“นี่เป็นข้อร้องเรียนจากราษฎร ทุกอย่างล้วนเป็นปัญหา มีทั้งปัญหาที่ร้องเรียนมาทุกปี แต่ก็ยังแก้ไม่ได้ และปัญหาที่เกิดขึ้นในปีนี้” ม้วนกระดาษนับสามสิบม้วนถูกเสนาบดีหวังวางลงบนโต๊ะ ต่อหน้าหลานสาวทั้งสอง
“ทั้งหมดนี่เลยหรือเจ้าคะท่านลุง” หนิงเซียนเห็นจำนวนของม้วนกระดาษถึงกับทำหน้าเหยเก ต่างจากซิงเยียนที่บัดนี้หยิบขึ้นมาอ่านดูคร่าวๆ
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ หากว่าองค์หญิงอยากเป็นที่ปรึกษาของฝ่าบาท ย่อมต้องรอบรู้ในทุกด้าน เรื่องอื่นๆ องค์หญิงทั้งสองได้เล่าเรียนมามากแล้ว เหลือเพียงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงกับราษฎรที่ต้องใช้ความรู้หาทางแก้” เมื่อหวังป๋อเหวินว่าดังนั้น หนิงเซียนก็หายใจโล่งขึ้นทันที
“เช่นนั้นข้ารอดตัวไปเจ้าค่ะ เรื่องที่ปรึกษาของเสด็จพ่อ พี่หญิงเหมาะสมที่สุด” เฟยหย่าหัวเราะในลำคอ เขารู้อยู่แล้วว่าองค์หญิงเจ็ด จวิ้นหนิงเซียน เพียงต้องการสนับสนุนพี่สาว มิคิดจะเข้าไปเป็นที่ปรึกษาของพระบิดาร่วมกับพี่สาว
“ข้าเอากลับไปอ่านที่ตำหนักได้หรือไม่เจ้าคะ” หากว่าให้อ่านทั้งหมดนี่ในระยะเวลาไม่นาน ซิงเยียนกลัวว่าจะตกหล่นเรื่องสำคัญไป
“เอาไปได้พ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวกระหม่อมจะให้คนนำไปเก็บที่รถม้าให้”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านลุง” หวังป๋อเหวินถอนหายใจ เมื่อเห็นอาการเจ็บปวดบาดแผลของหลานสาว
ตั้งแต่ยังเด็ก เยียนเอ๋อร์และหนิงเอ๋อร์ของเขามักจะมาเที่ยวเล่นที่เรือนสกุลหวังอยู่บ่อยครั้ง นานวันเข้า พวกนางก็สนิทสนมกับเฟยหย่า ภรรยาของเขา โดยเฉพาะซิงเยียน
ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือกิริยาต่างๆ ก็ถอดแบบกันมาอย่างกับแกะ นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ทะเยอทะยาน และนิสัยไม่ยอมคน ถูกปลูกฝังเข้าไปในตัวองค์หญิงสี่อย่างมิอาจแก้ได้ ไม่ต่างจากหลานสาวนอกไส้อย่างหนิงเซียน ที่ภายนอกอาจจะดูอ่อนโยนสดใส ยอมคน แต่ภายในกลับแฝงไปด้วยความดื้อรั้น เฟยหย่ามักเอ่ยเล่นๆ ว่า เยียนเอ๋อร์เหมือนเฟยหย่า ส่วนหนิงเซียนเหมือนเขา
กระนั้นทั้งภรรยาของเขาและหลานสาวก็มิได้เป็นคนชั่วช้า ที่คิดจะทำร้ายผู้อื่นก่อน
“คิดว่าทำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เฟยหย่าหันไปสบตากับหลานของสามี
“ทำได้เจ้าค่ะ ข้าจะใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนจากอาจารย์ ท่านป้า และท่านลุง มาช่วยแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ ให้จนได้” ซิงเยียนตั้งใจร่ำเรียนมาอย่างหนักก็เพื่อการนี้ นางจะทำพลาดมิได้เด็ดขาด
ตั้งแต่จำความได้ ซิงเยียนก็ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ ที่องค์หญิงของราชวงศ์พึงรู้ พร้อมกับเหล่าพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใด พวกนางย่อมได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งทั้งสิ้น ยกเว้น เรื่องของการเมืองการปกครองขั้นสูง ที่ท่านราชครูเห็นว่าสตรีมิจำเป็นจะต้องร่ำเรียน
