2 ปีต่อมา…
มาริน’ s Part
ในห้องประชุมที่ตอนนี้ตัวแทนของพนักงานแต่ละฝ่ายต่างก็นั่งก้มหน้ากัน เพราะกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ จู่ๆ ทุกคนต่างก็ถูกเรียกตัวให้มาประชุมด่วน รวมทั้งตัวฉันเองก็ด้วยเหมือนกัน ไม่น่านประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกและคนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกคือ… บอส หรือพี่อาทิตย์นั่นเอง!
ฉันทำงานเป็นเลขาของพี่อาทิตย์มาได้ 2 ปีกว่าแล้ว แต่ไม่มีใครในบริษัทรู้ว่าฉันเป็นน้องของพี่อาทิตย์ เพราะตอนที่เข้ามาทำงานวันแรกฉันขอไว้ว่าอยากทำงานเป็นพนักงานเท่าเทียมกับคนอื่นๆ กลัวคนจะมองว่าเป็นเด็กเส้นแล้วจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้อ่ะสิ ฉันก็อยากมีเพื่อนในที่ทำงานที่สนิทใจเหมือนกันนะ
แล้วพี่อาทิตย์ก็ตามใจฉันเหมือนเคย เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ที่บริษัทเราสองคนก็เป็นเจ้านายกับเลขา ไม่มีพี่อาทิตย์กับมารินเด็กดื้ออีกต่อไป
“ผมเรียกทุกคนมาในวันนี้ คิดว่าคงจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น!” เสียงเรียบนิ่งของบอสเริ่มพูดทันทีที่นั่งลง ตามด้วยพี่อคิณที่ยืนอยู่ข้างกาย
“พวกคุณทำงานกันยังไง โปรเจคนี้ถึงหลุดไปอยู่ในมือของคนอื่นได้! ทั้งๆ ที่ผ่านมาบริษัทเราเป็นดูแลงานนี้มาตลอด!!”
“…”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบและสถานการณ์ตอนนี้ก็ดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก บอสไล่พูดข้อบกพร่องของงานทีละขั้นตอน สับคนรับผิดชอบงานฝ่ายนั้นเรียงคน แต่ละคนนี่หน้าซีดตามกันไปเป็นแถว
“เธอ! มาริน!!”
และคนสุดท้ายก็คือฉันนี้นั่นเอง…
“ออกไปได้! ไปจัดการนัดคุณนิพนธ์และเตรียมเอกสารใหม่ทั้งหมดด้วย แล้วก็… ขอกาแฟกับแซนด์วิชให้ผมหน่อย”
ผิดคาดแฮะ! จากที่ดุๆ อยู่ในตอนแรกพอมาถึงฉันก็เหมือนจะปรับเสียงให้อ่อนลง แต่ว่าจะมาดุฉันเรื่องอะไรล่ะในเมื่อหน้าที่ของฉันคือทำงานโดยตรงกับบอส ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโปรเจคที่หลุดไปในครั้งนี้เสียหน่อยนี่
ต้องบอกก่อนว่าถึงเราสองคนจะรู้จักและสนิทกัน แต่ถ้าเป็นเวลางานพี่อาทิตย์ก็เป็นบอสที่โหดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ตอนแรกๆ ที่เริ่มงานฉันทำงานผิดพลาดไปหลายต่อหลายครั้ง แล้วพอเป็นเรื่องงานพี่อาทิตย์ก็ไม่ใช่พี่อาทิตย์ที่แสนใจดีคนนั้น แต่เป็นบอสที่เข้มงวดและบางครั้งก็ดูน่ากลัวไปเลยแหละ
แต่ฉันก็ผ่านทุกอย่างมาได้เพราะพอเคยผิดพลาดฉันก็เรียนรู้และปรับปรุงไม่ให้ต้องผิดพลาดเรื่องเดิมอีก นอกจากนั้นยังพยายามคิดและเสนอวิธีการที่จะให้งานเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอยู่เสมอ เรียกได้ว่าตอนนี้ฉันเป็นเลขามือโปรเลยแหละ ขออวดตัวเองหน่อยละกันนะ
หลังจากออกจากห้องประชุมมาได้ฉันก็จัดการตามที่บอสสั่งไว้อย่างครบถ้วน มีเพิ่มเติมคือเตรียมอาหารอย่างอื่นให้บอสไว้ด้วยเป็นสเต๊กแซลมอน พร้อมกับสลัดที่น่าจะอยู่ท้อง เพราะรายนั้นน่ะพอมีงานยุ่งก็มักจะกินอะไรง่ายๆ กาแฟกับแซนด์วิชนี่กลายเป็นเมนูที่แทบจะกินทุกวันไปเลยละมั้ง แล้วมันจะไปอยู่ท้องและมีประโยชน์ได้ยังไงกินอยู่แค่นั้นทั้งวัน
แกร๊ก!
เสียงประตูห้องทำงานเปิดออกพร้อมกับบอสและพี่อคิณที่เดินหน้าเครียดเข้ามา อ้อ! ที่ฉันเรียกพี่อคิณได้อย่างสนิทสนมเพราะพี่อคิณบอกไว้ว่าทำตัวตามสบายได้เลยเพราะยังไงเรามันก็ลูกจ้างเขาเหมือนกัน ฮ่าๆ
“คิ้วขมวดเป็นปมหมดแล้วค่ะบอส รินเตรียมทุกอย่างที่สั่งวางไว้บนโต๊ะให้แล้วนะคะ แล้วแอบสั่งสเต๊กแซลมอนกับสลัดไว้ให้ด้วยค่ะ อ้อ… มีของพี่อคิณด้วยนะคะอีกชุดหนึ่งวางอยู่ทางโน้น” ฉันพูดพร้อมกับชี้ไปทางโต๊ะรับรองที่อยู่ในห้องทำงานของบอส
“ขอบคุณครับน้องริน”
พี่อคิณบอกกับฉันก่อนจะหันไปมองหน้าบอสพร้อมส่งสายตาบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจ ทางด้านบอสเองก็เหมือนจะมองค้อนพี่อคิณอยู่เหมือนกัน แต่แค่แป๊บเดียวก็ปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึมเหมือนเดิม
“แล้วเธอกินอะไรหรือยัง ทำไมไม่สั่งมากินด้วยกันล่ะ”
“รินตั้งใจจะไปกินกับเพื่อนตอนพักกลางวันทีเดียวค่ะ มานั่งกินในนี้มันดูข้ามหน้าข้ามตาคนอื่นไปหน่อย ถ้าเกิดว่าไม่มีอะไรแล้วรินขอตัวก่อนนะคะ ทานให้อร่อยน้าแล้วถ้ามีอะไรก็เรียกได้ตลอดเลยนะคะ บอสสสส~” ประโยคท้ายฉันตั้งใจลากเสียงยาวและเน้นคำว่าบอสเป็นพิเศษ ฉันเห็นบอสแอบยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยแหละ
“ยัยริน! มานี่ๆๆๆ”
ทันทีที่ออกมาจากห้องทำงานบอสฉันก็โดนตังเมที่ทำงานอยู่ฝ่ายขายลากให้ไปตรงโซนออฟฟิศที่พนักงานคนอื่นนั่งอยู่
“มีอะไรตังเม เดินช้าๆ ก็ได้” ฉันพูดพร้อมกับกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามแรงดึงของเพื่อนสาวคนนี้
“ขอโทษทีย่ะ พอดีทุกคนรอเธออยู่คนเดียวเนี่ยเห็นเข้าไปในห้องบอสตั้งนานสองนานโดนดุอะไรมาหรือเปล่า” ตังเมเป็นคนเริ่มถามทันทีที่ฉันเดินมาถึงจุดรวมพล หรือเรียกอีกอย่างว่าพื้นที่จับกลุ่มเม้ามอยน่ะ
“ไม่นะ… ไม่เห็นโดนอะไรนี่” ฉันตอบไปตามความจริง
“เห็นมั้ยละพวกแก ฉันบอกแล้วว่ายัยรินน่ะไม่โดนบอสดุอะไรหรอก เป็นคุณเลขาที่เป็นบุคคลยกเว้น รอดทุกสถานการณ์ ฮ่าๆๆๆ”
ถึงตังเมจะพูดเอาสนุกแบบไม่คิดอะไรแต่ว่าคนฟังอย่างฉันก็แอบหน้าเจื่อนลงไปเหมือนกัน ฉันไม่ได้เป็นบุคคลยกเว้นอะไรนั่นเสียหน่อย ก็ฉันทำงานไม่มีอะไรให้ต้องโดนดุ ถ้าจู่ๆ จะมาดุกันมันก็ไม่มีเหตุผลนี่ อีกอย่างไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนดุเลยตั้งแต่อยู่มาแต่ว่าเคยโดนมาหมดแล้วต่างหาก
“ตังเม! พูดอะไรแบบนั้นยัยรินหน้าเสียแล้วเห็นมั้ย” ชมพู่ที่คงจะสังเกตเห็นสีหน้าของฉันพูดขึ้นมา
“อ๋า~ ยัยรินฉันขอโทษนะพอดีมันสนุกปากไปหน่อย แต่พวกเราก็เข้าใจแหละเพราะเธอมันสุดยอดเลขานี่ งานไม่เคยผิดพลาดอะไรเลยแค่นึกว่าจะโดนลูกหลงวันนี้ไปด้วยก็เท่านั้น เพราะตอนที่เธอออกไปแล้วบอสแทบจะวางระเบิดกลางห้องประชุมเลยแหละ พูดแล้วก็ขนลุกไม่หาย บรึ๋ยย~”
“บอสไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลแบบนั้นหรอก”
ฉันไม่ได้แก้ตัวแทนบอสนะ เพราะถึงเขาจะเข้มงวดและดูดุไปบ้างแต่ว่าบอสน่ะทำอะไรมีเหตุผลเสมอ อย่างตอนสิ้นปีที่ผ่านมาที่ผลประกอบการดีบอสก็เพิ่มโบนัสพิเศษให้พนักงานจากที่เคยได้อยู่แล้วก็ได้มากขึ้นอีก แต่เรื่องวันนี้มันก็เรื่องใหญ่จริงๆ นั่นแหละ โปรเจคที่หลุดไปทำให้บริษัทขาดรายได้ไปหลายร้อยล้านเลยทีเดียวนะ
“ปกป้องเจ้านายสุดๆ ไปเลยจ้าคุณเลขาอันดับหนึ่ง นี่ไม่ใช่ว่าแอบเอาเรื่องที่พวกเราเม้ากันไปรายงานให้บอสฟังด้วยนะ”
“ไม่มีพูดแน่นอน… ว่าแต่หลังจากที่ฉันออกมาแล้วใครโดนอะไรอีกบ้าง เล่าให้ฟังมั่งสิ” จะให้ไปรายงานบอสได้ยังไงล่ะเพราะฉันเองก็ร่วมวงเม้ากับคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกันนี่นา
ฉันมีเพื่อนสนิทที่ทำงานอยู่สองคนคือตังเมกับชมพู่ แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นไม่สนิทนะฉันสนิทกับทุกคนในออฟฟิศเลยแหละเพราะต้องคอยประสานงานทุกอย่างกับทุกคนให้บอสอยู่ตลอด แต่แค่ว่าตังเมกับชมพู่เข้างานมาพร้อมๆ กับฉันแถมอายุก็เท่ากันพวกเราก็เลยสนิทกันมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
“เออจะว่าไปเมื่อเช้าฉันมาเห็นรถแกเลยนะยัยริน แกมายังไงอะหรือว่าพี่เพทายสุดหล่อมาส่งจ๊ะ” หลังจากที่เม้าเรื่องบอสระเบิดลงจบแล้ว ชมพู่ก็ถามฉันขึ้นมาเหมือนนึกขึ้นได้
“รถไฟฟ้าแล้วต่อวินมานะสิ รถฉันเสียยังไม่ได้เอาไปเข้าศูนย์เลย ปล่อยตายอยู่ที่คอนโด”
“แล้วทำไมไม่ให้แฟนเธอมารับมาส่งล่ะ?”
“พี่เพทายบอกว่าวันนี้ติดถ่ายงานอะ แต่ว่าเย็นนี้เห็นว่าจะมารับนะ”
“พี่เพทายเนี่ยถ่ายงานอยู่ตลอดแต่ช่วงนี้ฉันไม่เห็นผลงานของเขาเลยนะ แถมซีรีส์ก็ไม่มีกระแส พี่เขาก็ดูเงียบไปหรือว่าเขาแอบซุ่มมีงานอะไรอยู่ปะแก”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฉันตอบเสียงอ่อนลง
ฉันยังคบกับพี่เพทายอยู่ซึ่งที่ผ่านมาเขาดีกับฉันและก็เป็นสุภาพบุรุษมากๆ แต่เพิ่งจะมีช่วงหลังๆ นี่ล่ะที่เขาดูยุ่งมากเป็นพิเศษ ไม่ค่อยมีเวลาให้แถมยังเทนัดฉันไปตั้งหลายครั้ง
อย่างเมื่อคืนตอนที่โทรบอกว่ารถฉันเสียให้เขามารับฉันตอนเช้าหน่อย เขาก็บอกว่าตอนเช้าเขามีถ่ายงานที่อยู่ไกลจากบริษัทฉันถ้าจะมาส่งแล้วย้อนกลับไปกลัวว่าจะไปสาย! ฉันก็เข้าใจแหละ ช่วงนี้ฉันใช้คำว่าเข้าใจ เข้าใจ เข้าใจ บ่อยจนเริ่มเหนื่อยแล้ว เขาอ้างติดงานตลอดแต่ฉันไม่เห็นผลงานเขาผ่านตาเลยสักอย่าง
“เอาน่า… มีแฟนเป็นดาราก็แบบนี้แหละ” ชมพู่เข้ามาพูดให้กำลังใจ
หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปทำงาน ฉันก็เดินกลับมาที่โต๊ะหน้าห้องบอสตามเดิม ขืนหายไปนานกว่านี้จะโดนเฉ่งเอาได้ทั้งสามคน
ครืด~ ครืด~
“ฮัลโหลพี่เพทาย…” ฉันกดรับสายด้วยน้ำเสียงสดใส
[รินคือว่า… เอ่อ]
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมน้ำเสียงไม่สู้ดีเลย” ฉันถามออกไปเพราะน้ำเสียงของพี่เพทายนั้นดูเป็นกังวลอย่างที่ฟังดูก็รู้เลย
[คือวันนี้พี่น่าจะติดถ่ายจนดึกน่ะ ไม่น่าไปรับรินทัน พี่ขอโทษนะครับที่รัก พอดีมันต้องถ่ายหลายเทค ก็พวกทีมงานนั่นแหละที่บรีฟงานไม่ดีทำให้พี่ต้องเสียเวลาไปด้วย!]
“พี่เพทายอย่าพูดถึงคนอื่นแบบนั้นเลยค่ะ ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรรินกลับเองได้ รินเข้าใจค่ะ” เข้าใจ… คำนี้อีกแล้ว จนตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าฉันเข้าใจอย่างที่พูดจริงๆ หรือว่ากำลังพยายามในการเข้าใจกันแน่!
ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ที่จริงก็แอบนึกไว้เล่นๆ อยู่เหมือนกันว่าเดี๋ยวพี่เพทายต้องโทรมาบอกว่ามารับไม่ได้แน่ๆ แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ชอบที่เขาพูดถึงทีมงานแบบนั้นด้วย
[ขอบคุณนะครับ รินน่ารักกับพี่เสมอเลย]
พี่เพทายพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากตอนโทรมาครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง ก่อนจะวางสายไป ก่อนวางฉันได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกเขา ก็น่าจะเป็นทีมงานนั่นละมั้ง… ถึงจะอดคิดมากไม่ได้แต่ก็ไม่อยากเก็บมาใส่ใจ
ไม่มีอะไรหรอกน่า…
ฉันบอกตัวเองอีกครั้งในใจพร้อมกับสะบัดหัวไล่ความคิดมากนั้นออกไป ก่อนจะหันมาสนใจงานตรงหน้าอีกครั้ง
--------------------------------------
--------------------------------------
ใครจะกล้าดุเลขาคนนี้อะเนอะ ขนาดบอสเองยังต้องเสียงอ่อนลงเลย
ใครสองมาตรฐานไม่มี๊ ไม่มี~ แต่คนอื่นเค้าดูออกกันนะคะ