บ่าวชายคนสนิท

1812 คำ
ณ คฤหาสน์ใหญ่โตแห่งหนึ่ง จะว่าเป็นตำหนักก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นจวนก็ไม่เชิง เพราะว่ามันมิได้อยู่ในเขตของพระราชวัง และมิได้ตั้งอยู่ในอาณาเขตของเมืองหลวง ทั้งยังมิใช่ขุนนางแห่งราชสำนักเป็นเจ้าของอยู่อาศัย จิวซิน จิ้นเหอ และลู่ชิง ยืนชื่นชมความงามของคฤหาสน์แห่งนี้ด้วยความเพลิดเพลินอยู่ตรงด้านหน้าของประตูอันใหญ่โตของคฤหาสน์ “นี่เป็นคฤหาสน์ของคุณชายหนิง” จิ้นเหอผู้เป็นบุตรชายหนึ่งเดียวของพ่อบ้านที่นับว่ามีตำแหน่งใหญ่สุดในบรรดาบ่าวไพร่ของคฤหาสน์แห่งนี้เอ่ยแนะนำอย่างภาคภูมิใจ “คุณชายหนิงของเราเป็นผู้รักสงบ ทั้งยังเป็นบุรุษเรียบง่าย ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบให้ผู้ใดรบกวน ปกครองบ่าวไพร่ด้วยเมตตาธรรม ประหนึ่งเทพเซียนจำแลง ทุกคนในคฤหาสน์จึงอยู่กันอย่างสุขสงบ นี่ๆ ข้าจะพาเจ้าให้มาแอบเป็นบ่าวชายของที่นี่ รับรองปลอดภัย หายห่วง” จิ้นเหอยกยิ้มภูมิใจยามกล่าวประโยคที่ทำให้จิวซินอมยิ้มออกมา “ดีปานนั้นเชียว อา...นั่นล่ะที่ข้าต้องการ อาเหอสหายรัก” จิวซิน ตอบกลับพลางตบไหล่อาเหอ ลืมความขุ่นเคืองก่อนหน้าจนสิ้น “เจ้าไม่อึดอัดหรือจิวซินที่ต้องปลอมตัวเป็นบุรุษ แป้งก็ไม่ได้ผัด อาภรณ์งดงามก็ไม่ได้สวมใส่ เป็นข้าคงกลั้นใจตาย” ลู่ชิงเอ่ยขึ้นมาทางจิวซินที่อยู่ในอาภรณ์บุรุษตัวใหญ่ไม่สมส่วน “ไม่เลย ลู่ชิง อย่างนี้ล่ะ ปลอดภัยกับสาวงามอย่างข้ายิ่งนัก” จิวซินกล่าวตอบอย่างอารมณ์ดีจนเรียกอาการส่ายหัวน้อยๆ ของสหายทั้งสอง “มาเถิด ข้าจะพาไปพบท่านพ่อ ขอร้องให้เจ้าได้เข้าทำงานที่นี่” จิ้นเหอรีบพาจิวซินเข้าทางประตูข้างถัดจากประตูใหญ่เพื่อทะลุไปยังด้านในของคฤหาสน์หนิง อันเป็นที่พักอาศัยและสถานที่ทำงานของเขากับบิดามาเนิ่นนานนับแต่จำความได้ “โชคดีนะ จิวซิน” ลู่ชิงโบกมืออำลาสหายทั้งสองที่เดินเข้าไปยังคฤหาสน์ตรงหน้า ก่อนหมุนตัวเดินจากไป โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครบางคนที่ยืนแอบอยู่ตรงมุมกำแพงของคฤหาสน์แห่งนี้ ใครบางคนที่ว่าก็คือ จ้าวหนิงหลง เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้นั่นเอง เขาแอบตามว่าที่คู่หมั้นมา ทั้งแอบมองและแอบฟังกลุ่มบุคคลทั้งสามยืนคุยกันอยู่ตรงด้านหน้าคฤหาสน์ของเขาเป็นนาน และ...เขาก็ได้รู้ว่า นางกำลังต้องการจะปลอมตัวเพื่อหนีเขา โดยการแต่งกายเป็นบุรุษแล้วเข้ามาทำงานเป็นบ่าวชายของเขา ที่นี่! ที่คฤหาสน์ของเขาแห่งนี้ ฮึ! นางช่างกล้า! ภายใต้บุคลิกงดงามเรียบเฉยสุขุมนุ่มลึกนั้น จ้าวหนิงหลงได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยนิสัยไม่เคยยินยอมกับใครหรืออะไรง่ายๆ บริเวณลานกว้างของเรือนภายในคฤหาสน์ เสียงของชายอาวุโสเอ่ยถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เขาอยากจะเข้ามาทำงานที่นี่รึ?” จิ้นเหอรีบตอบคำอย่างกระตือรือร้น “ใช่ขอรับท่านพ่อ นาง เอ้ย! เขาเป็นสหายรักของข้าเอง” จิ้นสิงบิดาของจิ้นเหอปรายสายตาละจากบุตรชายกลับมามองบุคคลในอาภรณ์บุรุษแต่ใบหน้ากลับงดงามเกินชายชาญอย่างสงสัย เขารู้สึกไม่ไว้วางใจเอาเสียเลย “คงไม่สะดวกกระมัง ข้าไม่อาจตัดสินใจ” เขากล่าวออกมาอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะรับเด็กหนุ่มหน้าหยกคล้ายอิสตรีผู้นี้เข้ามาดีหรือไม่ ด้วยเกรงจะมีภัยไม่รู้ตัว เหตุจากบุตรชายของเขาที่ออกจะซื่อบื้อมากกว่าซื่อสัตย์ดังนามเรียกขาน “เจ้าพาเขากลับไปเถอะ” “ได้อย่างไรท่านพ่อ ข้ารับปากอาซินแล้วว่าได้แน่นอน ท่านพ่ออย่าหักหน้าข้าอย่างนี้” จิ้นเหอกล่าวอย่างไม่ยินยอมคล้ายงอแงเอาแต่ใจ “อาเหอ...” จิ้นสิงเอ่ยเสียงต่ำยิ่งกว่าเดิม “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่” “หา!” จิ้นเหอถึงกับงุนงงก่อนตอบ “สิบหกขอรับ” “สหายของเจ้าเล่า” “สิบหกเท่ากับข้าขอรับ” “แล้วไฉนเขาถึงดูดีสง่างามและรู้ความมากกว่าเจ้าเล่า คุกเข่า!” จิ้นสิงคำราม จิ้นเหอสุดงุนงงและตกใจจนถึงกับรีบทรุดตัวลงคุกเข่ากระแทกพื้นดังพลั่ก “ท่านพ่อ!” จิ้นสิงยังคงเสียงดัง “ทำตัวเยี่ยงนี้ แล้วจะแต่งงานได้อย่างไรกัน สตรีที่ใดจะพึงใจเจ้า น่าอายยิ่ง!” “ท่านพ่อ ท่านผิดประเด็นแล้วขอรับ...” จิวซินที่ยืนนิ่งเก็บปากเงียบอยู่นานทำได้แค่เพียงกลั้นหัวเราะเอาไว้สุดกำลัง ถึงแม้ว่าจะสงสารจิ้นเหออยู่บ้างก็ตาม เพราะว่าอาเหอมีบุคลิกนิสัยอย่างนี้ล่ะ นางถึงคบหาเป็นสหายอย่างไว้เนื้อเชื่อใจมาแต่ไหนแต่ไร “คุกเข่าต่อไป ห้ามลุกขึ้นมาเด็ดขาด!” จิ้นสิงยังคงคำรามดุดันก่อนเดินจากไปเมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนส่งสายตาที่แสนจะคุ้นเคยมาทางตนจากมุมด้านในของห้องในเรือนใหญ่ “โธ่! ท่านพ่อ มันใช่หรือไม่?” จิ้นเหอได้แต่บ่นอย่างน่าสงสาร แต่ยังต้องคุกเข่าอยู่อย่างนั้น โดยมีจิวซินยืนกลั้นยิ้มอยู่ข้างๆ “ข้าจะยืนเฝ้าอาเหอให้นะขอรับ...” จิวซินแกล้งล้อเลียนสหาย นางตะโกนออกไปเบาๆ ไล่หลังจิ้นสิงเพื่อกลั่นแกล้งจิ้นเหอ “อาซิน!” จิ้นเหอมองตาขวาง ส่งเสียงกดต่ำไปทางคนชอบแกล้ง จิวซินคลี่ยิ้มสดใสอย่างอารมณ์ดีเหลือเกิน นางไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีสายตาคมกล้าของใครบางคนเพ่งมองออกมาจากด้านในห้องของเรือน ภายในเรือนของคฤหาสน์ถัดจากลานกว้างไม่ไกล “รับเข้ามา” เสียงทุ้มทรงอำนาจของจ้าวหนิงหลงที่ยืนอยู่ด้านในเรือนเอ่ยคำกับจิ้นสิงแค่นั้น ขณะมองออกไปทางนอกหน้าต่างแล้วเห็นร่างบอบบางที่อยู่ในอาภรณ์บุรุษไม่ไกล จิ้นสิงผู้ที่เป็นหัวหน้าพ่อบ้านซึ่งดูแลทั้งนายน้อยของเขาอย่างดีและดูแลกวดขันบ่าวไพร่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรจึงมักจะคอยระแวดระวังภัยอย่างแข็งขันเป็นนิสัย เขารีบเอ่ยขัดขึ้น “แต่เด็กหนุ่มนั่นไม่น่าไว้ใจขอรับ บ่าวคิดว่าเขาดูดีเกินไปสักหน่อย ทั้งผิวพรรณและผิวหน้า เขาอาจมีฐานะอื่นแอบแฝงเข้ามาด้วยเป้าหมายที่ไม่ดี ให้บ่าวขับไล่ไปดีกว่า” “ไม่เป็นไร” จิ้นสิงเอ่ยยังไม่จบแต่จ้าวหนิงหลงตัดบทแค่นั้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ก่อนหมุนตัวเดินไปอีกทางแล้วเอ่ยปิดท้าย “ให้มาเป็นบ่าวคนสนิทของข้า” “หือ” จิ้นสิงถึงกับตกใจเมื่อได้ยินจนต้องร้องเรียก “คุณชาย!” พ่อบ้านสูงวัยได้แต่ยืนมองอย่างฉงนคล้ายกับเมื่อครู่ตนฟังผิดไป แต่คุณชายกลับไม่เอ่ยอันใดอีก นอกจากแอบมองบ่าวรับใช้คนใหม่จากฉากกั้นลายพยัคฆ์เมฆา เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม... ตรงลานกว้างที่ใช้ทำโทษจิ้นเหอเมื่อครู่ “เจ้าได้งาน แต่ข้าต้องคุกเข่าเป็นชั่วยาม มันใช่หรือไม่!” จิ้นเหอยังคงพร่ำบ่นใส่จิวซินที่ยืนยิ้มแก้มปริเมื่อได้รับข่าวจากบิดาของเขาว่านางได้งานแล้ว “เจ้าหยุดบ่นได้แล้ว ข้าขอตัวไปหาเจ้านายของข้าก่อนนะ” จิวซินกล่าวพลางตบไหล่ของจิ้นเหอเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังทิศทางของหัวหน้าพ่อบ้านที่ยืนรอนำทาง เมื่อเดินตามจิ้นสิงมาจนถึงศาลาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมสระบัว ล้อมรอบไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ จิวซินถึงกับตื่นตะลึงกับความงดงามของสวนสวยบริเวณศาลาแห่งนี้ “อะแฮ่ม” จิ้นสิงกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวเตือนเสียงเข้มขรึม “การที่เจ้าได้พบคุณชายหนิงนับว่าเป็นวาสนาสูงสุดในชีวิต เจ้าต้องรับรู้และระลึกให้ดีในข้อนี้ หากคิดจะอยู่ที่นี่โปรดระมัดระวังกิริยาวาจาให้ดี ปรนนิบัติรับใช้คุณชายด้วยความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดสิบสองชั่วยาม ห้ามออกห่างจากข้างกายคุณชาย ห้ามเพลี้ยงพล้ำทำผิดพลาดเด็ดขาด อย่าลืมว่าคุณชายหนิงสูงส่งยิ่งนัก ยากเหลือเกินกับการที่ได้พบเจอ...” จิวซินได้ฟังความเลิศเลอนั้นรีบพยักหน้าหงึกหงักรับคำขึงขัง “ขอรับท่านพ่อบ้านจิ้น ข้าอาซินจะจดจำใส่ใจทุกสิ่งแน่นอน” กล่าวพลางยกมือตบอกหนักๆ ท่วงท่าองอาจห้าวหาญอย่างที่สุด จิ้นสิงจึงวางใจได้ลงก่อนปล่อยให้จิวซินได้เดินเข้าไปยังศาลาเพียงลำพังโดยที่เขายืนรอรับคำสั่งอยู่ด้านนอกศาลาตามปกติ หญิงสาวในอาภรณ์บุรุษเพียงทอดมองสายตาไปอย่างถ้วนทั่วของสวนพฤกษาโดยมิได้สนใจอันใดกับบุรุษรูปงามที่ยืนอยู่อย่างงามสง่าภายในศาลาแห่งนี้แต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็ทำให้บุรุษผู้นั้นถึงกับขัดเคืองใจยิ่ง! จ้าวหนิงหลงที่ยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่วงท่าของผู้ทรงภูมิเพียงปรายสายตามองว่าที่คู่หมั้นของเขาที่กำลังอยู่ในอาภรณ์บุรุษตรงหน้าอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก เดินจะชนเขาอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัว ในขณะที่จิวซินยังคงไม่รู้ตัวจริงดังว่า “คุณชายเจ้าคะ ชาเจ้าค่ะ” เสียงใสๆ ของสตรีนางหนึ่งพลันดังขึ้นทำเอาจิวซินถึงกับออกจากภวังค์แห่งความงดงามรอบทิศทาง ก่อนที่จะเกิดการเดินชนเข้ากับแผงอกของบุรุษในศาลา ในจังหวะนั้นเองที่นางได้สติ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองใครบางคนที่ยืนขวางทางอยู่ และนางก็ได้เห็นคุณชายรูปงามผู้หนึ่ง เขาสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตาไร้ลวดลายปราศจากสีสันใดๆ ทว่าทั้งหมดทั้งมวลมิใช่เพียงรูปโฉมที่หล่อเหลาหมดจด หรือท่วงทีกิริยาสุภาพนุ่มนวลเฉกเช่นบัณฑิตสูงส่งเท่านั้น หากแต่ภายใต้ใบหน้าได้รูปคมคาย ผิวพรรณกระจ่างใส ดวงตายาวเรียวคมกริบและริมฝีปากได้รูปสีแดงสดนั้น เขาผู้นี้กำลังยืนก้มหน้ามองนางอยู่ด้วยสายตาดำขลับทอประกายลึกล้ำยากแก่การเข้าใจ จิวซินทำได้เพียงกะพริบตาขึ้นลงสองทีอย่างขบคิดและวิเคราะห์กับบุรุษตรงหน้า หากว่าเขาโกนหัวอีกอย่าง ใช่เลย! นักบวชแน่แล้ว...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม