ขณะกำลังลบสีสันบนปาก ผู้หลบเร้นอยู่ตรงขื่อคานยังเฝ้าสังเกตตาไม่กะพริบ
ไม่นานนักเมิ่งถิงเซ่อพลันรู้สึกว่าด้านหลังถูกสะกิด จึงหันไปมองก่อนจะหรี่ตาดูอาภรณ์สีชมพูอ่อนปักลายดอกอวี้หลิงสีขาวที่สาวใช้หอบหิ้วไว้กับอก
“เจ้าจะให้ข้าสวมชุดนี้?”
เสี่ยวชุนพยักหน้า ในดวงตาทั้งสองข้างยังคงแฝงแววรอคอยเช่นเดิม หนำซ้ำยังรั้งนางให้ลุกขึ้นจากตั่งตัวเล็กแล้วพยายามถอดชุดที่หรานเจาเจามอบให้
“ช้าๆ หน่อย” หักห้ามเสียงเบาเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะดึงอาภรณ์จนแทบฉีกขาด “ค่อยๆ ถอด รู้หรือไม่”
“อื้อ!”
“เด็กดี” เมื่อทำได้ เมิ่งถิงเซ่อย่อมไม่หวงคำชมเอาไว้ หนำซ้ำยังช่วยเสี่ยวชุนถอดอาภรณ์ที่สวมอยู่ให้เนื้อผ้าบางเบาค่อยๆ ร่วงหลุดออกจากร่าง กระทั่งเหลือเพียงเอี๊ยมตัวในสีขาวที่ปิดบังความเย้ายวนของร่างนี้เอาไว้ไม่มิด
ถ้าหากวรยุทธ์ของเมิ่งถิงเซ่อแกร่งกล้า คงได้ยินเสียงสูดหายใจของใครบางคน มิใช่ยังคงยิ้มแย้มกางแขนให้เสี่ยวชุนสวมชุดใหม่ให้โดยไม่รู้อะไรเช่นนี้
“คราวนี้เล่า งามหรือไม่”
“งามเจ้าค่ะ”
พออีกฝ่ายพูดได้มากคำ หัวตาของเมิ่งถึงเซ่อพลันคลอหน่วยด้วยไอน้ำอุ่นร้อน
หลังจากนั้นไม่ว่าจะให้นางถอดอาภรณ์กี่ชิ้น เปลี่ยนชุดกี่หนล้วนยินยอมทำตาม จนกระทั่งมีใครบางคนพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางตื่นตระหนก จึงทำให้สองนายบ่าวมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เพราะก่อนหน้านี้ได้ยินว่าแม่เล้าฟู่จะมาเยี่ยมดูอาการของเมิ่งถิงเซ่อ หวางสู่ผิงจึงรีบเร่งฝีเท้ามาดูด้วยความรีบร้อน พอเห็นเงาร่างบอบบางของเมิ่งถิงเซ่อที่อยู่ในอาภรณ์เนื้อโปร่งบางเช่นนี้พลันเบิกตากว้าง หลังเห็นขี้เถ้าจึงรีบลากคุณหนูที่ลุกขึ้นมาแต่งตัวเสียงดงามไปยังข้างอ่างไฟ
โดยไม่มีใครคาดคิด ขี้เถ้าสีเทาขุ่นพลันถูกหวางสู่ผิงละเลงใส่ตามเนื้อตัวของเมิ่งถิงเซ่อ กระทั่งเส้นผมยังถูกย้อมจนขาวหม่นไปหมด ไม่มีส่วนใดของร่างกายที่เปิดเผยถึงความงดงามอีกนั่นแหละถึงได้พยักหน้าด้วยความโล่งใจ
การกระทำนี้อย่าว่าแต่เมิ่งถิงเซ่อที่ตกใจเลย แม้แต่คนซ่อนตัวอยู่ยังคาดไม่ถึง
ทว่าหลังเก็บกวาดอ่างไฟกับขี้เถ้าที่เปื้อนพื้นเรือนเรียบร้อย พลันแว่วเสียงหวานแหลมของคนผู้หนึ่งตรงมายังเรือนชิงเถา ถึงแม้ยามนี้หวางสู่ผิงไม่เอ่ยอันใด เมิ่งถิงเซ่อก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
จึงหันไปบีบมือสาวใช้คนสนิท ปากเอ่ยว่า “ข้าไม่งาม ข้าน่าเกลียด รู้หรือไม่”
เสี่ยวชุนพยักหน้า ราวกับรู้ว่าถ้าหากผู้อื่นเห็นคุณหนูของตนงดงามย่อมเป็นภัยร้ายแรง ตอนนี้จึงเอาแต่หัวเราะฮ่าๆ กระโดดโลดเต้นอยู่ภายในเรือน บางทีหยิบโน่นหยิบนี่ โดยเฉพาะอาภรณ์ที่เมิ่งถิงเซ่อเพิ่งสวมใส่ ถูกเสี่ยวชุนย่ำเสียจนฉีกขาดหมดแล้ว
เพียงชั่วกะพริบตา เยว่หมิงเซียนก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสตรีที่มีรูปร่างบอบบางดุจกิ่งหลิวผู้นั้น
ยามนี้นางหยิบชาดสีแดงมาป้ายตรงขอบตาและริมฝีปาก เปลี่ยนริมฝีปากบางเล็กงดงามดั่งดอกท้อให้กลายเป็นผลท้อขนาดใหญ่ ทั้งกว้าง และหนายิ่ง ถ่านสีดำที่ควรเขียนคิ้วให้บางสวยโค้งงอนราวกับคันศรกลับปาดซ้ำไปซ้ำมาจนเฉียงและกว้าง แม้แต่เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างนางนอกจากเปื้อนขี้เถ้าแล้ว ยังถูกราดด้วยของบางสิ่งที่กลิ่นมันไม่น่าดอมดมเลยสักนิด ก่อนหน้าเขาเคยใช้กำลังภายในสกัดกั้นกลิ่นดอกอวี้หลิง ยามนี้กลับต้องทำซ้ำอีกรอบเพราะไม่อยากสูดดมกลิ่นเหม็นจากร่างของสตรีผู้นั้น
“นี่คือ...”
“ฉี่ของข้า”
เมิ่งถิงเซ่อบอกอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทำเอาหวางสู่ผิงอ้าปากค้างแล้วคิดว่าการที่ตนเทขี้เถ้าราดหัวของคุณหนูในก่อนหน้านี้ดูแล้วไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย เพราะสภาพของคุณหนูอย่าเรียกว่าเริ่มดีขึ้นเลย เรียกว่าห่างไกลจากความปกติคงถูกต้องมากกว่า
ทันทีที่คนงามอยู่ในสภาพดูไม่ได้ ประตูเรือนหลังเล็กก็ถูกเปิด ตามด้วยเสียงนุ่มหวานราวกับน้ำผึ้งป่าของแม่เล้านามฟู่หว่าเย่าดังเข้ามา
“เซ่อเอ๋อ เซ่อเอ๋อแม่มาเยี่ยมเจ้า”
แม่เล้ามักแทนตนเองเช่นนี้ นางเป็นแม่ของสตรีงดงามในหออวี้หลิงทุกคน แม้กระทั่งเมิ่งถิงเซ่อที่บ้าๆ บอๆ ก็ไม่ได้รับการยกเว้น
“แม่ได้ยินว่า...” ยังไม่ทันเอ่ยปากไปมากกว่านี้ กลิ่นเหม็นหืนที่พวยพุ่งเข้ามาจนรู้สึกว่าลำคอฝาดขมทำเอาฟู่หว่าเย่าต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอ ก่อนจะหันไปคว้าเอาหวางสู่ผิงมากระซิบถามใกล้ๆ “ข้าได้ยินมาว่า นางดีขึ้นแล้วมิใช่หรือ”
หวางสู่ผิงแสร้งเช็ดขอบตาแรงๆ จนแดงก่ำ “พี่ฟู่ก็รู้ ต่อให้ท่านผู้เฒ่าทุ่มเทดูแลเด็กคนนี้มากเพียงใด ก็ยากจะทำให้หายเป็นปกติ”
“ก็หลายวันก่อน เจ้ามิใช่ว่าไปขอเครื่องประทินโฉมมาให้นางหรอกหรือ”
“พี่ฟู่ก็ดูเอาเถิด” หวางสู่ผิงส่งสายตาให้ฟู่หว่าเย่ามองสภาพเละเทะบนใบหน้าของเมิ่งถิงเซ่อ “ก็แต่งแต้มเสียจนเป็นเช่นนี้”
เห็นเมิ่งถิงเซ่อในสภาพน่าเอน็จอนาจ คนเห็นเค้าความงามตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็ได้แต่นึกเสียดาย แต่ถึงอย่างไรย่อมไม่ยอมถอดใจเสียทีเดียว ยามนี้จึงเดินไปรั้งมือข้างหนึ่งของเมิ่งถิงเซ่อมาบีบเบาๆ
“เซ่อเอ๋อ เจ้าต้องหายเร็วๆ รู้หรือไม่ เมื่อเจ้าหายป่วยแล้วนับว่าการทุ่มเทของท่านผู้เฒ่าหวงซวนไม่เสียเปล่า เจ้าต้องรีบดีขึ้น นั่นถือเป็นความกตัญญู”
ครั้นเมิ่งถิงเซ่อไม่ตอบอะไรก็ได้แต่เบือนหน้าหนี ก่อนจะหันไปมองร่างบอบบางของคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าอ่างใบเล็ก
“นั่นเสี่ยวชุนหรือ”
หวางสู่ผิงพยักหน้า แววตาที่มองเงาร่างของแม่เล้าฟู่ในยามเดินไปหาเสี่ยวชุนเป็นกังวลไม่น้อย แต่พอเห็นเสี่ยวชุนหยิบเอาถ้วยชาใบหนึ่งไปตักน้ำในอ่างก็ได้แต่ยิ้มโล่งใจ
“เสี่ยวชุน เป็นเช่นใดบ้าง เจ้าดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่” ยามถามเช่นนี้น้ำเสียงของแม่เล้าอ่อนโยนเป็นพิเศษ
เสี่ยวชุนหันมายิ้มให้ แววตาสีหน้าสดใสยิ่ง แต่สิ่งที่ยื่นมาตรงหน้าแม่เล้าทำเอาทุกคนหยุดหายใจ
“แม่...ดื่มชา” สิ่งที่พูดออกมาในครานี้ชัดถ้อยชัดคำเป็นอย่างยิ่ง
“นี่คือ...น้ำชา?” ฟู่หว่าเย่าถึงกับต้องชะโงกหน้ามองและกลิ่นเหม็นที่พวยพุ่งแตะจมูกทำเอาต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้
“นี่มัน...”
“น้ำชา” บอกอีกรอบ และคราวนี้ทำเอาแม่เล้าฟู่ต้องรีบเร่งฝีเท้าออกจากเรือนชิงเถาไป ราวกับกลัวว่าจะมีใครบังคับให้ดื่มน้ำชาของเสี่ยวชุนอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าน้ำชาที่ยื่นให้แม่เล้าฟู่ ย่อมเป็นน้ำชนิดเดียวกันกับที่เมิ่งถิงเซ่อราดรดตัว
พอเห็นสองนายบ่าวแห่งเรือนชิงเถาเป็นเช่นนี้ แววตาสีหน้าของคนซ่อนตัวอยู่พลันล้ำลึกขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าความรู้สึกก่อนหน้าที่คิดว่าตนต้องแต่งสตรีบ้าเป็นภรรยาเอกย่อมต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
นับตั้งแต่กลับจากเรือนชิงเถา
ใบไผ่ปลิดปลิวไปมาราวกับมีพายุขุมหนึ่งพัดวน
ตรงกลางลานฝึกด้านหน้าศาลาหมื่นทรมานนั้น มือข้างหนึ่งของเยว่หมิงเซียนจับกระบี่ ฟาดฝันใบไผ่เพียงครั้ง ใบไผ่นับร้อยพลันขาดเป็นสองส่วน แรกเริ่มวั่งจื่อโม่ไม่รู้สึกอะไร เพียงคิดว่าคุณชายหมั่นเพียรฝึกยุทธ์เช่นนี้ งานใหญ่ที่วางไว้อีกไม่นานคงสัมฤทธิผล ทว่าหลังผ่านไปสามชั่วยามภายในใจลึกๆ ของวั่งจื่อโม่เริ่มไม่ดีเสียแล้ว
“นายน้อย” ในที่สุดก็ต้องใช้กำลังภายในสื่อสารกับอีกฝ่าย
“ท่านฝึกมานานแล้ว ทำเช่นนี้ไม่ดีต่อร่างกาย ถ้ายังไงพักสักครู่ก่อนเถิด”
น่าเสียดายไม่ว่าวั่งจื่อโม่จะพยายามหว่านล้อมมากเพียงใดก็หาทำให้เยว่หมิงเซียนหยุดมือที่กำลังฟาดฟันกระบี่ไม่ แต่ละครั้งล้วนแล้วแต่แม่นยำและใช้พละกำลังไม่น้อย
จนผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เยว่หมิงเซียนจึงวางมือพร้อมกับพลิ้วกายมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนสนิท แม้ใบหน้าและร่างกายจะมีเหงื่อไหลออกมาทั้งๆ ที่บรรยากาศยังหนาวเย็น ทว่าลมหายใจกลับสงบนัก
ยืนสูดหายใจลึกยาวอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยิ่ง “หมิงเซียนตกลง” นั่นคือคำที่เยว่หมิงเซียนให้ วั่งจื่อโม่ไปบอกท่านปู่เยว่หมิงเหอ
ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ภายภาคหน้าย่อมต้องขบคิดและวางแผนให้ดี