ปลากินเหยื่อ

1796 คำ
ในรัชสมัยขององค์ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่ ผู้คนต่างอยากเข้ามาเป็นขุนนาง บุตรพ่อค้าแม่ขายต่างหวังอยากมีโอกาส ได้สอบเข้ามารับใช้ราชสำนักกันทั้งนั้น ทว่ามิใช่เพราะพวกเขาจงรักภักดีต่อเหล่าเชื้อพระวงศ์ แต่เหตุผลหลัก คืออยากหนีจากความยากจน และการถูกกดขี่จากเหล่าขุนนางรับใช้แผ่นดิน “กระหม่อมได้ยินมาจากชาวบ้านว่าอยากมีที่สักการบูชาพระแม่กวนอิม ในเมืองหลานฮั่วพ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นก็จัดงบประมาณลงไป” “เอ่อ มีเรื่องการทำถนนหนทางไปสู่หมู่บ้านหลังเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “งั้นหรือ หากเสนาบดีหลิวเห็นว่าสมควร ก็จัดการตามนั้นเถิด คาดการณ์งบประมาณไว้เท่าใด ก็ยื่นเรื่องให้กรมการคลังจัดการ” เสนาบดีหลิว เสนาบดีกรมโยธาที่ควบตำแหน่งพ่อตา ก้มคำนับบุตรเขยผู้สูงศักดิ์ ก่อนจะยกยิ้มสำราญใจ บุตรสาวคนโตได้เป็นถึงฮองเฮา บุตรสาวคนรองก็เป็นสะใภ้ของสกุลหม่า ที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมการคลัง เช่นนี้จะมีผู้ใดสุขใจไปกว่าเขาอีกเล่า องค์ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่ มิได้เป็นกษัตริย์ทรราชที่มิใส่ใจความเป็นอยู่ราษฎร เพียงแต่พระองค์มิเคยรับรู้เลย ว่างบประมาณที่ได้จัดสรรไปนั้น มิได้นำไปช่วยเหลือชาวบ้าน แต่อยู่กับเหล่าขุนนางที่อมเบี้ยหวัดของหลวงจนพุงแทบแตก “ฝ่าบาท มีชาวบ้านมาร้องเรียนเรื่องเตรียมการรับมือกับอุทกภัยอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังป๋อเหวินเอ่ยขึ้น “เหตุใดเสนาบดีหวังมิจัดการเตรียมเสบียงเพื่อเยียวยาเล่า เรื่องเพียงเท่านี้ยังให้มากวนใจฝ่าบาทอีกหรือ” “ใต้เท้าเอ่ยเช่นนี้ เห็นชีวิตของราษฎรเป็นผักเป็นปลาหรืออย่างไร ในเมื่อเรื่องยังมิเกิด เราก็ควรหาทางแก้ไข จะปล่อยให้ชาวบ้านล้มตายกันก่อนหรือ” เมื่อได้ยินเสนาบดีหวังว่าดังนั้น ขุนนางทั้งหลายก็หน้าเจื่อนกันเป็นแถบ ท่านเสนาบดีกล่าวเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการต่อว่าพวกเขากลายๆ “เท่าที่ข้ารู้ เมืองจี๋ฉวนมักมีน้ำท่วมทุกปีใช่หรือไม่ เกิดขึ้นเพราะเหตุใด” “เกิดขึ้นเพราะช่วงวัสสานฤดู มีฝนตกหนัก และบางหมู่บ้านในเมืองจี๋ฉวนเป็นพื้นที่ราบลุ่มพ่ะย่ะค่ะ” “อืม…สร้างเขื่อนกั้นน้ำดีหรือไม่” เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ทำให้ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่ถึงกับนิ่งคิด จริงอย่างที่หวังป๋อเหวินว่า ปัญหานี้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนทุกปี แต่พระองค์ก็ยังแก้ไขมิได้ “ฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ การสร้างเขื่อนต้องใช้งบประมาณมากมาย ทั้งยังต้องใช้เวลานาน การสร้างเขื่อนอาจจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีนัก” เหล่าขุนนางต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ขุนนางชั้นผู้น้อยกล่าว “กระหม่อมเห็นด้วยว่าการสร้างเขื่อนคงไม่เหมาะสักเท่าใด ที่จริงแล้ว กระหม่อมเคยได้ยินเรื่องการขุดบ่อพักน้ำพ่ะย่ะค่ะ” “ขุดบ่อพักน้ำ เป็นอย่างไรหรือ เสนาบดีหวัง” “เรื่องนี้ข้ามิรู้แน่ชัด” ป๋อเหวินหันไปตอบขุนนางเฒ่าที่เอ่ยถาม “มิรู้ แล้วเหตุใดจึงเอ่ยขึ้นมา” คิ้วเข้มของเจ้าแผ่นดินขมวดเข้าหากันแน่น “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้กระหม่อมได้ยินมาจากองค์หญิงสี่และองค์หญิงเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ ทั้งสองพระองค์เอ่ยว่าการแก้ปัญหาอุทกภัย ทำได้โดยการขุดบ่อพักน้ำ แต่กระหม่อมมิได้สืบความต่อ จึงมิรู้รายละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงของป๋อเหวิน ผู้คนในท้องพระโรงต่างหันมองหน้ากันอย่างงุนงง พวกเขามิคิดมาก่อนว่าเหล่าองค์หญิงจะรับรู้ปัญหาของราษฎรด้วยเช่นกัน “เช่นนั้น ข้าจะไปถามเอาความกับพวกนางเอง” เมื่อองค์กษัตริย์ว่าดังนั้น ผู้นำสกุลหวังอย่างป๋อเหวินก็ลอบยิ้มอย่างพอใจ เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนการที่กำหนดเอาไว้ ปลาใหญ่ว่ายมากินเหยื่อล่อเสียแล้ว ซิงเยียนและหนิงเซียนกำลังนั่งเล่น พูดคุยกันอยู่บนศาลากลางสวนหลวง ข้างกายมีเสี่ยวหงและเสี่ยงเฟินที่พึ่งกลับมาจากพิธีศพของมารดาคอยปรนนิบัติพัดวีอยู่ หลายวันมานี้พวกนางแทบมิได้พักจากการอ่านตำรา เพื่อสืบเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการปัญหาเรื่องอุทกภัย ทั้งตำราที่อาจารย์เคยสั่งสอน และตำราที่จดบันทึกมาจากคำบอกเล่าของป้าสะใภ้ “พี่หญิงคิดว่าเรื่องที่ป้าสะใภ้มาจากกาลข้างหน้า เป็นเรื่องจริงหรือไม่” “เหตุใดจู่ๆ จึงสงสัยขึ้นมาเล่า พี่เห็นยามที่ป้าสะใภ้เล่าเรื่องราวต่างๆ เจ้าก็ดูตื่นตาตื่นใจ เชื่อไปเสียทุกสิ่ง หึๆ” ซิงเยียนหัวเราะขำน้องสาวต่างมารดาที่เติบโตมาด้วยกัน “ข้าเพียงคิดว่ามันจะมีจริงหรือไม่เท่านั้นเพคะ หากว่ามีจริงคงจะดีไม่น้อย” ทั้งเรื่องที่สามารถพูดคุยกันได้แม้จะอยู่คนละแผ่นดิน เรื่องที่สามารถเดินทางไปที่ไกลๆ ได้ในไม่กี่ชั่วยาม ทั้งยังมีเรื่องการแพทย์ที่เจริญรุ่งเรือง หากว่านางและมารดาไปอยู่ในยุคสมัยนั้น มารดาของนางคงจะมีชีวิตอยู่ “อาจจะจริง หรืออาจจะไม่จริง เรามิมีทางรู้ได้ เพียงแต่พี่มิเคยคิดว่าท่านป้าวิปลาส” “ข้าก็มิเคยคิดเช่นนั้น นอกจากจะมิวิปลาสแล้ว ยังเก่งกาจเหนือใคร ที่ทำให้ท่านลุงทั้งรักทั้งหลงเช่นนั้น คิกๆ” “ฮ่าๆ ไว้พี่สมรสเมื่อใด พี่จะไปขอกลยุทธ์ท่านป้าไว้บ้าง” “บุรุษใดได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงทั้งสองของหม่อมฉัน ย่อมต้องรัก ต้องหลงองค์หญิงอยู่แล้วเพคะ” “จริงอย่างพี่เสี่ยวหงว่า คิกๆ” เสียงหัวเราะของนายบ่าวดังไปทั่วสวนหลวง แต่ไม่นานก็ค่อยๆ เงียบลง เมื่อเห็นว่าองค์หญิงสามและองค์หญิงห้าของแคว้น เดินมาทางศาลาที่พวกนางอยู่ “เห็นทีเราต้องรับศึกหนักแล้วกระมัง มากันเป็นคู่เช่นนี้” คู่ที่ว่า คือจวิ้นซูหนี่และจวิ้นเลี่ยงหรู คนหนึ่งเป็นธิดาของฮองเฮา ส่วนอีกคนกำเนิดจากครรภ์ของสนมขั้นหวงกุ้ยเฟย ฟังดูก็รู้ว่ามีบารมีเพียงใด “พวกเจ้ารีบออกไปเสีย ข้ากับพี่หญิงซูหนี่จะนั่งที่ศาลานี้” เสียงแหลมของเลี่ยงหรูเอ่ยไล่พี่น้องต่างมารดา “ข้ามาก่อน เหตุใดต้องหลบหลีกให้พวกเจ้าด้วย แต่หากอยากนั่งด้วยกันที่ตรงบันไดก็ว่างอยู่ เชิญ!” นอกจากจะมิยอมลุกออกไป ซิงเยียนยังถดตัวลงนอนอย่างมิรู้ร้อนรู้หนาว หญิงสาวหลับตาพริ้ม ส่วนหนิงเซียนก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา จนคนที่เข้ามาทีหลังนึกโมโห ตวัดสายตาออกคำสั่งกับนางกำนัลคนสนิท “พี่หญิงระวังเพคะ โอ๊ย!” จอกชาถูกนางกำนัลชั้นต่ำหยิบขึ้นมาสาดใส่ซิงเยียนนี่นอนอยู่ ทว่าผู้ที่รับเคราะห์กลับเป็นหนิงเซียน ที่ยกแขนขึ้นมากันเอาไว้ “องค์หญิง!!!” “หนิงเซียน! เจ็บหรือไม่…กำนัลชั้นต่ำเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายเชื้อพระวงศ์” ทั้งเสี่ยวหง เสี่ยวเฟิน และซิงเยียนต่างรีบเข้ามาดูหนิงเซียน “คิๆ องค์หญิงที่เกิดจากสนมชั้นต่ำ จะมีความหมายอันใด เสด็จพ่อจำชื่อน้องสาวเจ้าได้หรือยังก็มิอาจรู้ได้” ซูหนี่ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “แต่น้องสาวข้าก็มีค่ากว่านางกำนัลพวกนี้กระมัง” ไม่ว่าเปล่า ซิงเยียนเปิดฝากาน้ำชา แล้วสาดเข้าใส่ใบหน้าของนางกำนัล คนที่สาดชาร้อนใส่หนิงเซียน “กรี๊ดดดดด ร้อนๆ หม่อมฉันร้อนเหลือเกินเพคะองค์หญิงสาม ช่วยหม่อมฉันด้วย ฮื่อ!” ทั้งใบหน้าและลำคอของนางกำนัลผู้นั้น เริ่มขึ้นสีแดงจนน่ากลัว ซูหนี่และเลี่ยงหรูเห็นดังนั้นก็มิพอใจเป็นอย่างมาก ทำร้ายคนของนาง ย่อมตีความว่ามิให้เกียรติพวกนางแม้แต่น้อย “ระวังไว้เถิด หากคราหน้ายังคิดรังแกพวกข้าอีก จะเป็นใบหน้างามๆ ของพวกเจ้าที่ถูกชาราดแทน” “เจ้ากล้าข่มขู่ข้าหรือซิงเยียน เสด็จแม่มิปล่อยเรื่องนี้ไปแน่!” “เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้น ทำให้ผู้คนในศาลาต่างหันไปมองผู้มาใหม่ “เสด็จพ่อ! มิ- มิมีสีสิ่งใดเพคะ ลูกเพียงเข้ามาทักทายน้องสาวตามประสา” ซูหนี่ค้อมตัวเล็กน้อย ก่อนจะพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวาน “ไม่มีสิ่งใดก็ดีแล้ว พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับซิงเยียนและหนิงเซียน” เมื่อเป็นคำสั่งขององค์ฮ่องเต้ จึงมิมีผู้ใดคิดจะขัด ต่างพากันกลับออกไปจากศาลา เว้นก็แต่เหล่าธารกำนัลของฮ่องเต้และซิงเยียนก็ยืนรออยู่ล่างศาลา “เสด็จพ่อมีสิ่งใดรับสั่งกับลูกและน้องหรือเพคะ” “พ่อจะพูดคุยเรื่องที่พวกเจ้าออกความเห็น เกี่ยวกับแก้ปัญหาอุทกภัยในเมืองจี๋ฉวน” “หากเป็นเรื่องนี้ เสด็จพ่อคงต้องถามพี่หญิงแล้ว ลูกเพียงออกความเห็นเล็กน้อย และคอยรับฟังเท่านั้น” หนิงเซียนมิได้ถ่อมตน แต่เรื่องนี้นางเพียงรับฟังผู้เป็นพี่ หากว่าจะรับเอาความดีความชอบมาเป็นของตนด้วย ก็ดูจะเกินไปเสียหน่อย อีกอย่างนางมิได้อยากเป็นที่สนใจ นางเพียงอยากสนับสนุนพี่สาวอยู่ด้านหลังเท่านั้น “เช่นนั้นหรือ” “เพคะ อย่างไรลูกขอไปพบเสด็จแม่ก่อนได้หรือไม่เพคะ ออกมานอกตำหนักเสียนาน” ซิงเยียนสบตากับน้องสาว ก็พอจะเข้าใจว่าหนิงเซียนต้องการหลีกทางให้ตน ได้แสดงความสามารถให้เสด็จพ่อเห็นอย่างเต็มที่ “อืม ไปเถิด” “อย่าลืมทายาด้วยเล่า” ซิงเยียนกระซิบกระซาบกับน้องสาว นัยน์ตามองตามหลังของหนิงเซียนไปจนลับสายตา แล้วจึงหันกลับมาสนทนากับพระบิดา หลักการและวิธีการแก้ปัญหาที่ซิงเยียนได้ศึกษามา ถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงที่จริงจังและมุ่งมั่น จนโอรสสวรรค์แปลกใจในบุตรีผู้นี้ กว่าจะพูดคุยปรึกษากันแล้วเสร็จ น้ำชาก็หมดไปหลายกา “วันพรุ่ง พ่อจะให้เจ้าเข้าไปร่วมฟังการประชุมเช้าที่ท้องพระโรง เตรียมการให้พร้อม อย่าให้เกิดข้อผิดพลาด” “เพคะเสด็จพ่อ ลูกจะทำให้ดีที่สุด” ร่างเล็กยอบกายส่งเสด็จองค์กษัตริย์ของแผ่นดิน ก่อนจะยกยิ้มกับตนเอง ประชุมเช้าในท้องพระโรงวันพรุ่ง คงสนุกไม่น้อย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม