ตอนที่ 2 หล่อจนวัวตายควายล้ม
วายุพยายามเหยียบคันเร่งเพื่อตามให้ทันรถจักรยานยนต์สกูปปี้คันสีแดง แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถขับตามได้ทัน เนื่องจากฝุ่นดินแดงเป็นอุปสรรคต่อการขับรถ เขาจึงชะลอความเร็วเพื่อรอให้ฝุ่นเบาบางลง
“โธ่เอ้ยเด็กบ้า อย่าให้เจออีกนะ ถ้าเจอจะโขกหัวหนักๆเลยคอยดู”
“หายไปไหนมาแพรว ทำไมถึงไม่ไปช่วยยายเพ็ญหักข้าวโพด ไหนบอกว่าอยากได้โทรศัพท์มือถือไง ถ้าอยากได้ก็ต้องไปช่วยยายทำงานไม่ใช่ไปเที่ยวเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา”
จิรภัทร ในวัย 23 ปี ต่อว่าหลานสาวของเขาที่เอาแต่เที่ยวไม่สนใจงานบ้านงานเรือนงานไร่เอาเสียเลย
“แพรวไปหัดขับรถกับแตงกวาน่ะ เดี๋ยวแพรวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะไปช่วยยายเพ็ญหักข้าวโพด”
“แล้วนั่นไปโดนอะไรมา ทำไมหัวเข่าถึงมีเลือดซึมออกมาแบบนั้น”
จิรภัทรมองดูหลานสาวที่เนื้อตัวมอมแมมและมีแผลถลอกที่หัวเข่าทั้งสองข้าง
“รถล้มน่ะ ขับตกหลุม แพรวไปแล้วนะ”
“อืม”
แพรวพราวเลือกที่จะโกหกเนื่องจากเธอไม่อยากให้น้าชายของเธอรู้ว่าเธอขับรถไปชนรถยนต์คันหนึ่ง เด็กหญิงใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่ถึงสิบนาทีก็เดินตรงเข้าไปในไร่ข้าวโพดที่อยู่ห่างจากหลังบ้านออกไปประมาณสองร้อยเมตร
“ลุงครับ บ้านโคกหัวควายไปทางไหนครับ”
วายุจอดรถแล้วเดินลงไปถามกลุ่มคนงานสูงวัยที่กำลังถอนมันสำปะหลัง
“ขับตรงไปอีกสี่เมตร แล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอหมู่บ้านทันที แล้วเอ็งจะไปหาใครล่ะพ่อหนุ่ม”
“ผมมาหาเพื่อนครับ เพื่อนชื่อจิรภัทร ชื่อเล่นชื่อภัทรครับ”
“อ๋อ เจ้าภัทรลูกป้าเพ็ญสินะ พอเจอป้ายหมู่บ้านขับรถไปประมาณห้าหลังจะเจอบ้านทรงไทยหลังใหญ่ บ้านหลังนั้นแหละเป็นบ้านของเจ้าภัทร”
“ขอบคุณมากนะลุง ผมไปนะครับ สวัสดีครับ”
วายุไหว้ขอบคุณ
“โชคดีพ่อหนุ่ม”
วายุขับรถไปตามเส้นทางที่ชายสูงวัยบอก และเขาก็ได้เจอบ้านเป้าหมายตามที่คุณลุงท่านนั้นบอกมา
รถยนต์ฮอนด้าซีวิคหยุดจอดบริเวณหน้าบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ ร่างสูงสมส่วนตามมาตรฐานของชายไทยในชุดกางเกงยีนส์สีสนิม เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีขาว ขายาวก้าวลงจากรถชะเง้อมองหาเจ้าของบ้าน
“อ้าวไอ้ยุ ทำไมถึงมาช้านักวะ นึกว่าหลงทาง โทรไปก็ไม่ติด”
จิรภัทรเดินออกมาหน้าบ้านเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทของเขามาถึง
“ถ้ามาตอนกลางคืนก็คงจะมาไม่ถึงล่ะวะ แบตก็หมด ยัยสิริหลอกให้ขับเข้าป่า หลงทางไปไร่มันสำปะหลัง ยังดีที่ขับมาได้เนี่ย”
“มาถึงก็ดีแล้ว ขับรถเข้ามาจอดข้างในเลยเพื่อน”
“เออๆ”
วายุเดินกลับไปที่รถยนต์ของเขาแล้วขับเข้ามาจอดภายในรั้วบ้านเรือนไทยหลังใหญ่
“นั่นรถไปโดนอะไรมาวะ”
จิรภัทรถามเพื่อนรักพร้อมกับก้มลงไปมองดูบริเวณไฟหน้ารถด้านซ้าย
“ก็โดนเด็กแก่แดดขับมอเตอร์ไซค์มาชนน่ะสิ ขนาดหลงเข้าไปในไร่มันแท้ๆยังโดนชนได้ เด็กบ้า! ถ้าเจอตัวจะทุบให้หัวแตกเลย”
วายุร่ายยาวด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“เด็กบ้านนอกก็แบบนี้แหละ วันๆเอาแต่ขับรถเล่น ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้วล่ะ เรื่องรถค่อนไปซ่อม เข้าไปในบ้านกันเถอะ”
ทั้งสองเดินขึ้นบันไดแล้วตรงไปที่ห้องนอนห้องสุดท้าย
“มึงนอนห้องนี้นะ ส่วนห้องกูอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำตัวให้สบายเหมือนอยู่ที่บ้านตัวเองเลยนะ เย็นนี้กูจะพาไปกินหมูกระทะ พักที่นี่สักสองคืนพวกเราค่อยออกเดินทาง”
“อืม บรรยากาศดีว่ะ กูชอบ แล้วมึงอยู่กับใครบ้าง”
วายุเอ่ยถามเมื่อเขาเห็นว่าภายในบ้านไม่มีใครสักคนนอกจากจิรภัทร
“อยู่กับพ่อแม่แล้วก็หลานสาว ลูกของพี่สาวน่ะ ตอนนี้พากันไปหักข้าวโพดในไร่หลังบ้าน”
“ดีจังเลย คนนที่นี่ขยันกันจริงๆเลยนะ”
“สนใจเข้าไปดูในไร่ไหมล่ะ ถ้าสนใจกูจะพาไป”
“ไปดิ กูก็อยากไปเหมือนกัน อยู่ชลบุรีไม่มีไร่สวนให้ดูเลย ยิ่งกรุงเทพยิ่งไม่ต้องถามถึง”
ทั้งสองเดินลงเข้าไปในไร่ข้าวโพด วายุมองรอบๆด้วยความสนใจ
“ไอ้ยุ มึงนั่งรอกูที่กระท่อมตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวกูมา กูลืมไปว่าตั้งหม้อต้มข้าวโพดไว้ กูต้องกลับไปปิดแก๊ส”
“เออๆ ไปเถอะ กูจะนั่งๆนอนๆรอที่กระท่อมนี่แหละ ลมเย็นสบายว่ะ”
หลังจากที่จิรภัทรเดินออกไป วายุจึงล้มตัวลงนอนที่กลางกระท่อม เขาใช้ลำแขนสอดเข้าไปรองใต้ศรีษะ ลมเย็นพัดสบายบวกกับความเหนื่อยล้าจากการขับรถทำให้วายุเผลอหลับไป
“แพรวกลับบ้านนะยาย แพรวจะไปทำกับข้าวรอ”
เด็กหญิงแพรวพราวบอกยายเพ็ญ หลังจากที่เธอช่วยหักข้าวโพดได้เพียงชั่วโมงเดียว
“เออๆ ไปเถอะ แล้วอย่าเถลไถลไปเที่ยวที่ไหนล่ะ”
“รู้แล้วน่ายาย”
เด็กหญิงแพรวพราวถอดหมวกออกจากศรีษะแล้วเดินตรงตามเส้นทางออกจากไร่เพื่อจะกลับบ้าน
“เฮ้ย! ใครมานอนที่กระท่อมวะ”
แพรวพราวเดินย่องเบาเข้าไปใกล้ๆ เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนกำลังนอนหลับอยู่กลางกระท่อม เธอทำหน้าฉงนพยายามนึกว่าเคยเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหนสักแห่ง ร่างเล็กก้าวขึ้นไปนั่งบนกระท่อมแล้วโน้มหน้าไปมองคนที่กำลังหลับไหล
“โห หล่อจัง ขนาดตอนหลับยังหล่อ หล่ออย่างกับพระเอกละครหลังข่าว หล่อจนวัวตายควายล้ม คริคริ หน้าคุ้นจัง”
แพรวพราวนั่งสำรวจใบหน้าหล่อเหลาของชายแปลกหน้า จากนั้นจึงยื่นมือไปเด็ดดอกหญ้าขึ้นมา มือเล็กซุกซนนำดอกหญ้าในมือเข้าไปแหย่ตรงรูจมูกของคนที่กำลังหลับสบาย เมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังรบกวนเวลานอน วายุจึงลืมตาตื่นแล้วดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที
(พรึ่บ)
“ว้ายยย!
“ทำอะไรวะ”
“!”
แพรวพราวถึงกับตาเบิกกว้างอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือผู้ชายเจ้าของรถที่เธอขับไปชนเมื่อตอนเที่ยง
“อ๋อ ยัยเด็กแก่แดดนี่เอง เธอคิดจะทำอะไรฉัน มาให้โขกหัวเดี๋ยวนี้เลย”
(โป๊ก)
“โอ๊ย เจ็บ!”
วายุใช้กำปั้นโขกศรีษะของแพรวพราวดังโป๊ก เด็กหญิงถึงกับร้องโอดโอยกระโดดลงจากกระท่อม
“คิดจะหนีใช่ไหม มานี่เลย ฉันจะจับเธอไปส่งตำรวจ ข้อหาชนแล้วหนี”
วายุวิ่งตามหลังแพราวพราวเข้าไปในไร่ข้าวโพดด้วยความรวดเร็ว
“แน่จริงก็ตามให้ทันสิ แบร่ๆ”
เด็กหญิงแลบลิ้นปลิ้นตายั่วโมโหคนที่กำลังวิ่งตาม แต่ความเร็วของแพรวพราวไปได้ไกลกว่าที่วายุจะตามได้ทัน
“ไอ้ยุ ไอ้ยุ!”
เมื่อจิรภัทรได้ยินเสียงเหมือนเพื่อนรักกำลังส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ภายในไร่ เขาจึงร้องเรียกเพื่อนทันที
“ไอ้ยุ มึงเข้าไปทำอะไรในนั้นวะ”
เมื่อวายุได้ยินเสียงของจิรภัทรเขาจึงหยุดวิ่งทันทีและเดินกลับมาหาจิรภัทรที่กำลังยืนรออยู่กระท่อมหลังเล็ก ปล่อยให้เด็กหญิงแพรวพราววิ่งหนีไปได้อีกครั้ง
“มึงเรียกทำไมวะไอ้ภัทร กูกำลังจะไล่ทุบหัวเด็กแล้วลากคอไปส่งตำรวจ”
“มึงใจเย็นๆสิวะไอ้ยุ เด็กที่ไหนของมึง”
“ก็เด็กแก่แดดที่ขับรถมาชนรถกูจนไฟหน้าแตกน่ะสิ กูเจอตัวแล้ว กูกำลังนอนหลับเสือกเอาดอกหญ้ามาแหย่รูจมูกกูถึงที่ หึ ยัยเด็กเหลือขอ”
“เด็กที่ว่า รูปร่างหน้าตาเป็นยังไงวะ”
จิรภัทรถามด้วยความสงสัย
“ใส่กางเกงวอร์มสีดำ เสื้อลายสก๊อตสีน้ำตาล ตัวเล็กผิวคล้ำดำแดดเหมือนคนไม่ขัดขี้ไคล ฟันเหยินๆ ผมสั้นเท่าติ่งหู น่าจะเรียนอยู่ประถม แต่แก่แดดจริงๆ อย่าให้เจออีกนะ จะตีให้หัวแตกเลย”
“มึงไปกับกู”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจิรภัทรเอ่ยชวนเพื่อน
“ไปไหนวะ”
“ไปหาเด็กที่ว่านั่นไง”
ทั้งสองเดินกลับเข้ามาที่บ้านเรือนไทยอีกครั้ง
(ก๊อกก๊อกก๊อก)
“แพรว เปิดประตู”
“มีอะไรน้าภัทร”
(แอ๊ดดดด)
“!”
“ยัยเด็กแก่แดด!”
------------------------------------