เขยแต่งเข้า

1784 คำ
“เอ่อ เรื่ององค์รัชทายาทของแคว้น ฝ่าบาทเห็นสมควรว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ให้มีการจัดการคัดเลือกสนมมาปรนนิบัติดีหรือไม่” เสนาบดีฮั่ว เสนาบดีกรมขุนนางเอ่ยถาม ด้วยเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องความมั่นคงของแคว้น ย่อมต้องพูดคุยกันให้กระจ่าง ในฐานะที่เขาอาวุโสที่สุดในที่นี้ จึงต้องออกปากถามกับฝ่าบาท “เอาไว้ก่อนเถิด สนมข้าก็มีมากมายแล้ว” “แต่เรื่ององค์รัชทายาท เรามิอาจรอได้นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกลัวว่าต่างแคว้นจะเข้ามาแทรกแซงได้” ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปัดไปอีกตามเคย “เอาเป็นว่าข้าจะไปทบทวนดูก่อน อีกสามวันข้าจะให้คำตอบพวกท่าน” “ฝ่าบาท-” “เสนาบดีฮั่วอย่าได้คาดคั้นเสด็จพ่อเลย เรื่องนี้ย่อมมีทางแก้ อีกอย่างทัพหลวงของเราก็ใช่ว่าจะด้อยสามารถ ย่อมทำให้ต่างแคว้นเกรงกลัวอยู่บ้าง พวกท่านรออีกสักสามวันจะเป็นไรไป” ซิงเยียนออกหน้าแทนพระบิดา นางเอ่ยถึงเพียงนี้แล้ว หากเสนาบดีฮั่วยังไม่ยอมรามือ ก็เท่ากับว่ามิให้เกียรติเสด็จพ่อ “พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อสิ้นสุดการพูดคุยเรื่องทายาทสืบบัลลังก์ องค์ฮ่องเต้ก็กลับเข้าตำหนักใหญ่ทันที ซิงเยียนที่ตั้งใจจะสนทนาเรื่องนี้กับพระบิดา จึงได้มาขอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว “หากเจ้าจะมาถามเรื่ององค์รัชทายาท ให้เวลาพ่อสักสามวันเถิด” สีหน้าเคร่งเครียดของพระบิดา ทำให้องค์หญิงสี่มั่นใจว่าต้องเป็นเรื่องน่าหนักใจเป็นแน่ “ลูกมิอาจรู้ได้ว่าเสด็จพ่อกำลังหนักใจเรื่องใดอยู่ ทั้งยังมิอาจเสนอความคิดได้ หากเสด็จพ่อมิยอมเอ่ยเล่าให้ลูกฟัง” สายพระเนตรขององค์กษัตริย์เลื่อนลงมา สบเข้ากับแววตาแห่งความมุ่งมั่นของซิงเยียน พ่อลูกสบตากันอยู่นาน ก่อนฮ่องเต้หลงไท่จะถอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พ่อ พ่อมิอาจมีบุตรได้อีกแล้ว มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ไม่ว่าจะให้หมอหลวงคนใดมารักษา ก็มิมีผู้ใดรักษาได้” กายใหญ่ทิ้งตัวลงกับพนักพิงเก้าอี้อย่างอ่อนแรง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระองค์ละอายเกินกว่าจะเอ่ยบอกผู้อื่น พูดออกไปก็รังแต่จะมีคนหัวเราะเยาะ เป็นถึงกษัตริย์ของแผ่นดิน แต่กลับมิมีโอรสไว้สืบราชสมบัติ “หากทำการรักษาไม่ได้จริงๆ เราต้องไปสืบเสาะหาเชื้อพระวงศ์ชายที่มีสายเลือดของราชวงศ์จวิ้น มารับตำแหน่งองค์รัชทายาทเพคะ” นอกจากซิงเยียนจะไม่ตกใจ นางยังเสนอแนวทางอย่างกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญทั่วไป จนผู้เป็นบิดานึกใจชื้นที่ไม่ถูกหัวเราะเยาะ “ไม่มีแม้แต่พระองค์เดียว พี่ชายและน้องชายของพ่อ ต่างก็สิ้นใจไปตั้งแต่ยังมิได้ตบแต่งชายา จึงมิมีบุตรสืบสกุล” “แต่หากเรายืดเยื้อไม่ยอมตัดสินใจเรื่ององค์รัชทายาท อาจมีคนใช้เหตุผลนี้ ก่อกบฏ ได้นะเพคะ” บทสนทนาเป็นไปอย่างเคร่งเครียด “พ่อเองก็มิไว้ใจเหล่าขุนนางเช่นกัน” “เอ่อ ท่านพ่อคิดอย่างไรกับการแต่งตั้งองค์หญิงสักพระองค์เป็นรัชทายาทเพคะ” คำถามของซิงเยียนทำให้ฝ่าบาทถึงกับยืดตัว นั่งหลังตรง “เรื่องนี้ผิดขนมธรรมเนียมเกินกว่าจะทำได้ มิเพียงแต่เหล่าขุนนางจะไม่ยินยอม แต่ราษฎรทั่วทั้งแผ่นดินก็จะมิพอใจที่วันข้างหน้าจะมีกษัตริย์เป็นสตรี” “เช่นนั้นก็คงเหลือเพียงทางเดียว” “อันใดหรือ” “ยกตำแหน่งองค์รัชทายาทให้ราชบุตรเขยเพคะ” ซิงเยียนหมายความว่า จะให้พระบิดาพิจารณาราชบุตรเขยที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเป็นองค์รัชทายาทของแผ่นดิน “เจ้าหมายถึงเขยแต่งเข้าหรือ” “ใช่เพคะ อย่างน้อยลูกหลานที่สืบต่อราชสมบัติก็ยังคงมีเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์จวิ้น และยังใช้แซ่จวิ้นในการสืบราชสมบัติต่อไป” ยิ่งฟังข้อคิดเห็นของบุตรสาว ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่ก็ยิ่งพอใจกับข้อเสนอนี้ “แต่คงยาก ที่บุรุษจะยอมเป็นเขยแต่งเข้า” “เสด็จพ่ออย่าได้กังวลไปเลยเพคะ ข้ามิคิดว่าผู้ใดจะโง่งม ทิ้งโอกาสนี้หลุดมือไป” “จริงดังเจ้าว่า แต่การจะทำเช่นนี้ พ่อคงต้องเขียนข้อกำหนดให้ชัดเจน หากไม่แล้วอาจเกิดการโต้แย้งกันภายหลัง” สองพ่อลูกนั่งปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่นานจนได้ข้อสรุปที่จะประกาศต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งหลาย “หากได้ข้อสรุปแล้ว ลูกขอตัวลาก่อนเพคะ” “ประเดี๋ยวก่อน…เจ้ามีบุรุษที่พึงใจแล้วหรือยัง” คำถามของบิดา ทำให้ซิงเยียนยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยนามของชายผู้นั้นออกไป “จงห่าวหราน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นจวิ้นเพคะ” “ฮ่าๆ เจ้าฉลาดนัก สมกับเป็นลูกพ่อ” จะมิให้ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่หัวเราะชอบใจได้อย่างไร ในเมื่อธิดาของพระองค์ฉลาดเลือกเช่นนี้ ภริยาเป็นองค์หญิงที่ประสูติจากสนม มีความสามารถปกครองบ้านเมือง ดูแลประชาราษฎร์ให้ร่มเย็น ส่วนสวามีเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้น ครอบครองทหารน้อยใหญ่นับแสนนาย แล้วภายหน้า ผู้ใดจะกล้าเอ่ยว่าพวกเขามิเหมาะกับบัลลังก์ทองอีกเล่า “ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ชมเชยเพคะ” “เช่นนั้นวันพรุ่งพ่อจะเรียกแม่ทัพใหญ่และบิดาของเขามาพูดคุยเรื่องนี้ เจ้าก็มาร่วมฟังด้วยกันเถิด” ผู้เป็นใหญ่ยกยิ้มให้ซิงเยียน มิใช่ว่าพระองค์ลำเอียง แต่พระธิดาอีกสามพระองค์ มิมีผู้ใดเก่งกล้าสามารถเรื่องการเมืองการปกครอง พระองค์จึงได้เชื่อใจซิงเยียน ว่าจะทำให้ราชวงศ์จวิ้นสืบราชสมบัติต่อไปในภายภาคหน้าได้ “เพคะเสด็จพ่อ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้ ร่างบางจึงรีบกลับไปส่งข่าวให้ท่านลุงและป้าสะใภ้ได้รับรู้ ทั้งยังต้องเตรียมตัวไปพูดคุยกับจงห่าวหรานในวันพรุ่งนี้อีกด้วย เช้าวันรุ่งขึ้น ซิงเยียนก็เข้าประชุมเช้าร่วมกับเหล่าขุนนางเฉกเช่นทุกวัน ทว่าวันนี้ นางกลับตื่นเต้นเป็นพิเศษ คงเพราะห่วงว่าเหล่าขุนนางจะยอมรับเรื่องการให้ราชบุตรเขยดำรงตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาทหรือไม่ “ข้าได้ไตร่ตรองเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว ด้วยเพราะข้าอายุมาก แต่ยังไม่มีโอรสไว้สืบราชสมบัติ หากจะให้ทำการคัดเลือกสนมและรอให้มีการประสูติพระโอรส อาจทำให้ระหว่างนี้เกิดความไม่มั่นคงของราชสำนักขึ้นได้” “เช่นนั้นฝ่าบาทตัดสินพระทัยเรื่องนี้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าคิดจะแต่งตั้งราชบุตรเขยเป็นองค์รัชทายาท” กล่าวเพียงเท่านั้น เสียงฮือฮาของเหล่าขุนนางก็ดังขึ้น จนฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่ต้องเอ่ยปราม และกล่าวข้อกำหนดของราชบุตรเขยที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับเลือกต่อ การคัดเลือกองค์รัชทายาทที่ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่คิดขึ้น จะใช้วิธีการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท ราชบุตรเขยที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือก จะต้องไม่เป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นอื่น และมีความสามารถ เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งนี้เหล่าองค์หญิงเองก็ต้องฉลาดหลักแหลม ให้สมกับตำแหน่งพระชายาเอก และว่าที่ฮองเฮาของแคว้นจวิ้น หลังจากที่มีราชบุตรเขยคนใดคนหนึ่งได้รับเลือกเป็นองค์รัชทายาทแล้ว เขาจะต้องเปลี่ยนมาใช้สกุลจวิ้น เพื่อขึ้นเป็นองค์กษัตริย์ของแคว้น และต้องแต่งตั้งองค์หญิงที่มีสายเลือดของราชวงศ์จวิ้นขึ้นเป็นฮองเฮา ในส่วนผู้ที่จะสืบราชสมบัติในภายภาคหน้าก็ต้องเป็นโอรสหรือธิดาที่ประสูติจากฮองเฮาและมีสายเลือดของราชวงศ์จวิ้นเท่านั้น “หากจะให้พูดกันตามตรง คือข้าต้องการให้สายเลือดของข้าได้สืบต่อราชสมบัติต่อไป” “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ในอดีตมิเคยมีกษัตริย์พระองค์ใดกระทำการเช่นนี้มาก่อน” เสนาบดีฮั่วเอ่ยค้าน “ข้าจะเป็นกษัตริย์องค์แรกที่ทำเช่นนี้ และข้าคิดว่าเหล่าบรรพชนของราชวงศ์จวิ้น ก็คงต้องการให้สายเลือดของเราสืบต่อราชสมบัติและดูแลไพร่ฟ้าต่อไป หรือพวกท่านคิดว่าข้าควรลงจากบัลลังก์ แล้วให้พวกท่านคนใดคนหนึ่งขึ้นมาแทนที่” “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” / “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันคุกเข่า หมอบกราบลงกับพื้น นายเหนือหัวเตรียมโยนข้อหากบฏมาให้เช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าคัดค้านเรื่องเขยแต่งเข้าอีกเล่า “ดี ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน ก็ให้เป็นไปตามนี้” ซิงเยียนลอบสบตากับหวังป๋อเหวิน แววตาซุกซนแฝงไปด้วยความมั่นใจของหลานสาว ทำเอาป๋อเหวินถึงกับส่ายหน้าอย่างปลงตก ช่างเหมือนเฟยหย่าเสียจริง หลังจากประชุมเช้าเสร็จสิ้น ซิงเยียนจะต้องเข้าไปพูดคุยกับสกุลจง ตามที่พระบิดาได้นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้า ร่างบางจึงให้เสี่ยวหงและเสี่ยวเฟินกลับตำหนักพระสนมหวังไปก่อน แล้วตนเองจึงเข้าไปรอพบแขกที่เสด็จพ่อเชื้อเชิญมา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรองค์หญิง” บุรุษทั้งสองก้มคำนับลงกับพื้นตามขนมประเพณีการเข้าพบเชื้อพระวงศ์ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตามที่องค์เหนือหัวเชื้อเชิญ “ฝ่าบาทเรียกพบกระหม่อมและบุตรชาย มีสิ่งใดให้รับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ” จงห่าวอู๋ อดีตแม่ทัพใหญ่ของแคว้นจวิ้นที่ได้ปลดระวางตนเอง และให้บุตรชายคนรองอย่างจงห่าวหราน ขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นแทน “มิได้ ข้าเพียงอยากสอบถาม ว่าจงห่าวหรานมีฮูหยินเอกแล้วหรือยัง” จงห่าวหรานได้ฟังดังนั้น ก็หันไปมองสตรีเพียงหนึ่งเดียวในห้องด้วยสายตาที่ซิงเยียนอ่านไม่ออก “บุตรชายของกระหม่อมยังไม่ตบแต่งผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ” “แล้วท่านจะว่าอย่างไร หากว่าข้าจะให้สมรสพระราชทานแก่ห่าวหราน” จงห่าวอู๋เบิกตากว้างด้วยความมิคาดคิด เขารู้มาว่าฝ่าบาทจะให้ราชบุตรเขยขึ้นเป็นองค์รัชทายาท มาตอนนี้ฝ่าบาทจะมอบสมรสพระราชทานให้กับบุตรชายของเขา มิใช่ว่าพระองค์อยากให้ห่าวหรานขึ้นเป็นองค์รัชทายาทหรือ ดี! ดียิ่ง “ย่อมเป็นเรื่องยินดีของสกุลจงพ่ะย่ะค่ะ” จงห่าวอู๋ดีใจออกนอกหน้า “แล้วท่านแม่ทัพเล่า คิดเห็นอย่างไร” เป็นซิงเยียนที่หันมาเอ่ยถามแม่ทัพหนุ่ม เพราะนางอยากรู้ความคิดของชายตรงหน้า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยินดีสนองรับสั่งของฝ่าบาท”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม