“แต่ก่อนจะไปที่นั่น เราต้องเตรียมตัวให้ดี โดยเฉพาะสุขภาพของเจ้า...ต้องให้ท่านตารักษาจนหายเป็นปกติ รู้หรือไม่”
เสี่ยวชุนพยักหน้าอยู่ในอ้อมอก
หลังปลอบอยู่พักใหญ่ เมิ่งถึงเซ่อจึงพาอีกฝ่ายไปหาท่านผู้เฒ่าหวงซวนที่เรือนชิงหลินด้วยกัน ในเมื่อตัดสินใจจะใช้ชีวิตในร่างนี้แล้ว ทุกหนทางที่เดินย่อมต้องคิดต้องวางแผนให้ดี ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด นอกจากรักษาอาการของเสี่ยวชุนแล้ว ร่างกายของนาง รวมถึงวรยุทธ์ที่ควรก้าวหน้าก็ย่อมต้องก้าวหน้า มิเช่นนั้นอย่าว่าแต่เป็นคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นหยางโหวเลย แม้แต่จะมีชีวิตรอดในแต่ละวันคงเป็นเรื่องยากลำบาก
พอมาถึงหน้าเรือนชิงหลิน เมิ่งถิงเซ่อกับเสี่ยวชุนล้วนยอบกายลง
“ท่านตา หลานมาแล้วเจ้าค่ะ”
ตรงระเบียงไม้คับแคบหน้าเรือนนั้น หวางสู่ผิงเห็นเงาร่างบอบบางของเมิ่งถิงเซ่อ คุณหนูผู้นี้สวมอาภรณ์โปร่งบางสีน้ำเงินเข้ม เนื้อผ้าแม้จะเก่าไปบ้างแต่ยังได้รับการเย็บปะชุนเป็นอย่างดี สภาพเส้นผมที่ตนเห็นเมื่อคราวก่อนไม่ได้ยุ่งเหยิงเฉกเช่นเวลานี้นัก แม้แต่หน้าตาที่เริ่มขาวกระจ่างกลับถูกขี้ถ่านไฟสีดำปาดป้ายเอาไว้ ทว่าน่าประหลาดเพราะต่อให้มีรูปลักษณ์เช่นนี้กลับไม่อาจปิดบังความงามที่แผ่ซ่านมาจากภายในได้เลย เห็นเช่นนี้หวางสู่ผิงจึงรู้สึกว่า ความสง่างามของคุณหนูช่างเหมาะสมกับ...คนผู้นั้นยิ่งนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งถิงเซ่อเข้ามาภายในเรือนของท่านผู้เฒ่าหวงซวน แม้ไม่ได้มองจนถ้วนทั่วแต่ก็รู้ว่าการตกแต่งของเรือนนี้มิได้แตกต่างจากเรือนพำนักของตนมากนัก ที่ไม่เหมือนกันก็คงเป็นเรื่องกลิ่น เพราะภายในเรือนของท่านตาล้วนมีสมุนไพรตากแห้งมากมาย รอบๆ เรือนที่นางเดินผ่านมานั้นคงเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรล้ำค่าเช่นกัน จะว่าไปแล้วหอคณิกาอวี้หลิงแห่งนี้คงเป็นหอคณิกาแห่งเดียวที่แบ่งพื้นที่ให้ท่านตาหวงซวนกับนางพักอาศัยอย่างสงบเงียบยิ่ง จำได้ว่าตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามาที่นี่ นอกจากข้าวของเครื่องใช้ที่เหล่าพี่สาวแบ่งปันให้แล้ว ก็ไม่เคยมีใครสักคนก้าวล้ำผ่านกำแพงไม้เก่าๆ นั่นมาเลยแม้แต่ก้าวเดียว เห็นท่านตาหวงซวนใช้ชีวิตเรียบง่าย คิ้วของเมิ่งถิงเซ่ออดขยับหากันมากหน่อยไม่ได้
“เซ่อเอ๋อมาแล้วหรือ”
พอได้ยินถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความรักใคร่มีเมตตา พลันปัดความสงสัยเหล่านั้นทิ้ง ทำเพียงยอบกายคำนับแล้วนั่งลงบนตั่งตัวเล็กด้านหน้า ยื่นข้อมือไปให้ท่านตาตรวจชีพจร
หลังทาบปลายนิ้วกับจุดชีพจรแล้ว ท่านผู้เฒ่าหวงซวนสูดลมหายใจเพียงเล็กน้อย ตรวจเสร็จจึงผ่อนลมหายใจแห่งความโล่งอกออกมา สีหน้าแววตาที่เมิ่งถิงเซ่อสัมผัสได้ในคราวนี้เรียกว่าดีกว่าที่ผ่านมามากมายนัก
“ต่อไปนี้ หากเจ้าหมั่นฝึกวรยุทธ์ รู้จักควบคุมกำลังภายใน ใช้เวลาไม่เกินสามปีย่อมหายเป็นปกติ ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานกับการถูกแผดเผาในร่างอีก และหลังจากสามปีเจ้าก็จะรู้สึกหนาว รู้สึกร้อนเหมือนคนอื่นๆ”
ต้องใช้เวลาถึงสามปีเชียวหรือ
เห็นแววตาของหลานหม่นแสง ท่านผู้เฒ่าจึงแตะหลังมือเบาๆ “วางใจเถิด สามปีนี้ขอแค่ดื่มยาสม่ำเสมอ เจ้าก็จะไม่ทรมาน”
เมิ่งถิงเซ่อยิ้มบางๆ สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากท่านตาตรวจอาการของนางเสร็จ ก็ถึงคราวต้องตรวจร่างกายของเสี่ยวชุนบ้าง ทว่าหลังแตะชีพจรสีหน้าของท่านผู้เฒ่ากลับไม่ดีนัก
“เด็กคนนี้ ยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ต่อให้ข้าอยากรักษาแต่เกรงจะไร้ความสามารถ”
มือทั้งสองข้างของเมิ่งถิงเซ่อสั่นเทาไปหมด อาการของเสี่ยวชุนมองๆ ดูแล้วไม่ใช่ดีกว่าหญิงบ้าอย่างนางหรอกหรือ แต่เหตุใดทั้งที่รักษาพร้อมกันกลับไม่หายเป็นปกติเสียที
“เพราะไม่มีกำลังภายในเหมือนเจ้า”
ท่านผู้เฒ่าหวงซวนเอ่ยออกมาราวกับรู้ว่าเมิ่งถิงเซ่อต้องซักถาม “มีเพียงทำให้ยุทธ์ล้ำเลิศจึงจะสามารถกลับมาเป็นปกติ”
“ถ้าเช่นนั้น ให้เสี่ยวชุนฝึกวรยุทธ์พร้อมกับหลานได้หรือไม่”
“เกรงว่าคงไม่ง่ายเช่นนั้น ที่เจ้าฝึกยุทธ์ได้เป็นเพราะหรูถิงถ่ายทอดให้ แต่เสี่ยวชุนไม่ได้ร่ำเรียนลึกซึ้งอะไร มีวิชาติดตัวเพียงเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น เกรงว่าต่อให้เรียนพร้อมเจ้าไปทั้งชีวิตก็ยากจะกลับมาเป็นปกติ”
ได้ยินแล้วเมิ่งถิงเซ่อจึงได้แต่เอื้อมไปรั้งมือสั่นเทามาบีบเบาๆ “ต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ข้าก็จะฝึกยุทธ์กับเสี่ยวชุน”
“ยังมีอีกหนทางที่จะช่วยได้”
“ทางใดหรือเจ้าคะ”
เพียงได้ยินคำกล่าวของท่านผู้เฒ่า ความหวังที่หายไปกลับส่องสว่างอีกครั้ง “ขอเพียงรักษาได้ ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด หลานก็จะทำเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใด มีเพียงส่งนางไปที่แห่งหนึ่งเท่านั้น”
“ส่งไปที่ไหนหรือเจ้าคะ”
“สำนักพิรุณโปรยปราย”
สำนักพิรุณโปรยปราย ชื่อนี้นับตั้งแต่ทะลุมิติมาเมิ่งถิงเซ่อเพิ่งได้ยินเป็นครั้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไมภายในใจลึกๆ กลับรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
“ณ ดินแดนทางเหนือ แวดล้อมด้วยหุบเขาสูงชันทั้งสี่ทิศทาง สถานที่แห่งนั้นมีหิมะโปรยปรายทั้งปี มองไปทิศทางใดล้วนขาวโพลน แต่น่าประหลาดท่ามกลางความหนาวเหน็บเช่นนั้น ต้นท้อนับพันล้วนออกดอกบานสะพรั่ง ทว่าแม้ดอกท้อจะเบ่งบานงดงามเพียงใดกลับไม่มีผลท้อให้กินแม้แต่ผลเดียว ว่ากันว่า สำนักพิรุณโปรยปรายมีคุณชายรูปงามท่านหนึ่งเป็นเจ้าสำนัก ข้างกายของคุณชายมีเจ็ดธิดาแห่งเรือนท้อเหมันต์คอยรับใช้ ฝีมือสตรีทั้งเจ็ดนับว่าล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง และหนึ่งในเจ็ดธิดาก็เชี่ยวชาญด้านยารักษาโรค ไม่ว่าอาการผู้ป่วยจะหนักหนาเพียงใด ขอเพียงพบแม่นางซูซ่าน คนผู้นั้นย่อมหายดี”
“ฝีมือรักษาของแม่นางผู้นี้เหนือกว่าท่านตาหรือเจ้าคะ”