สวนพฤกษาที่ห่างไกลหมู่บ้านออกมาจากตัวเมืองหลวงของแคว้นจ้าวไม่ไกลกันนัก
บนต้นไม้หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมธารที่มีสายน้ำไหลเอื่อยเฉื่อย ให้รู้สึกเย็นฉ่ำกำลังเคลื่อนตัวกระทบแสงวิบวับกับดวงตะวันบนฟ้า
บนต้นไม้ต้นนี้นอกจากจะให้ร่มเงาแก่ผู้เดินทางเพื่อใช้หลบเลี่ยงแสงแดดอันแรงกล้าซึ่งแผดเผาแล้ว ยังเป็นที่พำนักพักพิงเพื่อหลบเร้นซ่อนกายให้แก่บุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง สำหรับให้เขาได้นั่งทอดอารมณ์ขุ่นเคืองเกี่ยวกับเรื่องราวหลากหลายที่ได้เจอะเจอมาในแต่ละวัน
บุรุษผู้กำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ มีรูปกายที่งดงาม ใบหน้าหล่อเหลา สันจมูกตั้งตรงรับกับริมฝีปากสีแดงสด โครงหน้าคมสันนี้มีความคมคายที่ละมุนละไมยิ่ง ทว่าดวงตาคมเข้มใต้คิ้วเรียวยาวกลับเย็นชามาก เนื่องจากชื่นชอบการแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวธรรมดา ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ชอบสีสันแสบตา ทั้งยังไม่นิยมชมชอบการอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก โดยเฉพาะในวังหลวงที่มีบุปผาล่อลวง
ในรั้วในวัง เขา ไม่ ชอบ!
เขามีนามว่า จ้าวหนิงหลง องค์ชายที่ใครๆ มักจะคิดว่าเขาเป็นโอรสสุดที่รักของฮ่องเต้จ้าวเฟยเซียน นั่นจึงทำให้เขามีชีวิตในแต่ละวันภายในรั้วพระราชวังอย่างไม่เป็นสุขเท่าใดนัก
เสด็จแม่ของเขาเป็นแค่สนมธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแต่...เสด็จแม่มิใช่แค่สนมธรรมดา แต่เสด็จแม่ของเขาเป็นคนรักที่แท้จริงของเสด็จพ่อ
หากว่าเสด็จพ่อของเขามิใช่ฮ่องเต้ ก็คงจะดีไม่น้อย
เสด็จแม่ของเขาก็คงไม่ถูกเหล่าสนมและฮองเฮารุมอิจฉาริษยาจนสิ้นชีวิตไปอย่างอัปยศอดสู แม้แต่เสด็จพ่อกับเขาก็ไม่อาจเอื้อมมือเข้าช่วยได้ทันการ แต่ทว่า นั่นมิใช่ประเด็น
นั่นมิใช่ประเด็นของเรื่องในวันนี้
ประเด็นของเรื่องในวันนี้ที่ทำให้จ้าวหนิงหลงต้องขุ่นเคืองในใจจนต้องมานั่งทอดอารมณ์บนต้นไม้นี่ เรื่องอันน่าขัดเคืองของวันนี้ก็คือการบังคับหมั้นหมายกับสตรีนางหนึ่ง
ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ และเขามิได้ชมชอบนาง
มิได้ต้องการหมั้นหมายหรือแต่งงานกับสตรีนางใดเพื่อการเมือง
แต่จะว่าไปแล้ว...
สตรีที่จะได้หมั้นหมายกับเขาเป็นใครกัน?
เป็นสตรีที่ไหน?
เป็นธิดาของใครกัน?
เขาลืมถามเสด็จพ่อไปเสียได้!
ในขณะที่จ้าวหนิงหลงกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่บนต้นไม้อยู่นั้น ภายใต้ต้นไม้ต้นเดียวกันนั่น พลันปรากฏกายของบุคคลสองคนในอาภรณ์ของบุรุษหนึ่งคนกับอาภรณ์สตรีหนึ่งคน
พวกเขาเดินมานั่งหลบแดดที่กำลังแผดเผาอยู่ใต้ต้นไม้แห่งนี้ เพื่อใช้ร่มเงาของมันช่วยแบ่งเบาไอความร้อน ที่กำลังแผ่กำจายอยู่โดยรอบเรือนกายในยามกลางวัน
ท่ามกลางแสงแดดซึ่งกำลังบั่นทอนอากาศจนร้อนระอุแสบตา กระแสเสียงใสกังวานดังขึ้น
“จ้าวหนิงหลงรึ?”
บุคคลผู้แต่งกายสตรีปกติเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหลมสูงไปทางบุคคลที่ใส่อาภรณ์บุรุษ
นางเอ่ยนามของคนที่อยู่บนต้นไม้โดยไม่รู้ตัว ยิ่งไม่รู้ว่ามีคนอยู่บนต้นไม้
เสียงหวานของอีกคนหนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยชุดบุรุษเอ่ยขึ้นบ้าง “ใช่แล้วล่ะ เป็นองค์ชายด้วยเชียวนะ องค์ชายองค์ใดกัน?”
ทั้งนามทั้งประโยคที่เอื้อนเอ่ยเช่นนั้นพาเอาบุรุษรูปงามซึ่งกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกันพลันสะดุดหู
“เขาเป็นองค์ชายคนใด ข้าก็ไม่รู้จัก หน้าตาหรือข้าก็ไม่เคยเห็น สงสัยหน้าตาคงจะขี้ริ้วขี้เหร่เป็นแน่ ไยต้องหมั้นหมาย ข้าไม่เห็นเข้าใจ สตรีงดงามอย่างข้าไม่เข้าใจเสียจริง”
ประโยคและน้ำเสียงแว่วหวานที่ขัดกับอาภรณ์ที่สวมใส่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องอยู่ใต้ต้นไม้
ทุกคำทำเอาเจ้าของนามที่ถูกบุคคลใต้ต้นไม้เรียกขานคิ้วกระตุก
เขาหรี่ตาลงมองเจ้าของน้ำเสียงหวานๆ ที่ผิดกับชุดที่นางสวมใส่
นางว่าเขาขี้ริ้วแล้วใต้หล้านี้จะมีใครรูปงามกันเล่า?
“เป็นถึงองค์ชาย ไยไม่หาคู่ครองเองล่ะ จะมาบังคับหมั้นหมายกับสตรีดีเลิศอย่างข้า ชิ!ฝันไปเถอะ”
ประโยคถัดมาทำเอาจ้าวหนิงหลงเกือบตกต้นไม้
เสียงของบุคคลในอาภรณ์บุรุษใต้ต้นไม้ยังกล่าว “เป็นองค์ชายคิดว่าดีนักหรือไร? มีบุรุษอื่นดีกว่าเยอะแยะ เฮ้อ!”
ประโยคนั้นพลันเงียบหายไปหลังจากเสียงถอนหายใจเกิดขึ้นอย่างปลดปลง
“ใจเย็นๆ ก่อนจิวซิน” เสียงของสตรีที่มาด้วยกันเริ่มเอ่ยปลอบพลางตบไหล่ของบุคคลในอาภรณ์บุรุษอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ข้าจึงคิดจะหนีไปทำใจก่อน ยังทำใจไม่ได้จริงๆ นะ ข้าไม่อยากแต่งงานกับองค์ชายอะไรนั่นเลยนะ ลู่ชิง”
สตรีในอาภรณ์บุรุษยังคงเอ่ยคำตัดพ้อต่อโชคชะตา
จ้าวหนิงหลงถึงกับต้องก้มหน้าลงมองเจ้าของเสียงในฉับพลัน
และคนถูกมองกลับมิได้รู้ตัวสักนิด
สายลมเย็นโชยเอื่อยท่ามกลางแสงแดดแผดจ้า ใต้ต้นไม้ให้ร่มเงา หญิงสาวสองคนนั่งคุยกัน
คนแต่งกายเป็นบุรุษเป็นใครไปมิได้นอกจากจิวซิน นางมีนามว่า หยางจิวซิน ธิดาคนเดียวของหยางเซิง องครักษ์ข้างกายของฮ่องเต้
นางแอบได้ยินท่านพ่อกับท่านแม่คุยกันว่าจะต้องหมั้นหมายกับองค์ชายผู้หนึ่ง นามว่าจ้าวหนิงหลง
ซึ่ง...
เขาเป็นองค์ชายคนใด นางก็ไม่รู้จัก
วังหลวงหรือนางก็ไม่เคยได้เข้าไป
ท่านพ่อของนางเป็นองครักษ์ข้างกายของฮ่องเต้ก็จริง
แต่ทว่า...ท่านพ่อของนางมิใช่ขุนนางใหญ่โต มิใช่ข้าราชบริพารที่จะต้องออกงานเลี้ยงสังสรรหรือออกหน้าออกตาต่อธารกำนัล
ท่านพ่อของนางทำงานเป็นองครักษ์เงา
ซึ่ง...ไร้ตัวตน...
ไร้ผู้ใดพบเห็น ...นอกจากฮ่องเต้
และยิ่งถ้าเป็นบุคคลในครอบครัวของบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์เงาด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรปรากฏตัวตนออกสู่สาธารณชน
แล้วไยต้องให้นางหมั้นหมายกับองค์ชายด้วยเล่า
ชีวิตในรั้วในวังนางชอบเสียที่ไหน
“เฮ้อ!” จิวซินถอนหายใจออกมาอีกครา ก่อนนั่งลงเอาแผ่นหลังพิงต้นไม้แล้วหลับตาเอียงหน้าขึ้นอิงศีรษะกับต้นไม้เพื่อพักผ่อนสายตา
“อา...แต่จะว่าไป” สตรีในอาภรณ์บุรุษใต้ต้นไม้ยังคงกล่าว “เสื้อผ้าของท่านพ่อนี่ใหญ่เกินไปนะ” ว่าแล้วก็ลืมตาผงกศีรษะยกแขนขึ้นทั้งสองข้าง “แต่ก็ดี” นางเอ่ยประโยคถัดมาอย่างหลายใจหลากอารมณ์ “ใหญ่อย่างนี้ก็ดีจะได้บดบังหน้าอกอวบนูนนุ่มอิ่มของข้าได้อย่างมิดชิด”
จบประโยคก็เอื้อมมือของตนลูบๆ คลำๆ แล้วบีบเคล้นเน้นเบาๆ ที่หน้าอกของตนเอง
จ้าวหนิงหลงถึงกับเผลอกลืนน้ำลาย
“เจ้าอยู่ที่นี่นั่นเอง” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้น
“มาแล้วหรือ? อาเหอ” จิวซินเอ่ยทักทายบุรุษผู้กำลังเดินมาไกลๆแต่เสียงดังโวยวายก่อนตัวเสมอ
เขามีนามว่าจิ้นเหอ เป็นสหายของจิวซิน ทั้งยังเป็นบ่าวชายในคฤหาสน์ใหญ่โตแห่งหนึ่งนอกเขตเมืองของวังหลวงในแคว้นจ้าวแห่งนี้
“นี่เจ้าปลอมตัวแล้วรึ?” จิ้นเหอถามจิวซินทันทีที่เดินมาถึงสตรีในอาภรณ์บุรุษที่กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนี้
“ใช่” จิวซินตอบ
“ไยยังงดงามปานนั้น” จิ้นเหอถามออกมาตรงๆ ตามวิสัย
จิวซินยังไม่กล่าวตอบสิ่งใด นางเพียงยกฝ่ามือขึ้นแล้วกุมแก้มของตนเอง
“เช่นนั้น ทำอย่างไรดี?” นางเอียงหน้าถาม
จิ้นเหอมองสำรวจโดยละเอียดก่อนเอ่ย “เจ้าเห็นดินโคลนดำๆ ตรงริมลำธารหรือไม่?”
จิวซินหันไปมองพลางตอบ “อืม...เห็น”
“เจ้าเดินไปหยิบมันมา”
จิวซินลุกขึ้นเดินแล้วไปหยิบดินโคลนมาตามคำ
“แล้วทาเข้าไปที่ใบหน้าของเจ้า”
จิวซินหยิบดินโคลนมาป้ายหน้าตามที่จิ้นเหอบอก
"เช่นนั้นแหละ รอให้มันแห้งสักครู่ก็ใช้ได้แล้ว" จิ้นเหอกล่าวขึ้นพร้อมมุมปากยิ้มเล็กๆ แต่เจ้าเล่ห์มาก
“อืม...” จิวซินพยักหน้าน้อยๆ “แต่...เดี๋ยวนะ”
จิ้นเหอที่รู้แล้วว่าบุคคลที่ตนกำลังคิดจะกลั่นแกล้งรู้ตัวเสียแล้ว เขาจึงรีบกลับหลังหันแล้ววิ่งหนีไปอย่างเร็ว
“หยุดนะอาเหอ...” จิวซินวิ่งตามจิ้นเหอไปติดๆ
“อ๊ะ! รอข้าด้วย” เสียงของสตรีอีกนางหนึ่งที่มาด้วยกันพลันวิ่งตามไปติดๆ เช่นเดียวกัน
ยามนี้...ทุกผู้คนที่อยู่บนพื้นดินได้หายหมดไปแล้ว
แต่ยังคงเหลือเอาไว้เพียงบุรุษคนหนึ่งที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บนต้นไม้
และ...จ้าวหนิงหลงที่นั่งอยู่บนต้นไม้จึงได้เห็น
ว่าที่คู่หมั้นของตน...
โดยบังเอิญ...