เมื่อก่อนซิงเยียนเองก็คิดเช่นนั้น จนกระทั่งนางเริ่มถูกรังแกจากพี่น้อง ครั้นเอ่ยบอกกับมารดา พระนางก็ทำได้เพียงกล่าวปลอบใจ นานวันเข้าซิงเยียนจึงหนีมาหาป้าสะใภ้ที่เรือนสกุลหวังแทน
“หากมิอยากถูกกดขี่ ก็กระทำตนให้สูง” นั่นเป็นคำสอนของป้าสะใภ้ที่ทำให้ซิงเยียนต้องกลับไปมุ่งมั่นในการเรียนทุกศาสตร์ให้เชี่ยวชาญกว่าผู้ใด รวมถึงศาสตร์การปกครองและการต่อสู้ เพื่อหวังจะใช้ความรู้เหล่านี้ยกตนให้มีอำนาจเหนือคนเหล่านั้นได้
แน่นอนว่าก้าวแรกที่ซิงเยียนได้วางแผนไว้ คือการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของพระบิดา
ทันทีที่สองพี่น้องก้าวเข้าตำหนักของพระมารดา ก็พบว่าองค์ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่ บิดาผู้ให้กำเนิดของพวกนาง ประทับอยู่ที่ตำหนักด้วย
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ” / “ถวายพระพรเสด็จพ่อ” องค์หญิงทั้งสองก้มคำนับผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเข้าไปนั่งตามคำเชื้อเชิญ
“พ่อได้ยินว่าเจ้าถูกฮองเฮาสั่งลงโทษอย่างนั้นหรือ”
“เพคะ” ซิงเยียนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ และมิคิดจะเอ่ยขยายความเรื่องราว
“เช่นนั้นพ่อจะให้หมอหลวงมาดูอาการให้ทุกเช้าจนกว่าจะหายดี คราวหน้าก็อย่าได้ทำให้นางเคืองใจ”
“เพคะ” เมื่อได้คำตอบรับจากบุตรี กายสูงใหญ่ก็เดินออกจากตำหนักไป โดยมิได้สนใจความรู้สึกของซิงเยียนและหนิงเซียนเลยแม้แต่น้อย พระองค์มิได้สังเกตด้วยซ้ำว่าธิดาองค์ที่สี่กัดริมฝีปาก ข่มอารมณ์โกรธเอาไว้
“เอ่อ เสด็จพ่อเป็นห่วงพวกเจ้าทั้งสอง จึงได้แวะมาดู…เมื่อเห็นว่าพวกเจ้าไม่อยู่ พระองค์ก็ทรงประทับรออยู่นาน”
“คงเป็นบารมีของลูก ที่องค์กษัตริย์ของแผ่นดินมีใจเมตตาถึงเพียงนี้”
“เยียนเอ๋อร์ เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนั้นเล่า เสด็จพ่อรักและเป็นห่วงพวกเจ้ามาก”
“มิใช่ว่าเสด็จแม่ไปขอร้องอ้อนวอนให้พระองค์มาพบพวกข้าหรอกหรือ ผู้ใดก็รู้ว่าเสด็จพ่อมิได้รู้สึกยินดียินร้ายที่มีบุตรเป็นหญิง” แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะรับสตรีใดเข้าวัง หญิงเหล่านั้นก็ให้กำเนิดแต่ธิดา ไม่มีโอรสให้ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่สักพระองค์เดียว
ราชวงศ์จวิ้นจึงมีองค์หญิงด้วยกัน 7 พระองค์ ได้แก่
องค์หญิงใหญ่จวิ้นลี่จู องค์หญิงรองจวิ้นฟาง ประสูติจากหานกุ้ยเฟย
องค์หญิงสามจวิ้นซูหนี่ ประสูติจากฮองเฮาหลิว
องค์หญิงสี่จวิ้นซิงเยียน ประสูติจากหวังกุ้ยเฟย
องค์หญิงห้าจวิ้นเลี่ยงหรู องค์หญิงหกจวิ้นอันฉี ประสูติจากสนมขั้นหวงกุ้ยเฟย นามว่า ฉีซูเจียว
สุดท้ายองค์หญิงเจ็ดจวิ้นหนิงเซียน ประสูติจากสนมขั้นผิน แต่สนมหวังรับมาเลี้ยงดูตั้งแต่หนิงเซียนเกิด เพราะมารดาของหนิงเซียนสิ้นลมไปหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรี
แต่บัดนี้ในวังกลับเหลือองค์หญิงอยู่เพียงสี่พระองค์ คือองค์หญิงสาม องค์หญิงสี่ องค์หญิงหก และองค์หญิงเจ็ด นอกนั้นตบแต่งออกไปแล้ว บ้างก็แต่งเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแคว้น บ้างก็แต่งให้กับแม่ทัพกล้าที่ขอสมรสพระราชทาน
