“ย่อมเหนือกว่า เซ่อเอ๋อเจ้าไม่รู้หรือว่าท่านตาของเจ้าเป็นเพียงนักพรตนอกรีดหลีกหนีจากยุทธภพเท่านั้น ที่รักษาอาการของเจ้าได้นับว่าสวรรค์เมตตา”
ได้ยินเช่นนี้เมิ่งถิงเซ่อเม้มปากแน่น มือที่จับในเวลานี้สั่นเทาไม่น้อย แต่หากสามารถรักษาได้ก็นับว่าคุ้มค่า “ถ้าเช่นนั้น หลานจะพาเสี่ยวชุนไปที่นั่น”
ท่านผู้เฒ่าหวงซวนได้แต่ส่ายหน้าไปมา “น่าเสียดาย ที่เจ้าไม่อาจไปกับเสี่ยวชุน ครั้งนี้นางต้องพึ่งตัวเอง”
“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ”
“มีเพียงบากบั่นพยายาม จึงจะได้รับการรักษาจากเจ็ดธิดาผู้นั้น หาไม่แล้วอย่าว่าแต่รับการรักษาเลย แม้แต่จะเดินทางไปถึงที่นั่นก็ยังไม่มีวันเป็นไปได้”
“ในเมื่อสำนักพิรุณโปรยปรายแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกลับถึงเพียงนั้น หนำซ้ำเดินทางไปในครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับการรักษาหรือไม่ ถ้าหากเกิดสิ่งใดขึ้น”
“เจ้าวางใจเถิด ขอเพียงพกหยกชิ้นหนึ่งไว้ ย่อมต้องไปถึงที่นั่นแน่นอน”
จู่ๆ ท่านผู้เฒ่าหวงซวนก็ล้วงหยกสีแดงสลักลวดลายดอกท้อออกมาจากแขนเสื้อ มอบให้เมิ่งถิงเซ่อ “เมื่อครั้งที่ข้ายังท่องยุทธภพ มีวาสนาได้พบกับเจ้าสำนักพิรุณโปรยปรายคนก่อน หยกชิ้นนี้ย่อมพานางไปที่นั่นได้”
เมิ่งถิงเซ่อได้แต่กำหยกไว้แน่น ก่อนจะพาเสี่ยวชุนคุกเข่าคำนับขอบคุณท่านตา
โดยไม่รู้เลยว่าระหว่างที่พวกนางทั้งสองโขกศีรษะลงนั้นแววตาของท่านผู้เฒ่าหาได้มีเมตตาเหมือนเมื่อครู่ไม่ สิ่งที่เผยออกมานอกจากล้ำลึกแล้วก็คือยากจะคาดเดา
หลังออกจากเรือนท่านตาในครั้งนั้น หลายวันมานี้สิ่งที่เมิ่งถิงเซ่อทำมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือใช้เวลากับเสี่ยวชุนให้มาก เพราะอีกเจ็ดวันหลังจากนี้ต้องตัดใจส่งเด็กคนนี้ไปยังสำนักพิรุณโปรยปรายแล้ว
กลับมาถึงเรือนชิงเถา ไม่ว่าในมือจะมีของดีอะไรล้วนแบ่งให้สาวใช้คนสนิททั้งสิ้น ตอนนี้จึงเห็นว่าสองนายบ่าวกำลังนั่งกินขนมด้วยกัน พอของอร่อยเข้าปากเมิ่งถิงเซ่อก็อดมองไปรอบๆ เรือนหลังเล็กนี้ให้มากหน่อยไม่ได้ ข้าวของเครื่องใช้ยังคงเป็นเหมือนเมื่อครั้งที่นางเห็นครั้งแรก เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง
แต่ที่น่าประหลาดก็คือ ของกิน ยาบำรุงร่างกาย ยารักษาโรค ของพวกนี้ท่านตาหวงซวนล้วนให้ท่านป้าหวางนำมาให้ไม่ขาด ถ้าหากคิดว่าท่านตาหวงซวนยากจนข้นแค้นจนต้องอาศัยเรือนท้ายหอคณิการักษาชีวิต แล้วเหตุใดจึงมีของกินดีๆ เรือนพำนักแม้จะเล็กไปสักหน่อยแต่ทุกอย่างกลับแข็งแรงและดูสะอาดยิ่ง ถ้าหากคิดว่าท่านตาหวงซวนเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เหตุใดยังต้องอาศัยอยู่ที่นี่ หาเรือนดีๆ สักหลังนอกเมืองหลวงพักไม่ดีกว่าหรือ
ยิ่งคิดหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดมุ่น จนรับรู้ว่ามีมือข้างหนึ่งลูบหน้าผากจึงได้แต่จับแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ “กินเถิด ขนมนี้อร่อยนัก นุ่ม หอม กำลังดี”
พอป้อนเสี่ยวชุนไปแล้ว พลันหยิบขนมเข้าปากบ้าง แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลืนได้ยากลำบากยิ่ง ดังนั้นจึงเอาแต่ป้อนขนมใส่ปากไม่หยุด จนกระทั่งอีกฝ่ายส่ายหน้าไม่ยอมกินอีก จึงยอมหยุดมือ
“อิ่มแล้วหรือ”
“อื้อ!”
ครั้งนี้พูดคำหนึ่งกับพยักหน้าไม่หยุด ดูคล้ายจะลืมเลือนไปแล้วว่า ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้พูดออกมาไม่น้อย
“แล้วต่อไปเจ้าอยากทำอะไรอีก อ่านตำรา เขียนอักษร ชมหิมะ ดีหรือไม่”
เสี่ยวชุนส่ายหน้า แล้วจับจูงเมิ่งถิงเซ่อไปยังห้องเล็กข้างเรือน ในนั้นมีถังไม้วางอยู่ นางมองแล้วก็ได้แต่หรี่ตาถาม
“เจ้าอยากอาบน้ำหรือ”
“อื้อ!”
“ได้ ไปต้มน้ำร้อนกัน”
ครานี้ชี้มือชี้ไม้บอกให้เมิ่งถิงเซ่อรออยู่ในห้องข้าง ส่วนตนนั้นไปยกน้ำร้อนเข้ามา พอจุ่มมือลงไปเห็นว่าร้อนจัดก็เติมน้ำเย็นลงไปอีก กระทั่งหลังมือไม่ร้อนไม่เย็นแล้วจึงหันมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้ มาถึงตอนนี้จึงรู้ว่าความจริงแล้วเสี่ยวชุนไม่ได้ต้องการให้ดูแล แต่อยากปรนนิบัตินางต่างหาก
ดังนั้นจึงได้แต่กุมมือเอาไว้ เอ่ยด้วยตาแดงๆ “ครั้งนี้ คงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
เสี่ยวชุนยิ้มออกมา เมิ่งถิงเซ่อจึงเพิ่งรู้ว่าเด็กสาวที่ผ่านความเจ็บปวดมามากมายคนนี้ เวลายิ้มกลับทำให้โลกสดใสนัก
ในเมื่ออีกฝ่ายอยากให้อาบน้ำ ก็คาดเดาได้แล้วว่าเสี่ยวชุนผู้นี้ปรารถนาสิ่งใด ดังนั้นเนื้อตัวเส้นผมที่เคยปล่อยให้ยุ่งเหยิงกระด่างกระดำจึงตั้งใจขัดให้มากกว่าที่ผ่านมา ตอนนี้แม้ผิวไม่ขาวจัดแต่ก็ดีกว่าวันวานมากนัก
อาบน้ำสระผมเช็ดตัวเรียบร้อยแทนที่เสี่ยวชุนจะหยิบอาภรณ์เก่าๆ มาให้เหมือนเคย แต่กลับเลือกหยิบอาภรณ์สีฟ้าครามปักชายอาภรณ์ด้วยลวดลายสายฝนโปรยปราย จำได้ว่าเสื้อผ้าชุดนี้เป็นหรานเจาเจา ยอดหญิงคณิกาแห่งหออวี้หลิงเป็นคนส่งมา
“เจ้าอยากให้ข้าใส่ชุดนี้หรือ”
ในดวงตาทอประกายวาดหวังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นเพื่อทำความหวังของอีกฝ่ายให้เป็นจริง วราลีในร่างเมิ่งถิงเซ่อจึงแต่งกายอย่างพิถีพิถัน เครื่องแต่งหน้าทาปากที่เหล่าพี่สาวในหอคณิกาให้มาล้วนหยิบใช้ แม้จะเทียบไม่ได้กับเครื่องสำอางในยุคที่จากมา แต่ของพวกนี้ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น
ในยามลงมือแต่งหน้า อีกฝ่ายพลันขยับมาหวีผมให้ น่าแปลกที่แรงมือเบานัก หวีผมของนางไม่มีหลุดร่วงสักเส้น แถมยังเกล้าผมขึ้นครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งปล่อยทิ้งตัวลงมาราวกับม่านไหม ด้านบนยังปักปิ่นลายเดียวกันกับชายชุดให้อีกด้วย
แต่งกายเสร็จเมิ่งถิงเซ่อก็หันมายิ้มถาม “เสี่ยวชุน ข้างามหรือไม่”
เสี่ยวชุนพยักหน้าหงึกๆ มือสั่นเทาและแห้งแตกนั้นแตะแก้มของเมิ่งถิงเซ่อเบาๆ
นางจึงหยิบชาดสีแดงมาแต้มแต่งเพิ่มพลางถามอีกครา
“แล้วอย่างนี้เล่า ข้างามเหมือนท่านแม่หรือไม่”
เมิ่งหรูถิง มารดาเจ้าของร่างนี้ในความทรงจำไม่แจ่มชัดนัก แม้จะรับรู้ได้ว่ามารดารักถนอมนางมากเพียงใด แต่ภาพมารดากระอักโลหิตขณะถ่ายทอดวรยุทธ์ให้คล้ายจะเป็นภาพเดียวที่จำติดตา
ครั้งนั้นเสื้อผ้าบริเวณหน้าท้องของมารดาที่เป็นสีฟ้าสดใสแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม จนกระทั่งถ่ายทอดวรยุทธ์และกำลังภายในเสร็จสิ้น พื้นหินในถ้ำนั้นก็กลายเป็นสีแดงฉาน นางจดจำได้แต่เพียงความเจ็บปวด แต่กลับจำไม่ได้ว่ามารดางดงามเพียงใด
ครั้งนี้ก่อนเสี่ยวชุนจะออกเดินทาง เมิ่งถิงเซ่อจึงยอมสลัดคราบหญิงบ้า ลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่ อาภรณ์เครื่องประดับที่ใช้ล้วนเป็นของยอดหญิงแห่งหอคณิกาอย่างหรานเจาเจามอบให้ พอเห็นรอยยิ้มปลาบปลื้มก็ได้แต่ดึงรั้งมากอด แม้นางกับอีกฝ่ายจะใช้เวลาด้วยกันไม่นานนัก แต่น่าประหลาดที่กลับรู้สึกรักรู้สึกสนิทใจกับเด็กสาวคนนี้ยิ่ง