บทที่ ๑ ข้าคือหญิงบ้า(๔)

1833 คำ
หลายปีมานี้แม้เสี่ยวชุนจะคอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆ แต่ยากนักที่จะสามารถดูแลรับใช้เมิ่งถิงเซ่อได้ ท่านตาจึงให้พำนักอยู่เรือนข้างๆ คอยเฝ้าดูแลกันมา จนกระทั่งวันนี้จู่ๆ เสี่ยวชุนก็ออกจากห้องมาแอบดูนาง ต่อไปนี้ไม่ว่าจะดีหรือร้ายเช่นไร เมิ่งถิงเซ่อตัดสินใจแล้วว่าจะดูแลคนผู้นี้เป็นอย่างดี เพราะอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ส่วนเกี่ยวข้องกับมารดา ในเมื่อมารดาเมตตาเด็กคนนี้ถึงขั้นยอมชุบเลี้ยง นางเองย่อมควรทำเช่นนั้นเหมือนกัน จู่ๆ แพขนตาของคนบนเตียงเริ่มขยับ เมิ่งถิงเซ่อที่จับจ้องอยู่ไม่วางจึงรีบรั้งมือมาบีบเบาๆ ท่าทีเช่นนี้ทำเอาหวางสู่ผิงสบตากับท่านผู้เฒ่าหวงซวน คล้ายรับรู้ว่าวันนี้หญิงบ้าอย่างนางเริ่มเป็นผู้เป็นคนมากแล้ว แรกเริ่มที่ลืมตาขึ้นแล้วเห็นคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ สายตาคู่นั้นดูลนลานและตื่นกลัว แต่แรงบีบมือกับรอยยิ้มจางๆ ที่ เมิ่งถิงเซ่อยิ้มให้กลับสามารถสะกดอารมณ์ของเด็กคนนี้ได้ดีนัก “เสี่ยวชุน” เรียกด้วยเสียงนุ่มนวลราวกับเม็ดฝนที่พร่างพรมลงบนผิวน้ำ “ข้าเอง...เมิ่งถิงเซ่อ” ดวงตาที่จ้องมองคนบนเตียงในตอนนี้แดงก่ำโดยไม่ต้องเสแสร้ง คล้ายกับนางซึ่งเป็นวิญญาณจากชาติภพอื่นรับรู้ถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างร่างนี้กับเสี่ยวชุน “จำข้าได้หรือไม่” “คุ...คุณหนู” นับตั้งแต่สูญเสียสติปัญญาเมื่อคราวนั้น กว่าจะพูดออกมาสักประโยคหนึ่งล้วนเป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง บัดนี้พอได้ยินเสียง มิใช่เพียงเมิ่งถิงเซ่อที่รอคอย แต่ท่านผู้เฒ่าหวงซวนกับหวางสู่ผิงล้วนคาดหวังให้พูดมากอีกสักคำหนึ่ง ขอเพียงพูดออกมาก็นับว่าการลงแรงดูแลรักษามาหลายปีนี้ไม่เสียเปล่าแล้ว “คุณหนู” ไม่เพียงยอมเรียกขานแต่ยังร่ำไห้จนตัวสั่นเทิ้ม เมิ่งถิงเซ่อได้ยินเช่นนี้ก็เพิ่งรู้ตัวว่าที่ผ่านมานั้น นางคงเอาแต่กรีดร้องทรมานกับความเจ็บปวดภายใน แม้แต่คนอยู่ข้างกายก็จำไม่ได้เสียแล้ว จึงเอื้อมมือลูบแก้มเปียกน้ำตาของอีกฝ่ายเบาๆ “ข้าไม่เป็นไร ดีขึ้นแล้ว วันหน้าจะพูดกับเจ้าให้มาก ดีหรือไม่” “อื้อ!” “แล้วเจ้า เป็นยังไงบ้าง ข้าทำเจ้าเจ็บหรือไม่” แม้ตรงหน้าท้องหรือช่วงอกจะรู้สึกปวดอยู่บ้าง ทว่ากลับเอาแต่ส่ายหน้า ความเจ็บเพียงเท่านี้แลกกับการที่คุณหนูกลับมามีสติปัญญาเฉกเช่นสิบกว่าปีก่อนนับว่าคุ้มค่ามากแล้ว ต่อให้ตายไปวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่มีเรื่องให้เสียใจ เว้นแต่...พอเหลียวมองไปด้านหลังพลันเม้มปากแน่น เพราะไม่รู้ว่าเรื่องราวที่เก็บเอาไว้สมควรบอกให้ผู้อื่นรู้หรือไม่ เป็นเมิ่งถิงเซ่อแตะหลังมือเบาๆ “ชีวิตของข้า อยู่มาได้จนถึงวันนี้ล้วนเป็นท่านตาหวงซวนกับท่านป้าหวางคอยดูแลทั้งสิ้น เรื่องของข้ามากน้อยเพียงใดพวกเขาย่อมยุ่งเกี่ยวได้ ถ้าหากเจ้ามีสิ่งใดจะพูดก็พูดมาเถิด พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น” แม้จะบ้าๆ บอๆ สติไม่สมประกอบอยู่บ้าง แต่ที่ผ่านมายังจำได้ว่าท่านผู้เฒ่าเคยป้อนยา ท่านป้าหวางก็เคยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหวีผมให้ ในที่สุดจึงล้วงบางอย่างออกจากคอ เส้นด้ายพันเกี่ยวผูกกันเป็นเกลียวคล้ายจะเก่าจนใกล้ขาดแล้ว แต่น่าประหลาดที่หยกขาวมันแพะสลักอักษรเจิ้นยังคงดูล้ำค่า พอแตะโดนหยกพลันสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบแผ่ซ่านตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงกลางฝ่ามือ “นี่คือ...” ไม่ได้มอบให้แค่หยก แต่ยังมีกระดาษแผ่นเล็กซุกซ่อนอยู่ในถุงหอมเก่าๆ ใบหนึ่งด้วย เห็นเช่นนี้นางจึงได้แต่คลี่กระดาษอ่านเนื้อความด้านใน สิ่งที่ปรากฏคือ หยกนี้เป็นเจิ้นหยางโหวมอบให้มารดา เมื่อใดต้องการความช่วยเหลือหรืออยากหวนคืนสู่ฐานะคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นหยางโหวก็ให้นำหยกชิ้นนี้ไปแสดงที่จวนโหวได้เลย เมิ่งถิงเซ่ออ่านแล้วกำกระดาษแผ่นนั้นแน่น “เจิ้นหยางโหว...คือบิดาของข้าหรือ” นางคล้ายจะถามทุกผู้คนที่อยู่ในนี้ จนกระทั่งท่านตาเป็นคนตอบ “ใช่แล้ว” “เหตุใด ท่านพ่อถึงไม่พาข้ากับท่านแม่เข้าไปอยู่ในจวนโหวเล่า ทำไมถึงปล่อยให้พวกเราสองแม่ลูกพำนักอยู่ด้านนอกจนท่านแม่ของข้าต้องตายจากไป” “ครั้งนั้นคงเป็นเพราะฮูหญิงผู้เฒ่าที่บ้านของท่านโหวไม่ยินยอม จึงทำให้เจ้ากับหรูถิงลำบากอยู่ข้างนอก” “เพียงเพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอม ท่านพ่อถึงกับทอดทิ้งข้ากับท่านแม่หรือ” แม้แต่คำเรียกขานว่าท่านย่านางคร้านจะเอ่ยปาก “จำได้ว่า หลังจากถิงเอ๋อคลอดเจ้าได้สองปี บ้านเล็กของเจิ้นหยางโหวก็คลอดคุณหนูน้อยออกมาผู้หนึ่งหลังจากนั้นยังคลอดคุณชายน้อยออกมาอีก เป็นเช่นนี้ถิงเอ๋อคงหมดแรงดิ้นรนพาเจ้าเข้าจวนโหว จึงได้แต่เลี้ยงดูอยู่เรือนโซ่หลิวตรงชายป่าท้อในเขตซีหลิวเพียงลำพัง” แคว้นฉินที่นางมาอยู่อาศัยนี้มีรูปร่างคล้ายใบพัด แบ่งการปกครองเป็นเก้าเมืองใหญ่ มีเทียนหลิวเป็นเมืองหลวง ทั้งสี่ทิศทางมีแม่น้ำล้อมรอบเป็นวงกลม ส่วนเมืองอื่นๆ ก็จะมีหยางหลิว ซีหลิวที่อยู่ทางเหนือสุด ห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้ ส่วนเฉิงหลิว นั่วหลิวนั้นใช้เวลาเดินทางจากเมืองหลวงประมาณห้าเดือนเศษ ใกล้มาหน่อยเป็นเลี่ยหลิวกับตันหลิว ส่วนเมืองที่ติดกับเมืองหลวงเลยคือฮู้ยหลิว และถิงหลิว หอคณิกาอวี้หลิงที่นางอยู่เป็นฝั่งบูรพาของเมืองหลวง กิจการค้าขายในฝั่งนี้รุ่งเรืองคึกคักยิ่ง หนำซ้ำยังเป็นที่ตั้งของจวนขุนนางน้อยใหญ่ ทั้งมีผลงานและไร้ผลงานล้วนตั้งอยู่ทางทิศนี้ทั้งสิ้น นั่นหมายรวมถึงจวนโหวของบิดาเจ้าของร่างนี้ด้วย ส่วนฝั่งตะวันตกได้ยินมาว่าเป็นที่ตั้งของจวนองค์หญิงองค์ชายที่ย้ายไปพำนักนอกวัง ทางทิศหรดีนั้นเป็นที่ตั้งของค่ายทหารกินพื้นที่กว้างขวางมากทีเดียว ผู้อื่นเมื่อรู้ชาติกำเนิดของตนเองควรยิ้มดีใจ หรือไม่ก็ต้องตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดที่รู้ว่าตนสืบสายเลือดเจิ้นหยางโหวผู้ยิ่งใหญ่ ครั้งนั้นบิดากับมารดาของนางต้องใจกันมิใช่เป็นเพราะบิดาเป็นขุนนางที่มีความสามารถหรอกหรือ บัดนี้ เมื่อรู้แล้วภายในใจกลับมีแต่ความฝาดขม การเป็นคุณหนูใหญ่จวนโหวที่ถูกทอดทิ้งไม่น่ายินดีเลยแม้แต่น้อย “คุณหนูเก็บไว้!” นี่เป็นประโยคที่เสี่ยวชุนเอ่ยมาอย่างยากลำบาก แต่เมิ่งถิงเซ่อกลับกดมือเอาไว้ พลางยิ้มเอ่ย “ที่นี่มีสัตว์เลี้ยงหรือไม่” ได้ยินแล้วท่านผู้เฒ่ากับหวางสู่ผิงมองหน้ากัน คล้ายไม่เข้าใจว่าเมิ่งถิงเซ่อถามหาสัตว์เลี้ยงทำไม “หยกนี่ ทำที่ห้อยคอให้สัตว์เลี้ยงสักตัว พวกมันคงดีใจ ท่านตาว่าจริงหรือไม่” คำพูดนี้ล้วนไม่มีใครตอบโต้หรือกล้าเอ่ยปากออกมาสักคำ ทุกคนเอาแต่นิ่งเงียบ แม้แต่ท่านผู้เฒ่าหวงซวนที่มองมายังทำได้เพียงถอนใจแรงๆ แล้วลุกออกจากห้องไป ส่วนหวางสู่ผิงนั้นดวงตาที่ปรายมองสีหน้าด้านข้างของเมิ่งถิงเซ่อคล้ายจะมีความหวังหนึ่งพาดผ่าน อดใจไม่ไหวจนต้องเป็นคนหยิบหยกชิ้นนั้นแล้วยัดใส่มือเมิ่งถิงเซ่อเสียเอง “หยกนี้ ไม่ว่ายังไงก็เป็นเครื่องยืนยันฐานะ ต่อให้บิดาทำผิดต่อคุณหนูกับฮูหยิน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี วันหน้าหากมีโอกาส ล้วนใช้การได้ทั้งนั้น” “ใช้การได้หรือ” “ชื่อเสียง ศักดิ์ฐานะของเจิ้นหยางโหวในเมืองหลวงนี้ นับว่าเป็นขุนนางดีมีความสามารถ มองไปจนทั่วฝั่งบูรพามีตระกูลใดบ้างที่ไม่ข้องเกี่ยวกับตระกูลเจิ้น ยามมีหยกชิ้นนี้แม้จะยืนอยู่หน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ พระองค์ยังต้องทรงไว้หน้าให้ถึงสามส่วน เป็นเช่นนี้คุณหนูยังคิดเอาไปทำเครื่องประดับสวมปลอกคอสัตว์เลี้ยงอีกหรือ” “หยกนี่ มีความสำคัญขนาดนี้เชียว” วราลีในร่างเมิ่งถิงเซ่อได้แต่หลุบตามอง หากนำกลับไปยังภพที่จากมาได้ ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นหยกเก่าล้ำค่าขายได้สักกี่หมื่นกี่แสนกัน ดังนั้นต่อให้ไม่อยากได้ก็ยากจะปล่อยมือ จึงพยักหน้าเชื่อฟัง “ข้าจะเก็บไว้ให้ดี” เห็นเมิ่งถิงเซ่อยอมทำตามอย่างว่าง่าย หวางสู่ผิงพลันรู้สึกโล่งใจ ดังนั้นเวลาที่ออกมาแล้วพบกับท่านผู้เฒ่าหวงซวนจึงปิดประกายตาแห่งความหวังที่ซุกซ่อนเอาไว้ไม่มิด “เจ้าคิดจะทำเช่นใดหรือ” คล้ายกับท่านผู้เฒ่าจะล่วงรู้ถึงใจของทุกผู้คน “ในเมื่อคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นหยางโหวปรากฏตัวแล้ว ท่านไม่คิดว่าควรเป็นไปตามเจตจำนงของสวรรค์หรอกหรือ” “เจ้าคิดให้เซ่อเอ๋อ แต่งกับคนผู้นั้น” “แล้วท่านคิดว่า คุณหนูไม่ควร?” “ข้าช่วยเจ้าไว้ หวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะลืมความแค้น ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่กลับ...” “ฮ่าๆ ท่านผู้เฒ่าไม่รู้หรอก สิบปีมานี้ข้าไม่เคยถอดใจเลยสักครั้ง มิเช่นนั้นหลังจากรู้ฐานะของคุณหนู ข้าคงจากไปนานแล้ว มิใช่ทุ่มเทแรงใจช่วยท่านดูแลคนผู้หนึ่งที่บ้าๆ บอๆ ในเมื่อคุณหนูกลับมาเป็นปกติ เหตุใดข้าต้องล้มเลิกเล่า ในเมื่อนี่คือสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำเพื่อนายหญิงที่น่าสงสารของข้าได้” ได้ยินคำยืนกรานเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าหวงซวนพลันเอาแต่ลูบคางที่มีหนวดสีดอกเลาโผล่พ้นขึ้นมาตำนิ้วเบาๆ พลางมองไปยังท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้หิมะพร่างพรมมาสักระยะแล้วถอนใจทิ้งแรงๆ อย่างรู้ดีว่าต่อให้หวางสู่ผิงไม่วางแผนกระทำการใด หลานศิษย์ของตนผู้นี้ก็ต้องเข้าไปข้องเกี่ยวพัวพันกับเรื่องวุ่นวายในภายภาคหน้าอยู่ดี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม