“ไม่เอาแล้วครับ กลัวแล้ว ๆ ยอมแพ้ ว่าแต่ให้ช่วยล้างจานไหม”
นลินส่ายหน้า
“ไม่ต้อง ฉันล้างเอง นายไปทำอย่างอื่นเถอะ”
“แต่ฉันอยากช่วยนี่นา มาเถอะ” พูดจบคิมหันต์ก็แย่งจานในมือบางไปก่อนจะเอ่ยชวนคุยต่อ “เธอจะไปอยู่หอกับฉันที่กรุงเทพฯ ใช่ไหม”
“ก็ใช่สิ เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่ ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากนาย อีกอย่างฉันก็ไม่ได้มีเงินพอที่จะไปอยู่คนเดียวหรอกนะ”
“ดีเลย ว่าแต่ฉันขอถามความเห็นเธอหน่อย” เขาว่า “เธอคิดยังไงถ้าฉันจะไปเป็นดารา… คือพอดีมีโมเดลลิ่งที่รู้จักเขาติดต่อมาน่ะ เขาปั้นคนดังมาหลายคนแล้วด้วย”
“แต่นายไม่ชอบเป็นจุดสนใจไม่ใช่เหรอ ไม่ชอบที่คนเยอะ ๆ ไม่ชอบออกกล้อง แถมยังใจร้อนขี้หงุดหงิด เอาแต่ใจอย่างนายใครจะไปรับมือไหวกัน” นลินพล่ามยาวเหยียด ทำเอาคนฟังขมวดคิ้ว
“เอ้า พูดแบบนี้ดูถูกกันเหรอลิน”
“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันหมายถึงว่านายไม่ชอบงานแบบนี้ นายใจร้อน อารมณ์รุนแรง ถ้าทำงานพวกนี้มันต้องทำกับส่วนรวมเป็นใหญ่นะ นายจะโอเคจริง ๆ ใช่ไหม”
“ฉันคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่นะ แถมได้เงินเยอะด้วย” คิมหันต์กล่าว “ฉันจะได้เอาเงินมาเลี้ยงดูเธอยังไงล่ะ ยัยหมูน้อย”
“นี่ ไม่ต้องมาเลี้ยงดูฉันเลย เดี๋ยวฉันก็จะหางานทำเหมือนกัน ฉันไม่อยากเป็นภาระให้นายหรอกนะ ฉันไม่อยากให้นายต้องมารับผิดชอบหรือรู้สึกว่าฉันเป็นภาระสำหรับนาย” นลินพูดจากใจจริง
“ใจเย็นลิน ฉันก็ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นภาระสำหรับฉันเลยนะ สำหรับฉันเธอคือคนพิเศษ เป็นเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนที่ดีของฉันไง”
“ถึงนายจะไม่คิด แต่ถ้าคนอื่นรู้เข้าก็ต้องคิด แล้วคนอื่นจะมองฉันยังไงคิมหันต์” คำถามของนลินทำให้คิมหันต์เงียบไปสักครู่หนึ่ง เห็นอย่างนั้นเธอจึงพูดต่อ “ฉันอยากอยู่ได้ด้วยตัวของฉันเอง ไม่อยากต้องลำบากนาย อีกอย่างฉันก็ไม่คิดว่าจะพึ่งนายไปตลอดชีวิตด้วย สุดท้ายพอเราเรียนจบแล้วเราก็ต้องแยกย้ายกัน นายทำงานของนาย ส่วนฉันก็ทำงานของฉัน”
“แต่ฉันอยากอยู่กับเธอแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นะลิน มันเป็นเรื่องดี ๆ ในทุก ๆ วันที่ได้เจอเธอ” คิมหันต์ท้วง สีหน้าจริงจังของเขาทำให้นลินแอบใจกระตุกไปชั่วครู่ ราวกับเธอกำลังตกหลุมในใจที่ไม่อยากจะตกลงไปมากที่สุด...
นั่นคือการตกหลุมหลักเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดอย่างคิมหันต์
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันหยุดพักผ่อนสำหรับครอบครัวของใครหลาย ๆ คน และก็เป็นวันพักผ่อนสำหรับครอบครัวของนลินและคิมหันต์ด้วยเช่นกัน ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่กับครอบครัวอีกแล้ว แต่ทั้งสองก็เปรียบเสมือนครอบครัวของกันและกัน ดูแลเอาใจใส่กัน คอยเป็นห่วงเป็นใยกัน ราวกับเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
นลินตื่นสายเป็นพิเศษเนื่องจากเมื่อคืนมัวแต่อ่านหนังสือนวนิยายเล่มโปรดจนลืมดูเวลา ไปนอนเอาเสียดึกดื่นกว่าปกติ ทว่าเธอก็ยังตื่นไวกว่าคิมหันต์อยู่ดี
ร่างบางลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจซ้ายขวาสองสามที ก่อนจะเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองในห้องน้ำ ตั้งแต่ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อย ก่อนจะออกมาเข้าครัวทำอาหารเช้าสำหรับตัวเองและคิมหันต์ วันนี้เธอไม่มีเวลาทำอะไรพิถีพิถันมากนัก เลยเลือกที่จะทำแซนด์วิชไส้ทูน่ามายองเนสง่าย ๆ กับไข่ดาว เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเธอก็ไปปลุกให้คิมหันต์ตื่นนอน
“คิม ตื่น สายแล้ว มากินข้าว” เสียงนุ่มเอ่ยข้าง ๆ ชายหนุ่มที่กำลังหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว พลางเอามือเข้าไปเขย่าตัวให้คนที่หลับอยู่รู้สึกตัวตื่น แต่เหมือนเขาจะงอแงไม่อยากตื่นนอนสักเท่าไหร่ “คิมหันต์ ตื่นเดี๋ยวนี้ ! อ๊ะ !”
มือเล็กกำลังจะเอื้อมไปเขย่าตัวคนบนเตียงอีกครั้ง ทว่ากลับโดนดึงลงมานอนกอดบนเตียงด้วยเสียแล้ว คิมหันต์กอดเธอแน่นราวกับกำลังกอดหมอนข้างใบโปรด
“ปล่อย คิมหันต์ตื่นได้แล้ว ไปกินข้าว !” นลินพยายามจะดิ้นออกจากอ้อมกอดของคิมหันต์และปลุกให้เขาตื่น แบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพหัวใจของเธอเลยสักนิด เธอกำลังเขิน และทำอะไรไม่ถูก...
“อือ รู้แล้ว ขออีกสิบนาทีนะ” คิมหันต์งึมงำตอบออกมาก่อนจะกอดนลินเข้าไปแน่นกว่าเดิมแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง นลินเองก็ดิ้นจนเหนื่อย ทำอย่างไรก็ไม่ตื่นเสียที สุดท้ายเธอก็หมดแรงหลับคาอ้อมกอดของเขาโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง นลินค่อย ๆ ปรือตารับแสงแดดยามสายที่แยงตาเข้าอย่างจัง เธอขยี้ตาเบา ๆ ก่อนจะตื่นขึ้นมาแล้วมองไปรอบ ๆ นี่มันห้องคิมหันต์นี่นา !
เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงรีบลุกออกจากเตียงนอนเพื่อมองหาเจ้าของห้องว่าเขาออกไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้เธอนอนอยู่คนเดียว และทันใดนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้น
“ลิน ตื่นแล้วเหรอ”
“ก็ตื่นแล้วสิ ฉันปลุกนายก็ไม่ยอมตื่น แถมนายยังดึงฉันมากอดอีก สุดท้ายฉันเลยเผลอหลับเลยเห็นไหม !” นลินโวยวายเสียงดังแก้เขิน
“ก็ฉันง่วงนี่ เมื่อคืนเล่นเกมกับเพื่อนจนดึก”
“แล้วทำไมนายตื่นแล้วถึงไม่ปลุกฉันเล่า !”
“ก็ฉันเห็นเธอนอนหลับ ยิ้มเหมือนกำลังฝันดีเลย ใครจะไปกล้าปลุกเธอกัน” คิมหันต์เถียง
“แต่นายก็ควรจะปลุกฉันไหม ใครให้มาเฝ้าฉันนอนเนี่ย !”
“แล้วจะมาโวยวายอะไร ก็ตื่นแล้วนี่ไง มากินข้าวเร็ว”
“รู้แล้วน่า !” พูดจบร่างบางก็เลื่อนเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับคนตัวสูงที่เล่นโทรศัพท์ไป ดื่มกาแฟตอนเช้าไป เขาดูไม่รู้สึกเขินหรือมีอาการอะไรเลยสักนิด นลินพยายามจะปัดความสนใจด้วยการหยิบแซนด์วิชขึ้นมาทาน ทว่าใบหน้าของเธอยังคงยู่ยี่ด้วยความหงุดหงิด คล้ายกับเป็นการแสดงกลบเกลื่อนความเขินอย่างไรอย่างนั้น
“วันนี้เธอตื่นสายเหรอ” คิมหันต์ละจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเอ่ยถาม
“ทำไมถึงรู้ล่ะ”
“ก็ถ้าเธอตื่นเช้าเป็นเวลาปกติเธอจะทำอาหารเป็นกับข้าวนี่ ไม่ก็พวกข้าวต้ม มีแค่วันที่เธอตื่นสายเท่านั้นแหละ เธอถึงจะทำพวกแซนด์วิช แพนเค้ก อะไรแบบนี้”
“นายเดามั่วหรือเปล่า” นลินยักคิ้ว
“ฉันพูดจริงไม่จริงเธอก็รู้ดีอยู่นลิน ฉันรู้ใจเธอทุกเรื่องนั่นแหละ ถึงฉันจะไม่ได้บอกหรือแสดงอาการอะไร แต่ทุกอย่างที่เธอทำมันอยู่ในสายตาของฉันตลอด” คิมหันต์พูดจบก็ยกกาแฟขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบกระเป๋าและเดินไปสวมรองเท้าก่อนจะออกจากห้อง “ฉันไปก่อนนะ วันนี้มีนัดกับไอ้สิงกับไอ้ทัพ”