ทุกวันฝึกยุทธ์ เรียนศาสตร์ศิลป์ทุกแขนง ร่างกายของ เยว่หมิงเซียนมีวันใดบ้างไม่บาดเจ็บ มีวันใดบ้างที่ไร้เลือด
ในเมื่ออาการไม่ดีก็ส่งข่าวออกไป ให้คนเล่าลือกันจนทั่วแคว้นฉิน
ป่วยสิบสี่โรคร้ายเคยเป็นจริง แต่รักษาหาย
เคยอ่อนเปลี้ยจริง ล้วนเกิดจากการฝึกยุทธ์จนล้มหมอนหนอนเสื่อ
เคยเดินไม่ได้ นั่นเป็นเพราะต้นขาถูกลำไผ่จ้วงแทงจนเนื้อฉีก เนื้อตัวใต้ร่มผ้ามีร่องรอยแผลเป็นทั้งนั้น
ทว่าคนที่อยู่ในคำเล่าลือของชาวบ้านกำลังเคลื่อนไหวดั่งม่านหมอกหลบเร้นหลีกหนีปลายไผ่แหลมคม ซึ่งทุกลำพุ่งไปยังจุดตายของร่างกายทั้งสิ้น
เพียงชั่วหนึ่งก้านธูปบนลานกว้างเบื้องหน้ากลับพบเห็นเพียงลำไม้ไผ่หล่นกองจนท่วมหัว แหงนเงยขึ้นมองด้านบนจึงเห็นว่ามีคุณชายรูปงามในชุดสีดำเข้มยืนอยู่บนยอดปลายไผ่ แม้ไผ่ต้นนี้จะเล็กไปสักหน่อยแต่กลับไม่มีความเอนไหวเลย พอมองให้ชัดๆ จึงเห็นว่าคุณชายผู้นั้นทอดสายตาลงมองเบื้องล่างด้วยท่าทีสงบนิ่ง จนกระทั่งแม่ทัพผู้เฒ่าเอ่ยปากเรียกจึงพลิ้วกายลงมานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จิบชายอดไผ่หวานเพียงคำหนึ่ง
คิ้วคมคายหล่อเหลาเหนือสามัญ ท่วงท่ายามเยื้องย่างหรือแม้แต่นั่งนิ่งๆ จิบชาก็ยังงดงามสูงศักดิ์ ทว่าน่าเสียดายที่ใบหน้านี้กลับไร้เสียงหัวเราะมานานนับยี่สิบปี
กวาดตามองซ้ำอีกครั้งจึงทำให้รูปลักษณ์ของ เยว่หมิงเซียนผู้นี้ไม่น่าเข้าใกล้ เยือกเย็นดั่งวารีลุ่มลึก อารมณ์นิ่งสงบแต่กลับคล้ายมีมวลน้ำขนาดใหญ่เคลื่อนไหว คนผู้นี้พร้อมผลาญเผาทุกอย่างโดยไม่กะพริบตา
เพียงคุณชายเยว่นั่งจิบชา เหล่าชายฉกรรจ์อายุมากเหล่านั้นก็หายไป ทิ้งไว้เพียงลำไผ่แหลมคมกองหนึ่ง
ทว่าหลังจิบน้ำชาไปเพียงคำเดียว แววตาคล้ายจะล้ำลึกขึ้น แม้แต่ท่านแม่ทัพผู้เฒ่าก็ยังยกมุมปาก ก่อนจะสบตากับหลานชายด้วยท่าทีสงบ
ตรงทิวไผ่ไกลๆ ด้านทิศตะวันตกกลับมีความเคลื่อนไหว และดูเหมือนผู้บุกรุกคล้ายจะตรงดิ่งมายังลานฝึกแห่งนี้
ทั้งเชี่ยวชาญวรยุทธ์และชำนาญพื้นที่
หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งถ้วยชา เยว่หมิงเซียนพลันส่งจอกถ้วยน้ำชาในมือออกไป
ถ้วยชาใบเล็กทำจากหยกขาวมันแพะพุ่งตรงไปยังทิศทางที่มีความเคลื่อนไหว ทั้งตรงดิ่ง แน่วแน่ และรู้จักพลิกแพลง คล้ายกับว่ามีคนผู้หนึ่งจับถ้วยชาใบนั้นไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
ตรงทิศทางนั้นไร้เสียง ไม่มีการต่อสู้
พริบตาเดียวใบไผ่นับร้อยใบพลันปลิดปลิว ก่อนบุรุษอายุราวสามสิบปีจะคุกเข่าลง มือข้างหนึ่งยื่นจอกถ้วยชามาตรงหน้า มองเข้าไปแล้วน้ำชาที่เหลืออยู่เกือบครึ่งก็ยังคงมีอยู่เท่าเดิม
“คารวะนายน้อย คารวะท่านผู้เฒ่า”
เยว่หมิงเซียนรับถ้วยน้ำชาของตนแล้วแกว่งไปมา ร่องรอยระดับน้ำชากระเพื่อมไหวแต่กลับไม่หกรดหลังมือ
“น้ำชายังดี”
น้ำเสียงราบเรียบก็จริง แต่กลับแฝงแววพอใจถึงสามส่วน
“ฝีมือเจ้านับว่าเยี่ยมนัก”
“นายน้อยชมเกินไปแล้ว” วั่งจื่อโม่ในวันนี้อายุย่างเข้าสามสิบปีเต็ม หลังเยว่หมิงเซียนถือกำเนิดเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม วั่งจื่อโม่ซึ่งอายุไม่ถึงสี่ขวบดีก็ถูกส่งมาอยู่ข้างกาย
คุณชายเยว่เจ็บ วั่งจื่อโม่เจ็บกว่าสิบเท่า คุณชายเยว่ล้มป่วย วั่งจื่อโม่ต้องคอยเฝ้าอยู่ข้างกายตลอดเวลา คุณชายเยว่ฝึกยุทธ์ วั่งจื่อโม่ก็ต้องฝึกอย่างเข้มงวดเช่นกัน ดังนั้นความรักใคร่ผูกพันของสองคนนี้ย่อมเหนือกว่านายบ่าวทั่วไปอยู่มาก เพราะผู้หนึ่งสามารถตายแทนผู้หนึ่งได้โดยไม่ต้องคิดใคร่ครวญ และแน่นอนว่าถ้าหากมีผู้ใดคิดปองร้ายคุณชายเยว่ ผลลัพธ์ของคนคนนั้นย่อมไม่น่าดู
หลังคุณชายโบกมือ วั่งจื่อโม่ขยับตัวมายืนด้านข้าง สีหน้าท่าทางนิ่งสงบ ทำตัวเหมือนยังอยู่ ขณะเดียวกันก็ไม่อยู่
เยว่หมิงเซียนหันมาสนใจชายอดไผ่อีกครั้ง กระทั่งได้ยินท่านปู่เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง น้ำชาในมือจึงยากที่จะจิบลงคอได้อีก
“สตรีผู้นั้นปรากฏตัวแล้ว?” แค่เห็นสีหน้าของท่านปู่ เยว่หมิงเซียนก็รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ตามหามาหลายปี ในที่สุดก็ได้ข่าวคราวหลานสะใภ้”
ฟังคำพูดนี้สีหน้าแววตาของเยว่หมิงเซียนกลับไม่อาจสงบนิ่งได้อีก ข่าวคราวเรื่องการส่งแม่สื่อขอสตรีในห้องหับมาเป็นคู่ครองของเขา มิใช่เป็นเพราะเบื้องลึกเบื้องหลังยังซ่อนอะไรบางอย่างไว้หรอกหรือ ดูท่าทางผ่านมาหลายปีแล้วแต่ความตั้งใจของท่านปู่ก็หาได้ถดถอยลงไม่ แน่ล่ะ คำสัญญาระหว่างสองตระกูลจะสามารถลืมเลือนง่ายดายได้เช่นไร
“ดูท่าท่านปู่ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ”
“ที่ปู่ทำเช่นนี้ มิใช่เพราะหลานรักหรอกหรือ”
คำว่าหลานรักในวันนี้สร้างความรู้สึกประหลาดให้กับ เยว่หมิงเซียนยิ่งนัก แต่ในเมื่อท่านปู่อุตส่าห์รักษาคำสัญญาและซุ่มวางแผนเรื่องหลานสะใภ้มาช้านาน ต่อให้เขาไม่คิดแต่งสตรีผู้นั้นเข้าจวนก็หาทำได้ไม่
“ในเมื่อท่านปู่อยากได้นางเป็นหลานสะใภ้นัก หลานก็จะไปดูสักครั้ง”
จู่ๆ ได้ยินหลานชายตกปากรับคำง่ายดายเช่นนี้ คิ้วตาของอดีตท่านแม่ทัพแห่งชายแดนตะวันออกถึงกับหรี่ลง ทว่าเพียงสัมผัสถึงความตั้งใจของหลานชาย เยว่หมิงเหอก็ได้แต่เอ่ยคำว่าดีติดกันสามคำ
หลังจากนั้นแหงนหน้าหัวเราะฮ่าๆ หมุนกายกลับไปพำนักยังเรือนช่างหลิวของตน ทิ้งให้ศาลาหมื่นทรมานแห่งนี้เหลือเพียงหลานรักกับคนข้างกายเท่านั้น
หลังท่านผู้เฒ่าเยว่จากไปแล้ว วั่งจื่อโม่จึงเอ่ยถาม
“นายน้อยจะไปพบแม่นางเจิ้นจริงหรือ”
“แน่นอนว่าต้องพบสักครั้ง”
“ทว่าบัดนี้คุณหนูใหญ่ เจิ้นหว่านรั่วหาได้หวนคืนสู่จวนเจิ้นหยางโหวไม่ ข่าวที่เราได้มามิใช่ว่ายังอยู่ในหอคณิกาอวี้หลิง เป็นเช่นนี้จะ...”
สีหน้าของเยว่หมิงเซียนสงบนิ่งยิ่ง แต่ในแววตากลับมีประกายบางอย่างกระเพื่อมไหว
“ถ้าเช่นนั้น เราก็ไปหอคณิกากันเถิด สาวงามแห่งอวี้หลิงนับว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินมิใช่หรือ”
วั่งจื่อโม่คิดอ้าปากทักท้วง แต่จนใจที่เพียงเอ่ยจบ นายน้อยก็พลิ้วกายขึ้นไปบนยอดไผ่ เยื้องย่างตรงไปยังเรือนพำนักอย่างเรือนช่างอิ่น ท่าทางการย่างเท้านั้นมิต่างจากการเดินอยู่บนพื้นดินราบเรียบ