เรือนช่างอิ่น
เรือนที่ซ่อนเร้นบางสิ่งบางอย่างรวมถึงอิสรภาพเอาไว้
ความหมายของเรือนช่างอิ่นนี้คล้ายคลึงกับเจ้าของเรือนมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะฐานะของเยว่หมิงเซียนผู้นี้นับได้ว่าแตกต่างจากคำเล่าลือในหมู่ชาวบ้านยิ่งนัก
แน่นอนว่าเจ้าของเรือนหาได้สนใจคำเล่าลือเหล่านั้นไม่ นับตั้งแต่จำความได้มิใช่สนใจเพียงการฝึกยุทธ์ เรียนรู้ศาสตร์และศิลปะทุกแขนงหรอกหรือ นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้คงเป็นการร่ำเรียนในบางสิ่งที่ไม่อาจปล่อยให้รู้ไปถึงหูผู้อื่น
ทว่ายามนี้คุณชายเยว่ที่ใครๆ ต่างบอกว่าอ่อนเปลี้ยเสียขา เป็นสิบสี่โรคร้ายใกล้ตายกลับต้องสนใจความเคลื่อนไหวของสตรีผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นเป็นเพราะเยว่หมิงเซียนไม่เคยขัดความต้องการของคนเป็นปู่เลยสักครั้ง
ตั้งแต่ถือกำเนิด คนผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดคือ ท่านปู่เยว่หมิงเหอ ดังนั้นต่อให้ต้องแต่งงานกับสตรีบ้าใบ้ สติปัญญาบางเบายิ่งกว่าทารกแรกคลอด ต้องรับนางมาเป็นภรรยาเอกก็หาคิดทักท้วงไม่ หลังแต่งสตรีผู้นั้นเข้ามาในเรือนเขาย่อมดูแลนางเป็นอย่างดี ให้นางเป็นสตรีบ้านอนบนกองเงินกองทอง หรือแม้แต่บนแพรพรรณล้ำค่า รวมถึงนางอยากจะนอนอยู่ในดงป่าไผ่เขาพร้อมสนับสนุนทั้งสิ้น ขอแค่เพียงทั้งชีวิตนี้นางอยู่ส่วนนาง เขาอยู่ส่วนเขา มีความเกี่ยวพันกันเพียงฐานะคู่ครองเท่านั้น แน่นอนว่าฮูหยินที่เป็นบ้าย่อมไม่อาจกระทำการสิ่งใด นอกเหนือจากการพำนักอยู่ในเรือนไปเงียบๆ ตลอดชีวิต
ความคิดของเยว่หมิงเซียนหยุดลง เมื่อด้านข้างมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวพร้อมเอ่ยปากรายงาน “ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อยแล้ว บ่าวจะนำทางไปพบกับคุณหนูใหญ่”
คิ้วตาของเยว่หมิงเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย และนั่นทำให้วั่งจื่อโม่รู้ว่า ต่อให้ตนสามารถติดตามไปยังหอคณิกาอวี้หลิงได้ แต่ก็ไม่อาจเปิดเผยตัวให้ผู้อื่นเห็น
“ไปเถิด”
น้ำเสียงราบเรียบของเยว่หมิงเซียนดังเพียงเท่านั้น ชั่วกะพริบตาภายในเรือนช่างอิ่นก็ไม่ปรากฏเงาของทั้งสองนายบ่าวอีก มองตามไปเห็นเพียงเส้นสายสีดำพุ่งออกไปทางทิศตะวันตกของจวนตระกูลเยว่เท่านั้น
สายลมหนาวพัดผ่าน ความเย็นฉ่ำยังปกคลุมไปทั่วแคว้นฉิน
เพียงเข้าเขตถนนบูรพาเหนือ กลิ่นดอกอวี้หลิงพลันหอมกำจาย
เพราะกลิ่นหอมเย้ายวนใจรุนแรงนี้ทำให้บุรุษหนุ่มผู้สวมอาภรณ์สีดำปักลายไผ่ตรงชายชุดด้วยเส้นด้ายสีเดียวกัน มองดีๆ คล้ายมีลวดลายและไม่มีลวดลาย เจ้าของอาภรณ์เรียบง่ายกำลังมุ่นหัวคิ้วอย่างไม่ชอบใจ หลังจากนั้นเจ้าตัวจึงเดินกำลังภายในสกัดกั้นกลิ่นชวนซาบซ่านเอาไว้ หนำซ้ำแทนที่จะยอมปรากฏตัวตรงหน้าเรือนสามชั้นหลังใหญ่เพื่อให้บรรดาสาวงามแห่งหอคณิกาชื่นชม
คนผู้นี้กลับแฝงตัวอย่างเงียบเชียบมุ่งตรงสู่บริเวณด้านท้ายของที่ตั้งหอคณิกาในทันที
เบื้องหน้ามีเพียงแสงโคมไฟไม่กี่ดวงสาดส่อง จึงทำให้เยว่หมิงเซียนสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวยิ่งกว่าเดิม
สถานที่อย่างเรือนหลัง เงียบเชียบ วังเวง มีเพียงต้นท้อต้นหนึ่งยืนหยัดท่ามกลางลมฤดูเหมันต์พัดผ่าน
ทว่ากลิ่นดอกอวี้หลิงหาได้ขจรขจายมาถึงแห่งนี้ไม่
มองไปจนถ้วนทั่วจึงรู้ว่าที่กลิ่นหอมของดอกอวี้หลิงปลิดปลิวมาไม่ถึงคงเป็นเพราะบริเวณแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแปลงสมุนไพรล้ำค่า
ในเมื่อสถานที่แห่งนี้ล้วนเป็นเรือนเล็กคับแคบ ต้นไม้ใบหญ้าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หาได้เติบโตสูงเหนือเข่าไม่ การหลบเร้นหนีห่างจากสายตาของผู้อื่นด้วยการแอบซ่อนอยู่ตามผืนดินผืนหญ้าคงเป็นไปไม่ได้
ส่วนต้นไม้ต้นเดียวนั้นยามนี้ดอกท้อกำลังผลิบานงดงาม ทุกผู้คนในเรือนหลังแห่งนี้มิใช่ว่าชอบชื่นชมความงามของดอกท้อหรอกหรือ ดังนั้นหากจะหลบอยู่บนต้นท้อนับว่าเป็นการหาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ คงมีแห่งเดียวที่สามารถหลบเร้นจากผู้อื่นได้
ดวงตาดำเข้มล้ำลึกราวกับบ่อน้ำไร้ก้นบึ้งกวาดไปจนทั่ว จากสิ่งที่จื่อโม่รายงานมามิใช่ว่าเรือนหลังสุดท้ายนั้นเป็นที่พำนักของสตรีบ้าหรอกหรือ พอเห็นเป้าหมาย เยว่หมิงเซียนจึงแตะปลายเท้าครั้งหนึ่งก็สามารถแฝงเร้นเข้าไปเกาะขื่อคานด้านในอย่างง่ายดาย ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเงียบงันเป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่เรือนชิงเถาไม่ได้จุดเทียนให้สว่างไสวมากนัก อ่างไฟที่เคยวางไว้ก็ถูกยกออกไปแล้ว
ภายในเรือนเงียบเชียบและโปร่งโล่ง เครื่องเรือนที่เห็นมีไม่ถึงห้าชิ้นด้วยซ้ำ
หลังจากกวาดสายตามองคราหนึ่ง หัวคิ้วของเยว่หมิงเซียนพลันขมวดมุ่น เพราะสิ่งที่เขาปรารถนาจะเห็นก็คือคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นหยางโหวที่สติไม่ดี บ้าใบ้ ผอมแห้งเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก
ทว่าสิ่งที่ปรากฏต่อสายตากลับเป็นสาวงามนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สดใส พินิจมองให้แน่ชัดจึงจำได้ว่าเป็นชุดแบบหญิงคณิกาในหออวี้หลิงสวมใส่ เห็นสตรีที่สามารถสวมอาภรณ์เนื้อบางยืนอยู่ท่ามกลางห้องไม่นับว่าอบอุ่นอะไร ความเย็นยังแผ่ซ่านเข้ามาด้านในเช่นนี้ เยว่หมิงเซียนพลันถูกความสงสัยจู่โจม แต่กระนั้นก็ยังเก็บรวบรวมกำลังภายในเอาไว้ ทำตัวเฉกเช่นท่อนไม้ไผ่
ด้านข้างของนางมีสตรีร่างเล็กที่ทำอะไรได้ไม่คล่องมือ ทว่าเจ้าของร่างบอบบางดุจกิ่งหลิวหาได้รู้สึกขุ่นเคืองไม่ กลับเอาแต่มองหญิงผู้นั้นด้วยแววตาอ่อนโยน
“คุณหนู” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของเสี่ยวชุนชัดเจนยิ่ง
“งามเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“ขอเพียงเจ้าชอบ ข้าตั้งใจแต่งกายในคราวนี้นับว่าไม่เสียเปล่าแล้ว”
พอเดินวนรอบคุณหนูไปครั้งหนึ่ง กลับเอาแต่เอียงหน้าเอียงคอไปมา
“ทำไมหรือ” เมิ่งถิงเซ่อถามแล้วหยิบเอาผ้าผืนเล็กมาเช็ดชาดสีแดงบนพวงแก้มและปากให้ซีดลง นางไม่ชอบสีสันจัดจ้านเช่นนี้เพราะทำให้นึกถึงตนเมื่อครั้งเคยแสดงเป็นนางร้ายในละคร ก็ไม่เพราะมักสวมบทบาทนางร้ายหรอกหรือจึงต้องพลัดหลงมาอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้