“เอาเถิดๆ แม่มิเถียงเจ้า หนิงเซียนพาพี่เจ้าเข้าไปพักในห้องบรรทมเถิด” สนมหวังจนใจจะอธิบาย เพราะอย่างไรเรื่องที่บุตรสาวเอ่ยก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด
“เราเข้าไปให้ห้องกันเถิดเพคะ พี่หญิง” ซิงเยียนพยักหน้าให้น้องสาว ก่อนจะพากันเข้าไปในห้อง และนำม้วนกระดาษขึ้นมาอ่าน จากหนึ่งม้วน ก็กลายเป็นห้าม้วน สิบม้วนไปเรื่อยๆ
สองพี่น้องใช้เวลาร่วมห้าวัน ในการอ่านพิจารณาปัญหาบ้านเมืองทั้งหมด จนพบว่าปัญหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการร้องขอความเป็นธรรมให้ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถูกขโมยของ การถูกตัดสินโทษโดยมิเป็นธรรม ซึ่งซิงเยียนคิดว่าประเด็นเหล่านี้ให้ท่านลุงของเขาจัดการน่าจะดีกว่า
“พี่คิดว่าปัญหาเรื่องอุทกภัยน่าสนใจไม่น้อย เจ้าว่าอย่างไร…หนิงเซียน” ซิงเยียนเงยหน้าขึ้นมาจากม้วนกระดาษ ก็พบว่าน้องสาวของนางกำลังนั่งหลับ ร่างเล็กโอนเอนไปมาอย่างน่าเอ็นดู
พี่สาวที่แสนดีอย่างซิงเยียนจึงเอื้อมไปหยิบพู่กันขึ้นมาแต้มลงบนใบหน้ากลม จากหนึ่งจุดบนจมูกงอน ก็เริ่มลากเส้นตรงลงแก้มเนียนถึงสามเส้น
“อื้อ อ๊ะ! พี่หญิง ทำอันใดเพคะ” สองมือของหนิงเซียนสัมผัสถึงความชื้นบนใบหน้า ก็รับรู้ว่าตนเองถูกพี่สาวกลั่นแกล้งเสียแล้ว
“ฮ่าๆ เพราะเจ้าแอบหลับ ทิ้งพี่ให้อ่านข้อร้องเรียนอยู่ผู้เดียว น้องพี่จึงได้กลายเป็นลูกกระต่ายไปเสียแล้ว คิกๆ”
“พี่หญิงล่ะก็ นี่จะเข้ายามจื่อแล้วนะเพคะ (23:00 – 00:59 น.) หาว~” ว่าไป ปากเล็กก็หาวไปด้วย
“พี่ก็บอกแล้วว่ามิต้องอยู่เฝ้า” ซิงเยียนว่าพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าทำความสะอาดรอยหมึกให้น้องสาว
“ได้อย่างไรเพคะ เสี่ยวหงกับเสี่ยวเฟินไม่อยู่ ผู้ใดจะรินน้ำชาให้พี่หญิงของน้อง”
“หึๆ พี่มิเห็นจะได้ดื่มน้ำชาจากเจ้าสักจอก” หญิงสาวหัวเราะเล็กน้อย แท้จริงแล้ว เป็นหน้าที่ของเสี่ยวหงและเสี่ยวเฟินที่จะคอยเฝ้า ยามที่นางอ่านตำรา แต่ด้วยมารดาของทั้งคู่สิ้นลม จึงพากันออกจากวังเพื่อไปจัดการพิธีศพ หนิงเซียนจึงอาสามาอยู่ปรนนิบัตินาง ยามอ่านตำรา
“โถ่ ข้าทำอยู่นี่อย่างไร…ไม่ว่าพี่หญิงจะทำสิ่งใด ขอให้รู้ไว้ว่าข้าจะสนับสนุนท่านทุกทาง”
“รวมถึงเรื่องที่พี่คิดจะนั่งบัลลังก์ด้วยใช่หรือไม่” ซิงเยียนเอ่ยเรื่องนี้ทีไร หนิงเซียนก็เป็นอันต้องหน้าซีดเผือด
“มิใช่ว่าข้ามิอยากให้พี่หญิงนั่งบัลลังก์ แต่เราเป็นหญิงนะเพคะ ข้ากลัวว่า…” หนิงเซียนกลัวว่า หากดื้อรั้นคิดทำการใหญ่เกินตัว อาจนำภัยมาสู่พี่สาวได้
“หึๆ เด็กน้อย คิดว่าพี่จะกบฏหรือ ฮ่าๆ”
“พี่หญิง! ท่านกลั่นแกล้งข้าอีกแล้ว”
“โอ๋ๆ พี่มิได้คิดจะทำการใหญ่เช่นนั้นหรอก พี่เพียงจะทำให้ท่านพ่อแต่งตั้งพี่เป็นองค์รัชทายาท หรือไม่ก็…” ซิงเยียนนิ่งไป ก่อนจะยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“…”
“หรือไม่ก็...ชายาเอกขององค์รัชทายาท”
“!!!” หนิงเซียนถึงกับตาโต นี่พี่สาวของนางมีบุรุษในใจแล้วหรือ
ผู้ใดกัน!
“ฮ่าๆ มาช่วยพี่ดูปัญหาอุทกภัยของหัวเมืองทางตะวันออกดีกว่า ดูเหมือนว่าปัญหานี้ถูกร้องเรียนมาทุกปี แต่ก็มิได้รับการแก้ไข มีเพียงส่งเสบียงไปเยียวยาเท่านั้น” ซิงเยียนคิดว่าเรื่องนี้สมควรจะถูกแก้เสียที
เห็นทีคืนนี้นางจะไม่ได้นอนอีกแล้ว