“นั่นองค์หญิงสี่มิใช่หรือ เหตุใดเข้ามานั่งในท้องพระโรงด้วย” เสียงพูดคุยของเหล่าขุนนางดังขึ้น เมื่อเห็นว่าซิงเยียนเดินตามหลังองค์ฮ่องเต้เข้ามานั่งข้างพระที่นั่งของกษัตริย์
ร่างสมส่วนสวมชุดสีแดงฉาน ปักดิ้นสีทอง ขับผิวกายขาวผ่อง เสริมให้ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วชวนดึงดูดให้ผู้คนหลงใหล เครื่องประดับแต่งแต้มบนศีรษะแสดงถึงยศศักดิ์ที่ดำรงอยู่เป็นอย่างดี มือบางกรีดกรายพัดขึ้นมาโบกสะบัดเบาๆ พลางกวาดแววตาคมกริบมองเหล่าขุนนางจนถ้วนทั่ว ชวนให้บรรยากาศในท้องพระโรงอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
“ข้าให้ธิดาของข้าเข้าร่วมประชุมเช้าในวันนี้ เพื่อที่จะชี้แจงเรื่องการแก้ปัญหาอุทกภัยในเมืองจี๋ฉวน ผู้ใดได้รับมอบหมายหน้าที่ ก็ให้ไปจัดการตามที่องค์หญิงสั่งการ” เมื่อพระบิดาเปิดทางให้ ซิงเยียนจึงนำแผนการของตนเองออกมากาง ก่อนจะเริ่มพูดคุยถึงแนวทางแก้ปัญหา
“วิธีแก้ปัญหาที่ข้าจะเสนอ เป็นการขุดคลอง และขุดบ่อพักน้ำ เพื่อใช้เป็นที่รองรับน้ำฝน…” เสียงอธิบาย ประกอบกับภาพร่างที่ซิงเยียนนำมา ทำให้เหล่าขุนนางเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ว่าองค์หญิงต้องการให้มีการขุดคลองภายในหมู่บ้าน เพื่อให้น้ำมีที่ระบายและไหลไปสู่บ่อขนาดใหญ่ที่จัดเตรียมเอาไว้ โดยน้ำเหล่านี้สามารถเก็บไว้ใช้ในการเพาะปลูกในช่วงที่ฝนไม่ตกได้อีกด้วย ถือเป็นการลดภัยแล้งไปในตัว
แท้ที่จริงแล้ว ซิงเยียนได้ฟังวิธีการแก้ปัญหาอุทกภัยมาหลากหลายวิธีจากผู้เป็นป้าสะใภ้ บ้างก็ขุดอุโมงค์ใต้ดิน บ้างก็มีการใช้เครื่องมือช่วยระบายน้ำ แต่วิธีเหล่านั้น มิอาจทำได้ในยุคสมัยของนาง หรือหากทำได้ก็ต้องใช้เวลานาน ซิงเยียนจึงเลือกที่จะใช้การขุดบ่อพักน้ำ เพราะอย่างไรที่ดินของแคว้นที่มิได้ทำประโยชน์ก็มีมากมาย
“แล้วต้องขุดบ่อขุดคลองใหญ่เท่าใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ขึ้นอยู่กับแต่ละหมู่บ้าน ข้าคิดคำนวณจากความเสียหายปีก่อนๆ และคาดการณ์ไว้แล้ว ว่าแต่ละหมู่บ้านควรขุดบ่อใหญ่และลึกเท่าใด” ซิงเยียนแจกแจงรายละเอียดไปทีละหมู่บ้าน พร้อมกับกระจายหน้าที่ไปให้ขุนนางได้ดูแล
“ส่วนเรื่องงบประมาณของการขุดแต่ละหมู่บ้านข้ากำหนดเอาไว้หมดแล้ว” ขุนนางที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ เปิดดูงบประมาณที่ได้รับ ทว่าเม็ดเงินกลับมิได้เป็นไปตามที่คาดเอาไว้
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ งบประมาณเพียงเท่านี้ กระหม่อมคิดว่าอาจจะไม่เพียงพอ”
“นั่นสิ พ่อเองก็คิดว่ามันน้อยเกินไป” เสียงของเจ้าแผ่นดินและขุนนางเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“หากว่าจ้างคนจากเมืองหลวงหรือคนต่างถิ่นไปทำ ย่อมมิเพียงพอเพคะ แต่ลูกจะให้ขุนนางจ้างคนในพื้นที่ จัดการขุดบ่อในหมู่บ้านตนเอง ค่าแรงจะถูกลง และได้ช่วยให้ชาวบ้านมีงานทำด้วยเพคะ” ซิงเยียนกางม้วนกระดาษ และชี้แจงเกี่ยวกับค่าแรงงานของคนในพื้นที่ พอคำนวณดูแล้วก็พบว่างบประมาณเพียงพอต่อการขุดบ่อพักน้ำในครานี้ จึงมิมีผู้ใดคัดค้านอีก
“เรื่องอุทกภัยถือว่าทุกท่านเข้าใจแล้ว วันนี้ผู้ใดมีเรื่องอื่นจะพูดคุยอีกหรือไม่” ฮ่องเต้หลงไท่เอ่ยถามกับข้าราชบริพารทั้งหลาย
“มีเรื่องนมวัวที่นำเข้ามาจากแคว้นอื่น บัดนี้ขึ้นราคาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“คราก่อนก็ขึ้นราคามาแล้วหนหนึ่งมิใช่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจึงอยากของบประมาณเพิ่ม เพราะนมวัวจะต้องใช้ในการปรุงอาหารและบำรุงพระวรกายของเหล่าเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์” ที่ขุนนางผู้นี้เอ่ยมาก็ไม่ผิด เป็นเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายที่ได้รับประโยชน์
“เช่นนั้น อืม…”
“ขอประทานอนุญาตเพคะ ลูกคิดว่าเรามิจำเป็นต้องซื้อนมวัวจากต่างแคว้นเพคะ-”
“แต่องค์หญิง นมวัวจำเป็นต้องมีนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ายังพูดไม่จบ ข้าหมายความว่า เรามิจำเป็นต้องซื้อนมวัวจากต่างแคว้น เพราะเมืองทางตะวันตกของเรา ราษฎรมีอาชีพเลี้ยงสัตว์กันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งโค วัว แกะ หรือแม้แต่แพะ เราสามารถรับซื้อจากชาวบ้านได้” ซิงเยียนเสนอความเห็น
“เรื่องนี้เป็นจริงอย่างที่องค์หญิงได้เอ่ยมาพ่ะย่ะค่ะ ทางตะวันตกของแคว้นมีชาวบ้านเลี้ยงสัตว์มากมาย และดูเหมือนจะมีการค้าขายนมวัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ป๋อเหวินสำทับ เพื่อให้สิ่งที่หลานสาวกล่าว มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือมากขึ้น
“เช่นนั้นก็ส่งคนไปเจรจากับชาวบ้านดูก่อน ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้ราคาที่ถูกกว่าต่างแคว้น ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือราษฎรด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมจะทำตามที่รับสั่ง” แม้มิพอใจที่ไม่ได้รับงบเพิ่ม แต่ขุนนางเฒ่าก็จำใจเอ่ยตอบรับ
ยิ่งการประชุมเช้าดำเนินต่อไปเรื่อยๆ องค์ฮ่องเต้ของแคว้นก็ยิ่งได้เห็นความสามารถของบุตรีคนที่สี่ ทั้งปัญหาเรื่องปากท้อง ปัญหาเรื่องภัยพิบัติ หรือแม้แต่ปัญหาเรื่องการค้าการขาย ซิงเยียนก็มีความคิดความอ่านที่เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น หากว่านางเกิดเป็นชาย พระองค์คงมิลังเลที่จะแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท
“วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก พรุ่งนี้ก็อย่าได้สายเล่า” หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ซิงเยียนก็ได้รับคำชมจากพระบิดา พร้อมกับคำสั่งให้เข้ามาร่วมการประชุมในเช้าของอีกวัน นับว่าที่ทุ่มเทอ่านตำราหามรุ่งหามค่ำ ไม่เสียเปล่า เพราะบัดนี้สายพระเนตรขององค์กษัตริย์ได้มองเห็นบุตรสาวผู้นี้แล้ว
“ท่านพี่ มิคิดว่าท่านจะแวะเข้ามา ข้าจึงมิได้เตรียมชาชั้นดีไว้ต้อนรับ”
“พระสนม กระหม่อมเพียงเดินมาส่งองค์หญิงเท่านั้น พระองค์สบายดีหรือไม่” สองพี่น้องทักทายกันตามประสา
หลังจากที่ประชุมเช้าเสร็จ ป๋อเหวินก็ขออนุญาตเข้ามาเยี่ยมน้องสาว บัดนี้ศาลาหน้าตำหนักจึงมีทั้งพระสนมหวังเจียลี่ ซิงเยียน หนิงเซียน และป๋อเหวิน
“ข้าสบายดี มิเจ็บปวดที่ใดเจ้าค่ะ ท่านพี่กับพี่สะใภ้เล่า”
“กระหม่อมและเฟยหย่าเองก็สุขสบายดีพ่ะย่ะค่ะ จริงสิ วันนี้องค์หญิงของเรา ทำให้ฝ่าบาทและเหล่าขุนนางทึ่งในความสามารถกันถ้วนหน้า”
“จริงหรือเพคะ พี่หญิง” ทั้งหนิงเซียนและเจียลี่ต่างยิ้มดีใจไปกับซิงเยียน
“จริง วันพรุ่งพี่ก็ต้องตื่นแต่เช้าไปร่วมประชุมในท้องพระโรงอีก” ไม่ว่าเปล่า ใบหน้างามเชิดขึ้นเล็กน้อย ทำท่าทีนิ่งเฉยราวกับโอกาสที่ได้รับเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่ภายในใจตื่นเต้นเสียจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“ลูกแม่เก่งกาจยิ่งนัก เอาเป็นว่าวันนี้แม่เข้าครัวทำอาหารให้เจ้าเองดีหรือไม่ ท่านพี่ก็อยู่รอก่อน ข้าจะทำฝากพี่สะใภ้ด้วย”
“เช่นนั้นเสด็จแม่ก็รีบไปทำเถิด ลูกเริ่มจะหิวขึ้นมาแล้ว” เมื่อบุตรสาวว่าดังนั้น มีหรือพระสนมหวังจะชักช้า รีบเข้าครัวไปทำอาหารที่บุตรสาวทั้งสองชื่นชอบ
ตั้งแต่ที่มีปากเสียงกันครานั้น นางและซิงเยียนก็ยังมิได้พูดคุยปรับความเข้าใจ พบหน้ากัน ก็เพียงทักทายและบุตรสาวก็กลับเข้าห้องไป มาครานี้บุตรสาวยอมพูดคุยกับนาง ถือเป็นเรื่องดียิ่ง
เรื่องราวการเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรงขององค์หญิงสี่ จวิ้นซิงเยียน ถูกเล่าลือกันไปทั่วทั้งวังหลวง เหล่าขุนนางที่มาร่วมประชุมต่างนำเรื่องนี้มาถกเถียงกัน ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงยินยอมให้องค์หญิงเข้าร่วมประชุมด้วย บ้างก็ว่าเพราะความสามารถ บ้างก็ว่าฝ่าบาทคิดจะให้องค์หญิงเข้ามาช่วยงานบ้านเมือง
“จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ” น้ำเสียงกังวลของฮองเฮาหลิวถามไถ่ผู้เป็นพ่อ
“เป็นเรื่องจริง มิเพียงแต่ให้เข้าไปฟังการประชุม แต่องค์หญิงสี่ยังได้ออกความเห็น มีหลายเรื่องที่ฝ่าบาทนำความคิดเห็นขององค์หญิงมาใช้”
“ฝ่าบาทคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
“และที่สำคัญไปกว่านั้น…ฝ่าบาททรงตรัสกับขุนนางทุกท่านว่า จากนี้องค์หญิงสี่จะเข้าประชุมด้วยทุกครั้ง อีกไม่นานคาดว่าจะมีการประกาศออกมาเป็นทางการว่าจะให้องค์หญิงสี่เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์” ในคราแรกเสนาบดีหลิวคิดว่า ฝ่าบาทคงจะให้องค์หญิงมาเสนอแนวคิดเรื่องอุทกภัยเท่านั้น แต่พระองค์กลับจะให้องค์หญิงมาประชุมด้วยทุกเช้า เรื่องนี้ไม่ปกติเสียแล้ว
“…”
“หากว่าองค์หญิงสี่เป็นชาย กระหม่อมคงคิดว่าฝ่าบาทกำลังคิดจะแต่งตั้งองค์รัชทายาท-” ยังไม่ทันได้พูดจบ สองพ่อลูกก็เงยหน้าสบตากัน นัยน์ตาของทั้งคู่สั่นระริก ตื่นกลัวกับความคิดของตนเอง
“ระ เรื่องนี้ยังไม่แน่นอน เราคอยดูไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่มีโอรส แต่อย่างไรก็คงมิกล้าขัดต่อขนบประเพณีที่สืบต่อกันมา คงมิ…”
คงมิแต่งตั้งองค์หญิงขึ้นเป็นองค์รัชทายาท สืบต่อราชสมบัติกระมัง