้านธรรมดาก็รู้กันถ้วนทั่ว บัดนี้ในหัวเมืองทางเหนือ ประสบปัญหาการปลูกพืชผักไม่ขึ้นต่างหาก ลูกพูดถูกหรือไม่เพคะเสด็จพ่อ” “เป็นอย่างที่ซิงเยียนว่า เอาล่ะ ข้ามีราชกิจที่ต้องทำมากมาย อย่างไรก็ต้องขอตัวก่อน” เมื่อผู้เป็นใหญ่ลุกขึ้น ทุกคนในศาลาต่างก็รีบก้มคำนับ ฮองเฮาหลิวและซูหนี่ที่เสียหน้า ก็อับอายเกินกว่าจะเอ่ยแย้งอันใด “ในเมื่อฝ่าบาทยกให้สนมหวังจัดงานชมบุปผา ก็อย่าทำให้พระองค์ต้องผิดหวัง จัดให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ” ว่าเพียงเท่านั้นฮองเฮาหลิวก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกลับตำหนัก ซิงเยียนและหนิงเซียนเองก็พาพระมารดากลับตำหนักด้วยเช่นกัน “ข้ามิคิดว่าเสด็จพ่อจะยอมให้เสด็จแม่จัดงานครั้งนี้ สีหน้าฮองเฮาจืดชืดไปเลยทีเดียว” หนิงเซียนพูดอย่างอารมณ์ดี “นั่นสิ เพราะเหตุใดกัน เมื่อก่อนฝ่าบาทมักจะให้สิทธิ์ขาดกับฮองเฮาเสมอ” “หึๆ เสด็จแม่ได้จัดงานนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือเพคะ อย่าได้คิดหาเหตุผลเลย” ซิงเยียนพูดราวกับมิรู้เหตุผล ทั้งที่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะเสด็จพ่อ เริ่มมองเห็นนาง และให้ความสำคัญกับนางมากขึ้น ยิ่งวันนี้พระองค์เห็นความสามารถที่ไม่ได้เรื่องของซูหนี่ ก็ยิ่งทำให้เสด็จพ่อตระหนักได้ว่ามีเพียงนางที่พอจะมีประโยชน์ ช่วยงานพระองค์ได้บ้าง ต่อไปก็ถึงเวลาที่จะต้องพูดถึงเรื่ององค์รัชทายาทของแคว้นจวิ้นเสียที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม