ในเช้าของวันเปิดเทอม... ปีสี่แล้วสินะ รู้สึกเหมือนตัวเองพึ่งเข้ามหาลัยเมื่อวานนี้เอง เผลอแป๊บเดียว พวกผมทั้งสี่คนก็จะเรียนจบกันแล้ว ผมกำลังนอนเล่นคิดอะไรเพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงไอ้เลโอตะโกนมาแต่ไกล
“พวกมึง กูมีอะไรจะบอก” เลโอเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มหน้าระรื่น
ตอนนี้ผมกับเพื่อนอีกสองคนกำลังนอนเล่นอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้าง ๆ ตึกคณะบริหารธุรกิจ
“อะไรของมึงวะ” โต้งลุกขึ้นนั่งถามเลโออย่างหัวเสีย
“เรื่องนี้อาจจะไม่ตื่นเต้นสำหรับมึง แต่มันตื่นเต้นสำหรับไอ้ไบค์” เลโอบอก
“จะพูดอะไรก็รีบพูดมา อย่าลีลา” ผมรีบลุกขึ้นนั่งแล้วถามเลโอทันที มันจะมีเรื่องอะไรให้ผมได้ตื่นเต้นงั้นเหรอ
“กูไปดูรายชื่อของน้อง ๆ ปีหนึ่งที่คณะมา มีชื่อน้องแก้มใสของมึงด้วยไอ้ไบค์”
แก้มใสงั้นเหรอ... ผมไม่ได้ยินชื่อนี้มานานแค่ไหนแล้ว ตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายผมก็ไม่ได้เจอแก้มใสอีกเลย แล้วรอยยิ้มร้ายก็ผุดขึ้นมาอย่างลืมตัว
“เอ้อ! ไอ้โต้งกูเห็นชื่อน้องต้าหนิงด้วย ไม่เห็นมึงเล่าให้เพื่อนฟังบ้างเลย” เลโอหันไปถามไอ้โต้งต่อ
เพราะต้าหนิงเรียนที่นี่เอง แก้มใสถึงได้ตามมาด้วย งั้นก็ดีนะสิ ไอ้เรซเพื่อนยากจะได้รวบหัวรวบหางน้องต้าหนิงสักที
นี่ถ้าไอ้โต้งรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่นะ มีหวังได้แดกตีนมันแทนข้าวแน่
“แล้วทำไมกูต้องบอกพวกมึงด้วยวะ” โต้งถามเลโอด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เอ้า! ไอ้นี่ ก็พวกกูเพื่อนมึงไงคร๊าบ...” เลโอตอบ
“ไม่ยักรู้ว่า เรื่องของน้องกูเนี่ย เป็นที่น่าสนใจของพวกมึงตั้งแต่เมื่อไหร่” ปากมันถามเลโอ แต่สายตาของไอ้โต้งชำเลืองมองไปที่ราเรซอย่างไม่ปิดบัง มันก็คงระแคะระคายอยู่นิดหน่อยล่ะ ตราบใดที่ไอ้เรซยังนิ่งอยู่ ต่อให้สงสัยแค่ไหนก็ทำอะไรมันไม่ได้อยู่ดี
“กูว่าเราไปดูกันหน่อยไหม กูอยากเห็นแก้มใส ไม่ได้เจอกันตั้งสามปี อยากจะรู้นัก...ว่าถ้าเจอหน้ากูตอนนี้จะเป็นยังไง” ผมพูดขึ้นทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้
ความจริงผมก็อยากจะเห็นแก้มใสด้วยแหละ ไม่ได้เจอกันตั้งสามปี ไม่รู้ว่า แก้มใสจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน โดยเฉพาะใจของแก้มใสนั้น จะเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า หรือยังมั่นคงต่อคนที่เธอชอบอยู่
“ไปดิ กูก็อยากไปส่องเหมือนกันว่ามีคนน่ารัก ๆ บ้างไหม” ราเรซพูดเสริม ใจจริงมันคงอยากจะเห็นหน้าน้องต้าหนิงมากกว่า แต่จะให้มันเอ่ยออกมาตรง ๆ ก็เกรงว่าจะโดนบาทาของไอ้โต้งเข้าให้
“แล้วมึงสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ ไอ้เรซ กี่ปี ๆ กูก็ไม่เห็นมึงจะระริกระรี้ขนาดนี้เลย” แล้วมันก็โดนไอ้โต้งแขวะจนได้
“มันก็คงอยากขึ้นมาบ้างล่ะมั้ง” ผมจึงหันไปตอบไอ้โต้งแทนราเรซ ก่อนจะหันกลับมายักคิ้วให้ไอ้เรซอย่างรู้กันแค่สองคน
“กูลืมโทรศัพท์ไว้ในรถว่ะ พวกมึงไปก่อนเลย” ราเรซรีบเดินไปยังลาดจอดรถทันที ผม ไอ้โต้ง ไอ้เลโอ จึงเดินไปที่หน้าคณะก่อนราเรซ
เมื่อเดินมาถึงหน้าคณะ สาว ๆ ต่างก็หันมามองพวกผมทั้งสามคนด้วยความสนใจ ไอ้ผมมันคนยิ้มเก่ง ผมก็เลยยิ้มโปรยเสน่ห์ไปให้คนละเล็กละน้อยพอหอมปากหอมคอ พอให้รุ่นน้องได้เก็บเอาไปฝันหวาน
“น้อง ๆ นักศึกษาใหม่ทั้งหลายมาลงชื่อกันตรงนี้นะครับ แล้วก็มารับป้ายชื่อของตัวเอง พี่จะได้รู้ว่าใครไม่มาบ้าง” เสียงเพื่อนร่วมคณะคนหนึ่งประกาศบอกน้องปีหนึ่งให้มาลงชื่อ มันชื่อว่าบาส
“ต้าหนิง แก้มใส”
ผมหันไปมองตามเสียงเรียกของรุ่นน้องสองคนก็ได้เจอกับเจ้าของชื่อที่เพื่อนของเธอเอ่ยเรียกไปเมื่อกี้ สี่สาววิ่งเข้าหาแล้วโอบกอดกันอย่างดีใจที่ได้เจอกัน
“อ้าว ๆ อย่ามัวแต่ดีใจที่เจอกันครับ รีบมาลงชื่อกันก่อนเลย” เสียงไอ้บาสประกาศแซวสี่สาวที่ดีใจเสียงดังจนคนอื่น ๆ หันไปมองที่พวกเธอ หรืออาจจะมองเพราะความน่ารักของสองในสี่คนนั้นก็เป็นได้
“ชื่อเล่นอะไรคะ” ซินดี้เอ่ยถามต้าหนิงเมื่อเธอเดินมายังจุดลงชื่อ
“ต้าหนิงค่ะ”
“ทำไม นามสกุลเหมือนโต้งเลยล่ะ” แป้งเอ่ยถามต้าหนิงอย่างใคร่รู้
“ก็น้องฉันนิ”
“เฮีย!” ต้าหนิงวิ่งเข้าไปสวมกอดพี่ชายของตัวเองด้วยความดีใจ
“อ้าว โต้งมีน้องสาวด้วยเหรอ น่ารักซะด้วย” แป้งเอ่ยชม
“น้องมึงเหรอโต้ง น่ารักวะ มีแฟนยังครับ” เสียงเพื่อนผู้ชายร่วมคณะที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดแซวขึ้น
“ตีนกูก่อนไหม” แล้วพวกก็โดนไอ้โต้งแจกหมาเข้าให้
“แล้วน้องชื่ออะไร” ซินดี้หันไปถามสาวน้อยอีกคนที่เดินตามต้าหนิงมาติด ๆ เธอแอบมองไอ้โต้งอย่างเงียบ ๆ แต่มันก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของผมได้ นี่ยังชอบมันอีกอยู่เหรอ นึกแล้วก็เจ็บใจชะมัด
“แก้มใสค่ะ” เธอตอบซินดี้โดยที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลย แก้มใสไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมแอบมองเธออยู่ มันน่านัก... ด้วยความหมั่นไส้ผมจึงเดินไปชิดด้านหลังแล้วเอ่ยทักทายเธอเบา ๆ
“เรียนคณะนี้ด้วยเหรอ” ร่างบางถึงกลับสะดุ้งเมื่อหันมาเจอหน้าผมในระยะประชิด แก้มใสดูตกใจมากที่เจอผม หึ... แบบนี้สิ ค่อยน่าสนุกหน่อย
“ค่ะ” แก้มใสรีบหลุบตาลงต่ำทันทีที่สบตากับผม
“แล้วเจอกัน” ผมกระซิบบอก พร้อมกับเดินชนไหล่แก้มใสอย่างเฉียดๆ เพราะถ้าชนโดนจริงๆ มีหวังร่างบางได้กระเด็นแน่
จากนั้นพวกรุ่นพี่ก็พาน้องปีหนึ่งเข้ามายังหอประชุมเพื่อทำกิจกรรมต่อไป ไอ้บาสประกาศให้น้องปีหนึ่งจับกลุ่มโดยที่ให้แต่ล่ะกลุ่มมีชายหญิงปนกันด้วย
“ไอ้ไบค์ ไปลากไอ้บาสมานี่ดิ” ราเรซหันมาบอกกับผม เมื่อคำสั่งของไอ้บาสไม่เป็นที่พอใจสำหรับมันและผมด้วย พอไอ้บาสพูดจบผมก็เดินเข้าไปจับคอเสื้อนักศึกษาของไอ้บาสแล้วก็ลากมันตรงที่ผมนั่งอยู่เมื่อกี้
“อะไรของมึงครับ” ไอ้บาสโวยนิดหน่อยที่ถูกผมเชิญตัวมาอย่างมีมารยาท...
ป้าบ! ราเรซตบหัวไอ้บาสไปหนึ่งที แต่ก็ไม่ได้แรงอะไรมาก แค่มันเกือบหัวทิ่มแค่นั้นเอง
“มึงประกาศ เหี้ยไร ทำไมให้จับกลุ่มปนกันมัวแบบนั้น” ราเรซโวยไอ้บาส
“เอ้า! ไอ้นิ ก็กูต้องการให้น้อง ๆ ทำความรู้จักกัน และก็สามัคคีกัน พวกมึงไม่ช่วยเหี้ยไร ก็อยู่เฉยๆ ควายยยยย” แล้วผมกับไอ้เรซก็โดนไอ้บาสด่ากลับ
เกมที่พวกน้องปีหนึ่งเล่นอยู่นี้มันชั่งขัดหูขัดตาชะมัด เพราะต้าหนิงกับแก้มใสต้องไปยืนอยู่ตรงกลางเพื่อนให้เพื่อนผู้หญิงสองคนกับเพื่อนผู้ชายอีกสองคนยืนโอบพวกเธอเอาไว้ แล้วไอ้เหี้ยสองตัวนั้นก็ยืนยิ้มหน้าระรื่นอย่างมีความสุขที่ได้โอบกอดเพื่อนผู้หญิงน่ารักๆ ถึงมันจะเป็นแค่เกมก็เถอะ
“กูอยากเอาส้นตีนยันหน้าไอ้สองตัวนั่นจัง” ผมหันไปพูดกับราเรซด้วยอารมณ์หงุดหงิดนิด ๆ
“กูก็ด้วย สัสเอ๊ย...” ราเรซเองก็เห็นด้วยกับผม
ตุบ!
“เฮ้ย!/เฮ้ย!”
ผมกับราเรซร้องประสานเสียงดังลั่น ทำให้เพื่อนในกลุ่มหันมามองเป็นตาเดียว ที่ร้องกันอย่างตกใจขนาดนี้นะเหรอ... ก็เพราะว่าต้าหนิงล้มลงไปทับร่างไอ้รุ่นน้องปีหนึ่งผู้ชายที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับเธอนะสิ ส่วนแก้มใสก็ไม่ต่างกัน แถมหนักกว่าต้าหนิงอีกเพราะเธออยู่ใต้ร่างไอ้รุ่นน้องนั่น ผมนี่นั่งกำหมัดแน่นแทบจะลุกขึ้นไปซัดหน้าไอ้รุ่นน้องนั่นอยู่ล่ะ
“เย็นไว้เพื่อน...” ราเรซกระซิบเรียกสติผมคืนมา
“เราจะทำโทษเพื่อนกลุ่มนี้ยังไงดีครับ” ไอ้บาสหันไปถามเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ
“เดี๋ยวกูพาไปทำโทษเอง” ผมจึงรีบอาสาทันที ในจังหวะนั้นแก้มใสหันมามองหน้าผมพอดี สายตาของเธอดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด คงจะกลัวล่ะสิ ได้เจอดีแน่
“เดินตามพี่มาครับ” ผมเดินไปบอกกลุ่มของแก้มใส พร้อมกับหันไปชวนราเรซด้วย
ผมเดินนำน้องปีหนึ่งมายังห้องประชุมขนาดย่อยของคณะ การทำโทษน้องปีหนึ่งนี้ มันคือแผนการอย่างหนึ่งของผม เพื่อที่จะได้ทักทายคนที่ไม่ได้เจอกันนานให้หายคิดถึงซะหน่อย
ผมเดินนำน้องปีหนึ่งมายังห้องประชุมขนาดย่อยของคณะ การทำโทษน้องปีหนึ่งนี้ มันคือแผนการอย่างหนึ่งของผม เพื่อที่จะได้ทักทายคนที่ไม่ได้เจอกันนานให้หายคิดถึงซะหน่อย
“กูอยู่ห้องคณะนะ” ผมเอ่ยขึ้นลอย ๆ ก่อนจะเดินไปอีกทาง ซึ่งผมรู้ดีว่าไอ้เรซต้องเข้าใจอย่างแน่นอน
“อีกสี่คนตามพี่มานี่” แล้วผมก็พาอีกสี่คนไปยังห้องอื่น ทีนี้ผมจะเอาพวกที่เหลือไปปล่อยไว้ที่ไหนดีเนี้ย ต้องรีบสลัดทิ้งก่อนที่ราเรซจะส่งตัวแก้มใสไปที่ห้องคณะ
“น้อง ๆ ที่เหลือก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดห้องน้ำชายหญิงนะ”
“ห้ะ! ให้พวกผมไปทำความสะอาดห้องน้ำเนี่ยนะ” รุ่นน้องผู้ชายที่ล้มทับแก้มใสโวยขึ้น กูไม่ยันหน้ามึงก็บุญแล้วไอ้น้อง
“น้องมีปัญหาเหรอครับ” ผมถามกลับด้วยท่าทีเอาเรื่อง ไอ้รุ่นน้องหลบตาผมแทบไม่ทัน
“เปล่าครับพี่” เพื่อนมันอีกคนช่วยตอบแทน
“งั้นก็ไปกันได้แล้ว” ผมพูดเสียงเข้มขึ้นอีกนิดเพื่อแสดงให้รู้ว่า อย่าทำให้รุ่นพี่โมโห ไม่งั้นจะเดือดร้อน รุ่นน้องทั้งสี่คนต่างก็รีบเดินไปคนล่ะทิศล่ะทาง
เมื่อเคลียร์ทางเรียบร้อยแล้วผมก็รีบเดินกลับมายังห้องคณะด้วยความรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แก้มใสเปิดประตูเข้าไปในห้องพอดี ผมจึงรีบเดินตามเข้าไปแล้วล็อกกลอนประตูทันที
“ทำอะไรคะ” แก้มใสหันมาถามด้วยความตกใจพร้อมกับพุ่งตัวมาที่ประตู ผมจึงยืนขว้างเอาไว้ทำให้แก้มใสไม่สามารถเปิดประตูได้
“กันผู้ต้องหาหนี” ผมตอบแก้มใสด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“ใครผู้ต้องหาคะ” แก้มใสถามกลับด้วยใบหน้างงงวย
“ก็น้องไง” ผมเลิกคิ้วให้หนึ่งทีอย่างกวน ๆ
“แก้มแค่จะเข้ามาเอาอุปกรณ์ไปทำความสะอาด ไม่ได้เข้ามาขโมยอะไรสักหน่อย” แก้มใสพยายามอธิบาย
“อุปกรณ์ทำความสะอาดก็อยู่ห้องเก็บของสิ จะมาอยู่อะไรในห้องคณะล่ะ” แก้มใสถึงกลับเหวอเล็กน้อย
“งั้นก็... ขอทางด้วยค่ะ แก้มจะได้ออกไปห้องเก็บของ” แก้มใสพยายามจะเดินมาที่ประตูอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่หลับทางให้ เมื่อเห็นดังนั้นแก้มใสจึงยื่นมือบางมาผลักผมออก
“ว้าย!” ผมอาศัยจังหวะที่แก้มใสไม่ทันระวังตัว รีบคว้าเอวบางเข้ามาสวมกอด
“ปล่อยแก้มนะ!” แก้มใสขึงตาใส่ผมพร้อมกับดิ้นไปมาอย่างรุนแรง
“ไม่ปล่อย”
“ถ้าไม่ปล่อย แก้มจะตะโกนให้คนช่วยจริง ๆ ด้วย”
“ทำไม! ถ้าเป็นไอ้โต้ง เธอก็คงจะยิ้มหน้าระรื่นสินะ”
“ใช่ค่ะ ถ้าเป็นพี่โต้ง แก้มยินดี...” แก้มใสตอบพร้อมยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน
รอยยิ้มของแก้มใสทำให้ร่างกายผมถึงกับชะงักค้างกลางอากาศ แก้มใสอาศัยจังหวะที่ผมเผลอรีบพุ่งตัวไปที่ประตูอีกครั้งหวังจะออกจากห้องนี้ไปให้ได้ ผมจึงคว้าเอวบางแล้วกระชากตัวแก้มใสกลับมาอย่างแรงก่อนจะจับร่างบางกดลงกับโต๊ะตัวยาวในห้องทำให้กระโปรงทรงพีทเลิกขึ้นสูงจนเห็นขาอ่อนที่มีซับในที่ดำปกปิดอยู่
“จะทำอะไรน่ะ ปล่อย!” แก้มใสพยายามขัดขืนแต่มีเหรอที่คนตัวเล็กอย่างเธอจะสู้แรงผมได้
“ชอบมันมากเหรอ ห้ะ!” ผมเผลอตะคอกเสียงดังลั่นด้วยความโมโห
“จะให้แก้มตอบกี่ครั้ง คำตอบมันก็คือ ใช่!”
สติผมขาดผึงเมื่อแก้มใสยังยืนยันคำเดิม
ผมกระโดดขึ้นไปคร่อมตัวแก้มใสบนโต๊ะตัวยาว ก่อนจะโน้มหน้าลงไปซุกไซ้ซอกคออย่างบ้าคลั่ง แก้มใสพยายามดิ้นหนีสุดกำลัง
“อย่านะ! อุ๊บ...” ผมเลื่อนริมฝีปากประกบปิดปากแก้มใสทันที ผมบดจูบแก้มใสอย่างป่าเถื่อนโดยที่ไม่สนว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร ไม่สนว่าเธอจะรู้สึกดีกับรสจูบของผมหรือเปล่า การกระทำที่ขาดสติทำให้ผมเผลอทำรุนแรงกับแก้มใส
“อึก! ฮือออ” แก้มใสหยุดดิ้น เธอนอนนิ่งไม่ต่อต้านใดใด เพราะเธอกำลังร้องไห้ และนั้นก็ทำให้ผมได้สติขึ้นมาจึงหยุดการกระทำไว้แค่นั้น
ผมมองดูใบหน้าแสนสวยที่ตอนนี้กำลังแปดเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา นี่ผมทำอะไรลงไปเนี่ย แก้มใสจ้องหน้าผมด้วยความโกรธเคืองอย่างไม่ปิดบัง
“พี่...” อยากจะเอ่ยขอโทษแต่ว่าปากมันกลับไม่ยอมขยับ
“พอใจแล้วใช่ไหมคะ” แก้มใสตัดพ้อด้วยสายตามันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
ผมลงจากโต๊ะแล้วยื่นมือไปให้แก้มใส เพื่อเป็นหลักยึดให้เธอ แต่แก้มใสกลับปัดมือผมทิ้งก่อนจะลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง
เพี๊ยะ!
มือบางฟาดห้านิ้วกับแก้มซ้ายของผมอย่างแรง ถึงจะไม่เจ็บเท่าโดนต่อย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกแสบอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“แก้มจะบอกอะไรให้นะคะ”
ผมค่อย ๆ หันกลับมามองหน้าแก้มใสอย่างช้าๆ เพราะยังรู้สึกชาที่ใบหน้าไม่หาย
“ที่แก้มชอบพี่โต้ง เพราะว่าพี่โต้งเป็นสุภาพบุรุษ พี่โต้งไม่เคยรังแกแก้ม และค่อยช่วยเหลือแก้มตลอดเวลาที่แก้มเจอปัญหา คนอย่างพี่... เทียบกับพี่โต้งไม่ได้เลยสักนิด!” แก้มใสผลักอกผมหนึ่งทีก่อนจะหมุนตัวไปที่ประตูแล้วรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ผมไม่ได้อยากทำร้ายเธอเลยสักนิด ในตอนนี้... ผมมันเหมือนคนขี้อิจฉายังไงก็ไม่รู้ ผมอิจฉาไอ้โต้งเหลือเกิน อิจฉาที่มันได้ใจแก้มใสไปเต็ม ๆ ทั้งที่มันก็มีพี่มิรินอยู่แล้วแท้ ๆ แต่แก้มใสก็ยังไม่เลิกชอบมันอยู่ดี เหตุการณ์ในวันนี้ยิ่งทำให้แก้มใสเกลียดผมเข้าไปใหญ่ คิดอะไรไม่ออกจริง ๆ
ฉันรีบเดินออกจากห้องนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ตามมา ฉันจึงชะลอการเดินให้ช้าลง หันไปมองซ้ายขวาว่าแถวนี้มีคนอยู่หรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ ฉันจึงเดินหลบไปที่หลังต้นไม้ใหญ่แล้วทรุดตัวนั่งลงกับโคนต้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่กักเก็บน้ำตาเอาให้ไม่ให้มันไหลอาบแก้มไปมากกว่านี้
ฉันปล่อยให้น้ำตาได้ไหลออกมาอย่างสุดจะกลั้น ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย นี่มันพึ่งเปิดเทอมเองนะ ฉันเกือบโดนรุ่นพี่ข่มขืน แล้วทีนี้ ชีวิตในรั่วมหาลัยของฉันจะสงบสุขได้อย่างไร ถ้ายังมีคนอย่างเขาอยู่ แถมฉันยังตบหน้าเขาอีก เขาไม่ปล่อยฉันไว้แน่
เมื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเป็นปกติได้แล้ว ฉันจึงค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนรีบเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้ดูเหมือนว่าฉันไม่ได้แอบร้องไห้
“กลับบ้านดีกว่า กลับไปที่คณะต้องเจอเขาอีกแน่ ๆ” เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันก็เดินออกมารอรถเมล์ที่หน้ามหาวิทยาลัย
ระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้าน ในสมองฉันเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ฉันจะทำอย่างไรดี จะอยู่อย่างไรโดยที่ไม่เจอหน้าเขา แต่มันก็คงทำได้ยากเพราะเราอยู่คณะเดียวกัน ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่ดี
“นั่งเหม่ออะไรเนี่ย” ฉันถึงกลับสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งทักขึ้นพร้อมกับที่ร่างสูงนั่งลงที่เบาะข้างฉัน
“เทน” เด็กหนุ่มยิ้มให้ฉันอย่างสดใสเหมือนอย่างเคย เทน คือเพื่อนบ้านของฉันเอง เทนอายุห่างจากฉันสองปี
เราโตมาด้วยกันเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ฉันจะเป็นพี่เลี้ยงให้เขาซะมากกว่า เพราะพ่อกับแม่ของเทนต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ ท่านมักจะฝากเทนไว้ที่บ้านของฉันเสมอ
“ก็เทนไง ใจลอยไปถึงไหนครับ”
“เปล่าสักหน่อย” ฉันส่งยิ้มหวานกลับไปให้เทนเช่นกัน
“ที่มหาลัยเป็นไงบ้างล่ะ สนุกเปล่า” ปากถามฉันแต่สายตากลับมองไปที่วัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่งที่นั่งถัดไปจากพวกเราไม่ไกลนัก เทนเอื้อมมือมาด้านหลังฉันก่อนจะโอบไหล่
“ทำอะไร” ฉันหันไปถามเทนพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปม
“ก็พวกนั้นมันมองพี่แก้มอ่ะ” เทนบอก แล้วฉันก็เข้าใจได้ทันทีถึงจุดประสงค์ที่เทนโอบไหล่ฉัน คงอยากจะทำให้พวกนั้นคิดว่าฉันเป็นแฟนเขาสินะ
“เด็กน้อยเอ๊ย...” ฉันบ่นพึมพำพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างขำ ๆ
“ไม่เด็กนะครับ” เทนสวนกลับทันที ทำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าเขา สบจังหวะที่เทนหันหน้ามาพอดีทำให้ใบหน้าเราห่างกันแค่คืบ ฉันจ้องเขาไปในดวงตาของเทนซึ่งเขากำลังพยายามที่จะสื่อบางอย่างออกมาให้ฉันได้รับรู้
“โตกว่าพี่แค่นี้ก็อวดแล้วเหรอ” ฉันถามกลับทำให้มันเป็นเพียงแค่เรื่องตลก เทนถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะโอบไหล่ฉันแน่นกว่าเดิม
“หัดดื่มนมซะบ้างนะครับ จะได้โตเร็ว ๆ” แล้วเทนก็เปลี่ยนท่าทีมาพูดเล่นกับฉันเหมือนเดิม
“ย่ะ!” ด้วยความหมั่นไส้ ฉันจึงยกมือขึ้นไปหยิกแก้มทั้งสองข้างของเทนอย่างมันเขี้ยว
“โอ๊ย! เทนเจ็บนะ มาให้เทนหยิกคืนบ้าง” แล้วเราทั้งสองคนต่างก็หยิกแก้มหยอกล้อกันไปมา จนผู้โดยสารคนอื่น ๆ ต่างก็หันมามองเป็นตาเดียว บ้างก็ยิ้มขำไปกับเรา บ้างก็รำคาญและหมั่นไส้
“พอแล้ว ถึงแล้วเนี่ย” ฉันจับมือเทนให้ออกจากแก้มของตัวเอง เมื่อรถเมล์จอดสนิทที่ป้ายรถแล้ว
ฉันมักจะเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียนพร้อมเทนทุกวันตั้งแต่ประถมแล้วล่ะ ถึงเราจะเรียนคนละที่ แต่เทนก็มักจะรอฉันอยู่ที่ป้ายรถเมล์เสมอหากวันไหนเขาเลิกเรียนก่อน ปัจจุบันเทนอายุ 17 ปีแล้ว เขาเรียนอยู่ที่โรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่งในสาขาช่างยนต์
ฉันก้มมองดูพื้นถนนที่สะท้อนเงาของคนร่างสูงกับคนร่างเล็กเดินเคียงคู่กัน เขาโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ มันทำให้ฉันนึกถึงเมื่อสมัยก่อนตอนที่เราเรียนอยู่ชั้นประถม ฉันมักจะเดินจูงมือเด็กผู้ชายที่ตัวเล็กๆ คนหนึ่งเพื่อพากลับบ้านพร้อมกันทุกวัน เด็กน้อยกำมือฉันแน่นยามที่เดินผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีสุนัขเฝ้าบ้านอยู่สามถึงสี่ตัว พวกมันมักส่งเสียงเห่ายามที่เราสองคนเดินผ่าน ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะมีรัวกันแต่เด็กน้อยก็กลัวอยู่ดี เทนในวัยประถมมักจะร้องไห้ทุกครั้งที่สุนัขส่งเสียงเห่า จากที่กำมือฉันก็เปลี่ยนมากอดฉันแทน แล้วฉันก็เผลอขำออกมาอย่างลืมตัว
“ขำอะไร” เทนหันมามองด้วยสีหน้างุนงง
“เปล่า...” ฉันตอบเสียงลากยาวอย่างกลบเกลื่อน
“นี่อย่าบอกนะ ว่านึกถึงตอนที่เทนกลัวไอ้พวกหมาเวรนั่นน่ะ”
“คิก ๆ ๆ” ฉันหลุดขำออกมาไม่หยุดเมื่อมองไปเห็นบ้านหลังนั้นอีกครั้ง
“หยุดขำเลย พี่แก้ม!” เทนเดินเข้ามาล็อกคอฉันไว้ด้วยวงแขนอันแข็งแรงของเขา แต่ฉันก็หยุดขำไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ”
“ไม่หยุดใช่ไหม ถ้าไม่หยุดเทนหอมแก้มนะ!”
ฉันถึงกลับชะงักในทันทีที่ได้ยินคำขู่ ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอึ้ง ๆ เทนเองก็ดูจะตกใจกับคำพูดของตัวเองเช่นกัน
“ฝันไปเหอะ! ไอ้เด็กบ้า!” ฉันจึงยื่นมือขึ้นไปยี่ผมเขาเล่น ก่อนจะรีบวิ่งหนีเข้าบ้านไปเมื่อถึงหน้าบ้านของตัวเองพอดี
“ฝากไว้ก่อนเหอะ!” เสียงเทนตะโกนคาดโทษไล่หลังมา
ใช่ว่าฉันไม่รู้ว่าเทนรู้สึกยังไงกับฉัน แต่ว่า... ฉันไม่ได้คิดกับเทนเป็นนั้นนะสิ ฉันเห็นเขาเป็นเพียงน้องชายเท่านั้น ไม่เคยคิดเกินเลยไปกว่านี้เลย
เมื่อฉันเดินเข้ามาให้ตัวบ้าน ก็ต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อเจอแขกที่ฉันไม่อยากเจอเลยสักนิด
“กลับมาแล้วเหรอแก้ม” เสียงผู้ชายวัยสี่สิบปลายๆ ทักขึ้น แต่ฉันก็ทำเมินเฉยไม่สนใจที่จะสนทนากับเขา
“แก้มใส...” แม่เห็นกิริยาที่ไม่เข้าท่าของฉันจึงเอ่ยชื่อฉันเสียงเข้ม
“แก้มขอตัวก่อนนะคะ” ฉันรีบเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่ชั้นสองของบ้านทันที
ฉันรู้... ว่าฉันไม่สมควรแสดงกิริยาแบบนั้นกับเขา พ่อผู้ให้กำเนิด ตั้งแต่ฉันจำความได้ก็มีแต่แม่เท่านั้นที่ทำงานหาเงินเลี้ยงดูฉันเพียงลำพัง จนเมื่อฉันอายุได้เจ็ดขวบ ฉันได้เห็นหน้าพ่อเป็นครั้งแรก แต่เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว เขาพาลูกสาวตัวน้อยที่เกิดจากภรรยาอีกคนที่แต่งงานกันถูกต้องตามกฎหมายมาด้วย เขาบอกกับฉันว่าเด็กน้อยอายุราวห้าขวบนั่นคือน้องสาวต่างมารดาของฉัน
ครอบครัวของพ่อไม่ชอบแม่ของฉัน พวกเขากีดกันทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้แม่ฉันอยู่อย่างมีความสุข แต่แล้ว...สิ่งที่แย่ที่สุด ไม่ใช่การถูกกีดกัน แต่มันคือการที่พ่อของฉันเห็นดีเห็นงามกับคุณปู่และคุณย่า ที่พวกท่านต้องการให้พ่อแต่งงานใหม่กับคนที่เหมาะสมและคู่ควร เพราะแม่ของฉันเป็นเพียงแค่ลูกแม่ค้าที่มีอาชีพทำขนมไทยขายอยู่ในตลาด ไม่ได้มีหน้ามีตาทางสังคมอะไร ต่างจากครอบครัวของพ่อ ที่มีธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และภรรยาคนใหม่ที่เป็นลูกสาวเจ้าของร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งพวกผู้ใหญ่ได้คำนวลเอาไว้แล้วว่ากำไรทั้งนั้น
ก๊อกๆ ๆ ๆ
“แม่เองลูก” เสียงแม่ตะโกนมาจากอีกฝั่งของบานประตู ฉันจึงเดินมาเปิดประตูให้แม่
“เขากลับหรือยังคะ” ฉันเอ่ยถามทันทีที่เปิดประตู
“กลับไปแล้วจ้ะ” แม่ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับก้าวเดินเข้ามาในห้องของฉันแล้วนั่งลงบนเตียงนอน
“แก้มอย่าโกรธเขาเลยนะลูก” แม่พูดประโยคนี้กับฉันครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ฉันกรอกตาขึ้นมองเพดานอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเดินไปล้มตัวนอนหนุนตักแม่บนเตียง
“เขามาทำไมคะ” ฉันเลือกที่จะถามแม่กลับแทน
“เขามาปรึกษา เรื่องธุรกิจเขานั่นแหละ” แม่บอก
“แล้วแม่จะช่วยอะไรเขาได้คะ เราก็แค่แม่ค้าขายขนมหวาน ไม่ใช่นักธุรกิจสักหน่อย” ฉันรั้งมือแม่ข้างหนึ่งมาแนบกับแก้มของตัวเอง
“เขาขาดทุนจากการรับเหมางานที่แล้ว ทำให้ขาดเงินทุนในการรับเหมางานต่อไป...” แม่เล่าต่อ
“แล้วไงคะ”
“เขามาขอยืมเงินน่ะ”
ฉันเผลอลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ นี่เขายังมีหน้ามายืมเงินแม่อีกเหรอ ตลอดเวลา 19 ปี เขาไม่เคยใยดีฉันกับแม่เลยสักนิด แล้วนี่ยังกล้ามารบกวนเราอีก เขามีความละอายแกใจบ้างไหม
“แม่มีเงินเหรอคะ” ฉันมองหน้าแม่ด้วยความไม่เข้าใจ ว่าทำไมแม่ต้องใจดีกับพวกเขาด้วย
“แม่มีไม่พอนะ”
“แม่... นี่แม่คิดจะช่วยเขาเหรอ” ฉันมองหน้าแม่ด้วยความน้อยใจและเสียใจที่แม่ยอมพวกเขาอีกแล้ว
ใช่แล้วล่ะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกนั้นมาขอความช่วยเหลือจากแม่ แล้วแม่ก็ไม่เคยได้อะไรคืนมาเลยสักอย่าง
“ยังไงเขาก็คือพ่อของแก้มนะลูก...” แม่พยายามปลอบฉันด้วยคำว่าพ่อมากี่ครั้งแล้ว
“แล้วเขาเคยเห็นแก้มเป็นลูกไหมคะ ไม่เคยใยดี ไม่เคยสนใจ ไม่ส่งเสียอะไรด้วยซ้ำ” ฉันเอ่ยพูดกับแม่ทั้งน้ำตาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ทุกวันนี้ เราก็เหนื่อยของเราเอง เงินทุกบาทเราก็หาใช้กันเอง เราเคยไปรบกวนเขาสักครั้งไหม ต่อให้เราลำบากแค่ไหนก็ตาม...”
“โธ่...แก้ม” แม่รั้งตัวฉันเข้าไปกอดพร้อมกับลูบหลังอย่างปลอบโยนเมื่อฉันเริ่มร้องไห้สะอื้นหนักขึ้น
“ถ้าแก้มได้รักใครสักคน แก้มจะเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำ...” ฉันนึกค้านแม่อยู่ในใจ ฉันไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะฉันจะไม่รักใครจนโงหัวไม่ขึ้นมองข้ามความผิดของเขาและให้อภัยเขาได้