ตามทางเดินทอดยาวอันโออ่ากว้างขวางของพระราชวังแคว้นจ้าว
ที่โอบล้อมไปด้วยเครื่องประดับประดาสีทองอร่ามงามตาสมกับตำหนักหลวงของเจ้าแห่งแผ่นดิน สองข้างทางของทางเดินนั้นเต็มไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารและการอารักขาอยู่เต็มพื้นที่
แต่ทว่าร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งกลับมิได้หวั่นเกรง ทั้งยังเดินอย่างมั่นคงสุขุม ท่วงท่าของเขาแฝงรัศมีชวนครั่นคร้ามผิดแผกจากรูปลักษณ์อบอุ่นอ่อนโยนอย่างสิ้นเชิง แววตานุ่มลึกบัดนี้ฉายแววหงุดหงิดรำไร รอบด้านแผ่ซ่านไอเย็นเยียบออกมา เรือนกายงดงามโดดเด่นนั้นเดินเข้าไปตรงสุดทางเดินที่ซึ่งเป็นห้องทรงงานส่วนพระองค์ของเจ้าแห่งแคว้น
“มาแล้วหรือ? หนิงหลง”
สุรเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยทักทายบุรุษผู้ที่ทำความเคารพพระองค์หลังจากเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาหาใดเปรียบ
หาได้ยากนักที่โอรสผู้นี้จะยิ้มสักครั้ง หรือเข้าวังโดยที่พระองค์มิได้เรียกหา
จ้าวเฟยเซียนยืนเอามือไพล่หลังในอิริยาบถสบายพระทัยอยู่ตรงริมหน้าต่างขอบทองบานใหญ่เพียงปรายสายพระเนตรมองผู้มาเยือนอย่างรู้เท่าทัน พระองค์ตรัสด้วยกระแสเสียงเรียบเรื่อยอย่างคนเบิกบาน “เจ้าคงดีใจมากกระมังที่จะได้หมั้นหมาย”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
จ้าวหนิงหลงรีบเอ่ยขัดกระแสรับสั่งขณะยืนอย่างสงบด้วยท่วงท่างามสง่าคงความสุภาพชนไม่ไกลกับพระบิดาของเขา
ฮ่องเต้ยกยิ้มมุมพระโอษฐ์ มิได้กล่าวต่อคำใด เพียงมองประเมินโอรสคนโปรดนิ่งๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความลึกล้ำของอีกฝ่าย
กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกนั้น เจ้าจะแผ่ซ่านออกมาแช่แข็งผู้คนให้หมดตำหนักเลยหรือไร?
ฮ่องเต้คิดอย่างหนักพระทัย
สองพ่อลูกยังคงนิ่งสงบอยู่อึดใจเพื่อจ้องมอง
จ้าวเฟยเซียนรู้ดีถึงนิสัยของโอรสแห่งตนว่าเป็นประเภทเงียบงันแต่เฉียบคมกว่าที่คิด พระองค์จึงเป็นฝ่ายตรัสขึ้นก่อน
“เจ้านำทัพไปปราบศึกจนสำเร็จ ทั้งยังนำขุมกำลังส่วนตัวไปกวาดล้างกลุ่มกบฏตามชายแดนจนสลายหายไป มีความดีความชอบอยู่มิใช่น้อย”
จ้าวหนิงหลงยกคิ้วคมเข้มขึ้นอย่างท้าทายยามเอ่ย
“เช่นนั้นแล้ว เสด็จพ่อเพียงทรงยกเลิกตำแหน่งรัชทายาทที่คิดจะมอบให้กับกระหม่อมก็พอแล้วกระมัง”
จ้าวเฟยเซียนหรี่ตามองโอรสที่เกิดจากสนมที่มิใช่เพียงแค่สนมแต่เป็นคนรักของตนนิ่งๆ
พระองค์ทรงมองจ้าวหนิงหลงเงียบงันอยู่อย่างนั้น
โอรสผู้นี้เป็นบุตรชายที่เกิดจากความตั้งใจจริงของพระองค์กับสตรีอันเป็นที่รัก
แต่ทว่า...ตั้งแต่นางตายไป หนิงหลงก็ได้แต่ทำตัวเหินห่างกับเขาด้วยเรื่องการตายของนาง
แน่นอนว่าเขาต้องการให้หนิงหลงขึ้นครองราชย์ แต่ว่า เขาก็ได้รับปากกับมารดาของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วก่อนที่นางจะตายจากไปว่าจะไม่ให้หนิงหลงต้องเข้ามามีส่วนร่วมหรือพัวพันกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในราชวัง แต่ถ้าหากปล่อยหนิงหลงไป ตัวเขาก็จะต้องห่างเหินกับโอรสอันเป็นที่รักไปเรื่อยๆ
เช่นนั้นแล้ว การผูกหนิงหลงเอาไว้กับธิดาของสหายหนึ่งเดียว จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เมื่อจ้าวเฟยเซียนฮ่องเต้คิดได้อย่างนั้น มุมปากบางเฉียบจึงระบายยิ้มพึงใจสูงสุด พระองค์หาได้สนใจอารมณ์ที่แตกต่างของโอรสที่ยืนเยื้องออกไปไม่
“เสด็จพ่อ...” หนิงหลงกล่าวเสียงเข้มไปทางพระบิดา
พระองค์ทรงยิ้มอย่างนั้นแล้ว เขาจะเอ่ยสิ่งใดออกมาได้กัน
ฮ่องเต้ยังคงแย้มยิ้ม เมื่อนึกถึงภาพที่โอรสอันเป็นที่รักกำลังอุ้มเด็กน้อยเคียงคู่อยู่กับธิดาของสหายสนิทมาให้พระองค์กับหยางเซิงที่มักจะยืนอยู่ด้วยกันได้ดูชม
อา...ช่างเป็นภาพที่อบอุ่นยิ่ง!
จ้าวหนิงหลงเห็นสีพระพักตร์กรุ้มกริ่มของผู้เป็นพระบิดาแล้วก็ได้แต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มิรู้ได้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี
เพราะรอยยิ้มอย่างนี้กระมัง ที่ทำให้เสด็จแม่ทรงหลงรักเสด็จพ่อเสียหัวปักหัวปำ ยอมแม้กระทั่งถูกรังแกจนชีวาวาย
จ้าวหนิงหลงคิดอย่างนั้นอยู่ภายในใจขณะทอดมองไปที่รอยยิ้มของพระบิดา รอยยิ้มที่ดูจะมีความสุขเหลือคณา รอยยิ้มที่นานๆ ครั้งจึงจะได้เห็นสักครา มิรู้ได้ว่าทรงคาดหวังสิ่งใดอยู่กัน
หยางเซิงที่ยืนกอดอกอยู่ตรงมุมมืดเพื่อคอยอารักขาฮ่องเต้จ้าวดั่งเช่นทุกวันเพียงมองรอยยิ้มนั้นอย่างเหม่อลอย
เขาเองก็มิอาจปฏิเสธสิ่งใดได้ก็เพราะรอยยิ้มนั้นนั่นแล เฮ้อ...
“กระหม่อมจะออกจากวัง”
กระแสเสียงเย็นเยียบของจ้าวหนิงหลงพลันดังขัดจังหวะ
รอยยิ้มเพ้อฝันเปี่ยมเสน่ห์ของจ้าวเฟยเซียนกระตุกลงในทันที
หยางเซิงที่ยืนอยู่ตรงมุมมืดคิ้วกระตุกขึ้นในทันทีเช่นเดียวกัน
“ได้อย่างไร?” จ้าวเฟยเซียนเอ่ยท้วง
“ย่อมได้” จ้าวหนิงหลงกล่าวเสียงเรียบก่อนสะบัดชายผ้าเดินออกจากห้องทรงงานไปอย่างไม่ใยดี
หยางเซิงถึงกับถลึงตามองตามจ้าวหนิงหลงที่เดินออกไป ร่างสูงของบุรุษหนุ่มผู้นั้นเผยออกมาว่าเย่อหยิ่งถือตัวไม่ยอมก้มหัวให้ใคร
องครักษ์สูงวัยถึงกับนึกอย่างขัดเคือง
ฮึ!กล้ารังเกียจธิดาแสนรักของเขาหรือ บังอาจยิ่ง!
ถึงแม้ว่าฐานะขององค์ชายหนิงหลงจะเหนือกว่าเขาที่เป็นองครักษ์ แต่ทว่า...ในฐานะของพ่อตาแล้ว เขาย่อมสูงส่งกว่ามาก
เช่นนั้น องค์ชายอย่าหวังว่าเขาจะออกตามหาจิวซินให้กลับมาหมั้นหมายด้วยเลย
ไม่มีทาง!