ตอนที่ 4 : เรื่องราวเคยเกิดขึ้นมาก่อน..แต่ทำไมหม่อมฉันพึ่งเคยเจอ?

2873 คำ
“เอ่อ.. อะแฮ่ม.. คือว่า..เรา..มานั่งคุยกันดีกว่าไหมคะ ถ้าคุณยังไม่ได้หายไปไหน” เธอพยายามทำเสียงให้ปกติ แต่ก็ยังดูอึดอัดขัดเขิน อินทุภาหันตัวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ไผ่ยาวแบบมีพนักพิงใต้ต้นอวี้หลัน โดยเลือกนั่งชิดติดมุมด้านหนึ่ง สักพักเขาเดินมานั่งข้างๆ ห่างกันแค่ฝ่ามือเดียว เห็นเขายังนั่งนิ่งเธอก็เลยชวยคุย เพื่อทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัด “ฉันเป็นคนไทย มีญาติอยู่ที่นี่ แล้วคุณล่ะ? ชื่ออะไร? มาจากที่ไหน? เล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ้างสิคะ” อินทุภาเริ่มประเด็นที่อยากรู้ ชายหนุ่มมองหน้าอินทุภานิดหนึ่งแล้วเอนตัวพิงพนัก ไถลตัวลงเล็กน้อย ขายาวทอดไปข้างหน้า เพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ต้นขาของเขาแข็งแรง แต่ละข้างใหญ่กว่าเอวของเธออีก นัยน์ตาของเขายาวรีและดำสนิท เครื่องหน้าแต่ละชิ้นคมสันเหมือนรูปสลัก มือของเขาได้รูปสวย เรียวและแข็งแรง เสื้อผ้าที่สวมใส่ตัดเย็บอย่างประณีตทีเดียว สังเกตจากเนื้อผ้าค่อนข้างจะโบราณไปหน่อย แต่ก็หรูหราเกินฐานะคนธรรมดาทั่วไปจะสวมใส่ได้ เธอลอบสำรวจเขาเงียบๆ ระหว่างที่อยู่ในสภาวะเดดแอร์ด้วยกันอย่างนี้ อะไรอย่างหนึ่งบอกอินทุภาว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนจริง เมื่อเขาต้องการอะไร เขาก็จะเอาให้ได้จริงๆ เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะกลัวอุปสรรคขวางหน้า คนที่กล้าเข้าขวางก็คงถูกเหยียบจมดินไปเลย เหมือนกับถูกบดด้วยพลังตีนตะขาบของรถถังสงคราม “เจ้าเคยบอกข้าครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ว่าบ้านเมืองเจ้าอยู่ในดินแดนไกลจากที่ข้าอยู่มาก เรียกว่าคนละประเทศ หรือเรียกได้ว่าคนละมิติ ใช่ไหม?” หืม..!?! อินทุภากะพริบตาปริบๆ งงกับศัพท์แสงที่หนุ่มยุคโบราณผู้นี้พูดกับเธอ แต่เขาเข้าใจจริงๆ หรือเปล่าว่ามันหมายความอย่างไร? “ฉันบอกคุณ? เราเคยเจอกันมาก่อนหรือคะ?” “เคยสิ! ก็เกือบจะได้แต่งงานกันอยู่แล้ว ก็มีเหตุให้..” เขาชะงัก ปล่อยคำพูดขาดหายไป เม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะเริ่มพูดใหม่ “ก่อนหน้าที่จะเจอเจ้าเมื่อครั้งแรกนั้น ข้าฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง อยู่ในเหตุการณ์ซ้ำๆ เดิมๆ เห็นหน้าไม่ชัด จำได้ว่าตัวเล็กบางดูกลมกลึงไปทั้งตัว จับจูงมือข้าแล้วพาวิ่งไปข้างหน้า ได้ยินทั้งเสียงพูดเสียงหัวเราะชัดเจน” เขานิ่งอีกแล้ว เหมือนพยายามจะรำลึก “แล้วข้าก็ได้เจอเจ้าครั้งแรกที่นี่ นั่งหลับตารับลมอยู่ใต้ต้นอวี้หลันนี้ สัณชาตญาณบอกข้าว่า เป็นคนคนเดียวกันกับในฝันคนนั้น” เขาหันหน้ามา จ้องนิ่งในดวงตากลมโตของอินทุภา ราวกับต้องการเก็บภาพเธอไว้ในความทรงจำ “ละ..เล่าต่อสิคะ” อินทุภาเร่ง รู้สึกเขินที่ถูกจ้องแบบนั้น เขาหันกลับไปมองมือตัวเอง แล้วเล่าต่อ “ฮ่องเต้มีราชโองการแต่งตั้งให้ข้ามาประจำที่นี่ ซึ่งก็คือเมืองหวางจีในเขตปกครองทางทิศเหนือ จากตรงนี้ถึงค่ายทหารอยู่ไม่ไกลกันนัก ข้าพักอยู่ที่จวนด้านหลังเนินอวี้หลันนี้ เดิมเป็นบ้านของซุนจ่งซานคนสนิทของข้าเอง แต่มารื้อสร้างใหม่ให้กว้างขวางกว่าเดิม ดูเหมือนจะเป็นที่นั่น” เขาพยักหน้าไปทางบ้านพักของซุนจ่งซานลูกพี่ลูกน้องของเธอ ซึ่งมีสามหลังปลูกห่างกันเล็กน้อย มีทางเดินเชื่อมทะลุถึงกันได้ทั้งสามหลัง ในลักษณะทรงกลมล้อมสวนไว้ตรงกลาง มีพื้นที่กว้างขวางมาก อินทุภาเริ่มนึกออกว่าคุณทวดเคยเล่าว่า ที่นี่เคยเป็นจวนเก่าของเจ้านายท่านหนึ่ง แต่อินทุภาไม่ทันฟังเลยจำชื่อไม่ได้ ส่วนเนินอวี้หลัน อยู่ค่อนมาทางด้านหลังบ้านมีต้นอวี้หลันหลากหลายสายพันธุ์บนเนื้อที่ประมาณหนึ่งกิโลเมตร ปลูกเรียงรายล้อมอวี้หลันสีขาวต้นใหญ่ที่สุดต้นนี้ แสดงว่าบ้านตระกูลซุนในปัจจุบันนี้ เป็นจวนเก่าของเขามาก่อนสินะ “ซุนจ่งซานหรือคะ?” อินทุภาขัดจังหวะถาม เขาไม่ตอบ แต่พยักหน้ารับ “พี่ซาน ญาติผู้พี่ของฉันน่ะ ชื่อเดียวกันกับคนสนิทของคุณเลย!” อินทุภาอุทานตาโตนิดๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ “ข้าก็พึ่งจะรู้ในวันหนึ่งว่า เด็กคนที่ข้าเจอวันนั้นมีชื่อเดียวกัน แล้วรู้ไหม ทำไมเด็กคนนั้นถึงมองเห็นข้า” อินทุภาส่ายหน้าดิก เขาชี้มือไปที่คอที่มีแหวนห้อยอยู่ อินทุภาเผลอยกมือขึ้นกำแหวนที่อยู่ใต้เสื้อโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ตายังจ้องเป๋งอยู่ที่เขา “ข้ามาเข้าใจเอาเองเรื่องเงื่อนไขของมิติอะไรนั่น เพราะเห็นแหวนที่เด็กคนนั้นใส่อยู่ตอนเจอกันครั้งสอง ซึ่งก็หมายถึงต้องมีหยกสองชิ้นนี้อยู่ใกล้กัน” เขาพูดพลางดึงป้ายหยกสีขาวแกะสลักที่ห้อยเอวอยู่ชูขึ้นมาให้ดู ที่มุมหนึ่งของป้ายหยกมีสีเหลืองทองแกมสีทองแดง แบบเดียวกันกับแหวน “หยกดาวตกนี้ มีทูตจากต่างแดนนำมาเป็นของขวัญบรรณาการให้กับฮ่องเต้ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ นัยว่าเป็นหยกที่ถูกค้นพบจากหลุมดาวตกขนาดใหญ่ และคงจะถูกฝังมานานหลายร้อยปี จึงกลายเป็นหยกสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะ ต่อมาฮ่องเต้จึงตัดแบ่งพระราชทานให้ เอ้อ.." อินทุภาเห็นเขากระแอมไอนิดหนึ่ง ทรงตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่ออย่างขัดเขิน “ให้กับโอรสและธิดา ในขนาดที่เท่าๆ กันเอาไว้ทำเครื่องประดับ ชิ้นหยกส่วนที่ข้าได้รับมา มีสีเหลืองทองกับสีคล้ายสีทองแดงอยู่ข้างใน ที่พี่หญิงกับน้องหญิงไม่มี” “คุณ เอ่อ พระองค์..” หล่อนเกิดพูดติดขัดขึ้นมาบ้าง ไม่แน่ใจควรจะพูดยังไงดี “ไม่ต้องห่วงเรื่องราชาศัพท์ พูดธรรมดา” “ฝ่าบาท..เป็นองค์ชายจริงๆ หรือเพคะ?” เขาไม่ตอบ แต่พยักหน้ารับ “เป็นลูกชายคนที่สี่จากพี่น้องทั้งหมดสิบคน ถ้าแม่เดียวกันยังมีพี่สาวและน้องสาว” เขาพูดได้เรียบลื่นขึ้น เมื่อเห็นว่าอินทุภาไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อต้าน หรือสนใจว่าเขาเป็นใคร งั้นที่ซุนจ่งซานพูดก็เป็นความจริงทั้งหมด อินทุภานิ่งคิด “แล้วเราเจอกันได้ยังไงเพคะ?” อินทุภาถามต่อ “ข้าชอบมานั่งเล่นตรงนี้ แล้ววันหนึ่งอยู่ๆ ก็มีม่านแสงสีขาวจางๆ กระจายทั่วบริเวณ หลังม่านแสงนั้นข้ามองเห็นสาวน้อยคนหนึ่ง นั่งอมยิ้มหลับตาที่เก้าอี้ไม้ไผ่” เขาอมยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงความหลัง อินทุภาหลี่ตาลง คิ้วขมวดมุ่น กำลังนึกถึงตอนที่เห็นเขาครั้งแรก ก็มีม่านแสงสีขาวเหมือนกัน แล้วม่านแสงนั้นจะใช่มิติที่เหลื่อมกันหรือเปล่า จะต้องมีเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ทั้งหลายเหล่านี้แน่ๆ อย่างแรกนั่นก็คือ หยกดาวตกสองชิ้นนี้ แล้วเงื่อนไขต่อไปคืออะไร? อินทุภากำลังอยู่ในภวังค์ความคิด คิ้วขมวดมุ่น แล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะมีนิ้วมือเรียวสวยราวกับมือสตรีแต่ขนาดใหญ่และแข็งแรงกว่า กำลังลูบเบาๆ ที่คิ้วยุ่งเหยิงของเธอให้เป็นเส้นตรง ตาสบตานิ่งนานราวกับมีมนต์สะกดไม่อาจให้ถอนสายตาได้ มือของเขาที่ยกค้าง เลื่อนช้าๆ สัมผัสผ่านไปที่ใบหู แล้วกุมกระชับไว้ที่ท้ายทอย ใช้นิ้วโป้งไล้เบาๆเป็นเชิงชวนเชิญ ก่อนจะรั้งริมฝีปากอวบอิ่มประกบเข้าหาริมฝีปากนุ่ม อินทุภาเอนตัวตามโดยไม่ได้ขัดขืนราวกับละเมอ อาจเป็นเพราะยังมีร่องรอยความวาบหวามครั้งนั้นทิ้งค้างอยู่ แต่จุมพิตครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนแรก คล้ายกับว่าเขากำลังจะสอนให้รู้จักรสจูบที่อบอุ่นแฝงความอ่อนหวาน ต่างกันไกลกับความเย้ายวนเรียกร้องชวนให้ตอบสนองก่อนหน้านี้ เขาถอนริมฝีปาก จ้องตากลมสวยนิ่งนาน ก่อนจะกดศีรษะให้เอนซบที่ซอกไหล่ของเขา เธอทำตามไม่ได้ขัดขืน เหมือนกับว่าร่างกายและจิตใต้สำนึกคุ้นเคยกับความอบอุ่นอ่อนโยนแบบนี้มาก่อน “เยว่อิง ชื่อของเจ้าแปลว่าจันทร์กระจ่าง ชื่อของข้า หยางหมิงอวี้ แปลว่ากำเนิดแสงตะวันอันสดใส ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือพรหมลิขิตกันแน่?” เขาเอียงคอมอง มุมปากโค้งนิดๆ “เยว่อิงเป็นชื่อที่คุณย่าตั้งให้ ส่วนคุณยายตั้งชื่อไทยก็แปลว่า แสงจันทร์ เหมือนกันเพคะ” อินทุภาได้ยินเสียงเขาหัวเราะหึหึในลำคอ “เจ้าก็เคยบอกข้าแบบนี้เหมือนกัน” อิงทุภาแปลกใจในคำตอบ จึงทรงตัวขึ้น เพื่อมองหน้าคนพูด ด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์ “แสดงว่า เรื่องราวเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วกับฝ่าบาท แต่ทำไมถึงเป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันพึ่งเคยเจอ?” อินทุภาหันพิงพนัก แก้มพองออกปากยื่นน้อยๆ โดยหารู้ไม่ว่าอากัปกิริยาแบบนั้น ดูน่าเอ็นดูสำหรับคนที่นั่งข้างๆยิ่งนัก “แล้วหม่อมฉันก็ถูกฝ่าบาทเอาเปรียบ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด” แล้วแก้มก็พองอีก สีหน้ากระเง้ากระงอดไม่พอใจ จนคนข้างๆ อดไม่ได้ จับหันมาจุ๊บปากเสียหลายที โดยที่เธอไม่ทันได้ขัดขืน “ก็ดีไม่ใช่หรือ ไม่ต้องเสียเวลาทำความรู้จักกันมากมาย เจ้าก็อยู่เฉยๆ ของเจ้าไป ปล่อยให้เป็นธุระของข้า” “เดี๋ยวจูบเดี๋ยวกอด แบบนี้คือธุระของฝ่าบาทหรือเพคะ!” หน้าต้องหนาเป็นหินเชียวล่ะ ถึงพูดออกมาได้หน้าตาเฉย!! เขาหงายหน้าหัวเราะ ใบหน้าที่คมเข้มเหมือนรูปสลักนั้น ดูหล่อเหลาขึ้นไปอีกเมื่อยิ้มเต็มที่ “การง้อเจ้า เป็นงานที่ข้าหนักใจที่สุด แต่ก็ชอบที่สุดด้วยเหมือนกัน ถ้าได้ลงเอยแบบนี้” เขาไล้นิ้วโป้งกับริมฝีปากล่างของอินทุภาเบาๆ เพื่อเน้นให้รู้ว่า แบบนี้ของเขาหมายถึงอะไร “งั้นหยุดธุระของฝ่าบาทไว้ก่อนดีไหมเพคะ มาช่วยหม่อมฉันคิดทีว่า เงื่อนไขของมิติที่เหลื่อมกันคืออะไร แล้วทำไมถึงเข้าไปอยู่ในมิติของฝ่าบาทได้” “เหตุผลที่พอจะฟังได้เข้าทางที่สุด สิ่งแรกก็เกี่ยวข้องกับหยกแน่ๆ แล้วก็..พระจันทร์เต็มดวง” “พระจันทร์เต็มดวง!” จังหวะที่พูดขึ้นมาพร้อมกัน ทำให้หยางหมิงอวี้อมยิ้มนิดๆ เห็นประกายตาวิบวับพราวยิ้มในตา พร้อมกับที่อินทุภาก็หัวเราะคิกออกมาเหมือนกัน หน้าแดงระเรื่อ เพิ่มความน่ารักน่าเอ็นดูชวนมองยิ่งขึ้นไปอีก “จะเห็นแก่ตัวไปไหม ถ้าจะขอให้เจ้าไปด้วยกัน” หยางหมิงอวี้ถามหยั่งเชิงแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตาหรี่ลงอย่างระวังในคำตอบของหญิงสาว “แล้วหม่อมฉันจะกลับมาได้อีกไหมเพคะ? หม่อมฉันกังวลว่าพ่อกับแม่จะเป็นห่วง” จริงๆ แล้วเธอก็รู้สึกตื่นเต้น ที่ได้มีโอกาสไปผจญภัยในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเธอมองว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแบบหนึ่งในล้าน เลือดนักผจญภัยฉีดแรง ซึ่งในหนึ่งชีวิตนี้ไม่ควรจะพลาด แต่อีกใจก็ยังลังเล ถ้าเป็นการไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยล่ะ ชีวิตในโลกปัจจุบันคงไม่ได้จบสิ้นแค่เพียงเธอ ยังมีพ่อกับแม่และยายที่คอยเป็นห่วง “ครั้งนั้นเหมือนว่าเจ้าจะรู้วิธีข้ามมิติ” หยางหมิงอวี้พูด แต่นัยน์ตาหม่นลง “แต่..เจ้าก็หายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย..” เขาก้มหน้าลง ท้ายเสียงดูสั่นพร่านิดๆ น้ำเสียงที่เศร้าสร้อยนัยน์ตาหม่นนั้น ทำให้อินทุภาใจอ่อนยวบลง รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบตามคนพูดไปด้วย เขาเงยหน้าขึ้นมอง “ก่อนที่เจ้าจะหายไป ได้ทิ้งแหวนเอาไว้ แล้วข้าก็รอด้วยความหวังมาตลอดสิบปีเต็ม ว่าสักวันเจ้าอาจจะกลับมา” “แล้วทำไมหม่อมฉันต้องทิ้งแหวนไว้ด้วยเพคะ ทำไมไม่นำติดตัวไปด้วย? แล้วเกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ ทำไมหม่อมฉันถึงหายไปไม่กลับ? ” อิงทุภายิงคำถามรัว “การที่เจ้าทิ้งแหวนไว้นั้น อาจเพราะเจ้าหวังว่า ข้าคงจะหาวิธีให้พบกันได้อีก ต่อมาข้าได้นำแหวนฝากไว้กับเด็กคนหนึ่ง เป็นญาติห่างๆ กับหมอซุน ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่ก็เห็นเค้าหน้าละม้ายคล้ายเจ้าเป็นอย่างมาก ข้าคาดหวังว่าบางทีอาจจะเป็นเจ้าในมิตินั้น หรืออาจจะเป็นต้นตระกูล หรืออะไรสักอย่างที่จะนำให้เราได้มาพบกัน” อินทุภามองชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เข้าใจชัดแจ้งตอนนี้เองว่า ทำไมเขาถึงฝากของสองสิ่งนั้นไว้กับท่านทวดเยว่ฮวา “หม่อมฉันหลงโกรธฝ่าบาทมากมายเลยเพคะ นึกเอาเองว่าฝ่าบาททำร้ายจิตใจท่านทวดเย่วฮวา” “ทำร้ายจิตใจอย่างไร?” หยางหมิงอวี้ถามเพราะไม่เข้าใจจริงๆ “ก็ท่านทวดเย่วฮวาน่ะ หน้าเหมือนหม่อมฉันราวกับฝาแฝด แล้วท่านทวดก็บอกกับคุณทวดเหม่ยหลิงว่าหลงรักฝ่าบาทสุดหัวใจ แต่ฝ่าบาทรักผู้หญิงอีกคนที่หน้าเหมือนท่าน” อินทุภาอธิบาย “อ้อ อย่างนี้นี่เอง อายุสิบสองเองนะเด็กคนนั้น” “งั้น! ถ้าท่านทวดอายุสักสิบแปดหรือยี่สิบ ฝ่าบาทก็คงไม่ต้องรอมาเป็นนานแสนนานแบบนี้หรอกใช่ไหมเพคะ?” อินทุภาถามกึ่งประชด “เอ.. น่าคิดแฮะ ไม่ทันคิดมุมนี้มาก่อนเหมือนกัน” เขาตอบหน้าตาเฉย จนอินทุภาตวัดสายตาค้อนขวับ หมดคำพูดจะเอ่ย แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขากำลังดึงเธอเข้าไปกอด เธอฝืนตัวไว้ แต่เขาก็ดึงเข้าไปชิดจนได้ “เป่าเป้ย์! ข้าต้องการเพียงตัวเจ้า หัวใจของเจ้า และต้องเป็นเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่เงาของใครก็ได้!” เขากระซิบข้างหู แล้วไถลมาจูบที่แก้มนวล สูดหายใจชิดแก้มเต็มแรงก่อนจะวนมาจูบที่ปากนุ่มนิ่ม อินทุภาตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก อีกใจสั่งให้ขัดขืน แต่อีกใจกลับชอบสัมผัสของเขา เขาถอนริมฝีปาก เอนตัวออกเล็กน้อยเพื่อให้มองหน้าหวานได้ชัดๆ “จนป่านนี้แล้ว ยังไม่รู้อีกหรือว่า ข้ารู้สึกยังไง หรือต้องให้สาธิตให้ชัดเจนกว่านี้” เขาพูดแล้วทำท่าจะโน้มเข้าหาอีก “ฝ่าบาท!” อินทุภาเอามือยันคางเขาไว้ แล้วหันหน้าหนีเมื่อเขาก้มมาประชิด “ท่านพี่!” หยางหมิงอวี้พูดชิดแก้มนวล “อะไรเพคะ?” “เรียกท่านพี่!” เขาสั่งแกมบังคับ “อื๋อ ใครจะกล้า!” อินทุภาพ้อ แล้วหลบหนีริมฝีปากร้ายที่ไล่ตามอย่างไม่ลดละ “ไม่เรียกจะปล้ำ!” เขาขู่อีก “บ้า! องค์ชายบ้าๆ ชอบรังแกชาวบ้านตาดำๆ ไม่มีทางสู้!” หยางหมิงอวี้หงายหน้าหัวเราะ กับการเรียกร้องหาความยุติธรรมของอินทุภา “ก็น่ารักอย่างนี้นี่เล่าเป่าเปาน้อย! แล้วข้าจะไปมองใครได้อีก ฮึ!” “อย่าตรัสเลย! เห็นองค์ชายในซีรีส์แต่ละเรื่อง มีเมียเล็กเมียน้อยเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด!” อินทุภารู้ว่าเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง แต่อยากจะพาลใส่เจ้านายพระองค์นี้เต็มทน “ถ้าจะมี ก็คงเต็มบ้านอย่างที่กล่าวหามาจริงๆ แต่นี่ก็รอคนเพียงคนเดียวมาเป็นสิบๆ ปี” อินทุภาเงยหน้าส่งสายตามองไปที่ตาคมเข้มอย่างค้นคว้า เพราะเป็นคำพูดของเขาฝ่ายเดียว เธอไม่มีความจำตรงส่วนนั้นเลยสักนิด “ทีนี้จะให้จูบดีๆ ได้หรือยัง? รางวัลกันหน่อยสิ ใจเสียมาหลายปีแล้วนะ!” อินทุภาเม้มปาก รู้สึกหมั่นไส้กับการทวงรางวัลอย่างหน้าไม่อายแบบนี้ยิ่งนัก แล้วก็ต้องชะงัก เพราะใบหน้าเขากำลังเลือนรางเป็นช่วงๆ “ฝ่าบาทเพคะ! ทรงเห็นเหมือนกันไหม?” อินทุภารู้สึกตระหนกเล็กน้อย พร้อมๆ กับได้คำตอบของปริศนาอีกอย่าง “ก็ที่รั้งไว้ทั้งคืน ก็เพราะอยากให้ชัดเจนในคำตอบนี้เหมือนกัน” หยางหมิงอวี้พยักหน้า เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดออกมา “เป็นเพราะใกล้รุ่งของวันใหม่หรือเพคะ แล้ววันนั้นที่ในเมือง หม่อมฉันเห็นฝ่าบาทเลือนรางเหมือนกัน ไม่ชัดเหมือนเมื่อวาน” “เงื่อนไขหลักคือหยกสองชิ้น ต้องอยู่ในบริเวณเดียวกัน” เขาพูดพลาง เอามือลูบคางไปด้วย “งั้นพรุ่งนี้คือข้อพิสูจน์สุดท้าย แต่บางทีอาจจะไม่ท้ายสุด ต้องคอยสังเกตกันไปเรื่อยๆ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม