ตอนที่เจ็ด แอบหวง 2.2

2610 คำ
“แก้มไปรอด้านนอกนะ” แก้มใสกำลังจะชิ่งหนี ผมไม่ยอมซะหรอก มือไวเท่าความคิด ชั่วพริบตาผมก็อุ้มร่างบางขึ้นมานั่งอยู่ขอบอ่างล้างหน้าแล้วกักตัวเธอไว้ด้วยอ้อมแขนอันแข็งแรงของผม แก้มใสจ้องหน้าผมอย่างตะลึงพร้อมกับแก้มเนียนๆ ที่เริ่มขึ้นสีแดงอมชมพู่อย่างน่ารัก “คุยกันก่อนสิ” “ไปคุยข้างนอกดีกว่าค่ะ” แก้มใสหลุบตาลงต่ำไม่ยอมสบตากับผม แขนหนาจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับเบียดอกแกร่งเข้าชิดร่างบางเพื่อหาความอบอุ่นที่ผมเฝ้าหามาหลายวัน แก้มใสพยายามยันอกแกร่งไว้ไม่ยอมให้ผมเข้าชิดได้โดยง่าย ผมจึงจับมือบางกางออกแล้วบังคับให้แก้มใสโอบกอดเอวของผมแทน ทำให้ใบหน้าของเราห่างกันเพียงคืบจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ซึ่งกันและกัน “ใช่ เทนเอารถมาจำนำกับพี่” ผมยอมรับไปตามตรง ทำให้แก้มใสยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม “พี่คืนรถให้เทนได้ไหม” ตากลมโตแสดงแววตาอ้อนวอนผมอย่างไม่ปิดบัง แก้มใสจะรู้ตัวไหมว่าการที่เธออ้อนวอนขอให้คนอื่นมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน “ทำไม” “เพราะเทนนำเงินก้อนนั้นมาใช้หนี้แทนแก้มกับแม่ แก้มไม่อยากให้เทนต้องมาเดือดร้อน แก้มขอรับผิดชอบเองนะคะ ให้แก้มเป็นหนี้แทนเทนได้ไหม” ผมจ้องตากลมโตอย่างพิจารณา อยากจะรู้ความในใจของแก้มใสจัง ว่าทำไมถึงอยากเป็นหนี้ผมแทนเทนนัก “แคร์มันมากเลยเหรอ” พูดแล้วก็รู้สึกจุกอยู่ในใจ “แก้มแคร์เทน เพราะเทนเปรียบเสมือนน้องชายของแก้ม แก้มไม่อยากให้น้องต้องมาเดือดร้อนด้วย” “พูดจริงเหรอ” ผมเผลอยิ้มกว้างอย่างลืมตัว แก้มใสเห็นเทนเป็นเพียงน้องชายเองเหรอ นี่ผมคิดไปเองสินะ ที่หลงคิดว่าทั้งสองคนมีใจให้กันอยู่ หัวใจที่กำลังเหี่ยวเฉาก็พลันชุ่มชื่นขึ้นมาทันตาเห็น ไม่มีอะไรมาฉุดให้ผมหุบยิ้มได้แล้วล่ะ “ตกลง พี่ไบค์จะคืนรถให้เทนไหม” แก้มใสจ้องหน้าผมอย่างรอคำตอบ “อยู่ที่ว่า แก้มจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน” “เห็นเพื่อนของเทนบอกว่า รถราคาเป็นล้าน” แก้มใสหลุบตาลงตาอย่างหนักใจ “แก้มไม่มีของมีค่าอะไรที่พอจะเทียบกับรถของเทนได้เลย” “มีสิ” ผมปล่อยมือออกจากเอวบางข้างหนึ่งแล้วเลื่อนมือเชยปลายคางมนขึ้นพร้อมกับสบตากลมโตอย่างมีความหมาย “อะไรคะ” คิ้วบางย่นเข้าหากันอย่างสงสัย “หัวใจของแก้มไง ที่มีค่ากว่าอะไรทั้งนั้น” ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสุกใสนี้ เพื่อค้นหาคำตอบที่แทนจริง แววตาที่สะท้อนกลับมา ชั่งดูหวั่นไหวและน่าหลงใหลเป็นที่สุด “พี่ไบค์อยากได้เหรอคะ” สายตาของแก้มใสดูอ่อนไหวราวกับว่าสิ่งที่ผมพูดออกมามันมีผลต่อแก้มใสอย่างมาก “ใช่ พี่อยากได้ ให้พี่ได้ไหม” ผมตอบพร้อมกับจ้องตาแก้มใสอย่างแน่วแน่ “ขอแก้มเป็นแฟนสิ ทำให้แก้มรักพี่ให้ได้ แล้วพี่ไบค์จะได้หัวใจแก้มไปครอบครอง” ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย แก้มใสยอมเปิดใจให้ผมแล้ว ผมทำอะไรไม่ถูกแล้วตอนนี้ ร่างกายก็เหมือนถูกแช่แข็งไว้ไม่ยอมขยับ ได้แต่ยืนจ้องมองด้วยสายตาอึ้งๆ เกือบลืมหายใจไปแล้วด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาผมเป็นฝ่ายรุกแก้มใสตลอด พอโดนแก้มใสรุกกลับบ้างถึงกลับไปไม่เป็นเลยทีเดียว “เป็นแฟนกับพี่นะครับ” ผมเอ่ยพูดพร้อมกับจ้องใบหน้ารูปไข่อย่างมีความหวัง เรียวแขนเล็กที่โอบกอดผมอย่างหลวมๆ ในคราแรกก็ได้แปลเปลี่ยนเป็นกระชับกอดแน่นขึ้นพร้อมสัมผัสแสนนุ่มนิ่มจากริมฝีปากบางที่ผมเฝ้าหามาโดยตลอด นี่คือคำตอบจากแก้มใสสินะ ผมกลัวว่านี่จะเป็นเพียงแค่ความฝันจึงแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปที่กระจกด้านหลังของแก้มใส ผมเปล่าแบล็คเมล์นะ แค่อยากมั่นใจเท่านั้นเอง และที่สำคัญ... นี่คือรูปคู่ รูปแรกของเรา ผมไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมืออีกต่อไป รีบตอบรับรสจูบแสนหวานจากแก้มใสด้วยการแทรกปลายลิ้นผ่านกรีบปากบางเข้าไปควานหาความหวานปานน้ำผึ้งดูดดื่มให้หน้ำใจให้สมกับที่ผมเฝ้ารอมานาน “อือออ” เสียงเล็กครางแผ่วเมื่อโดนผมรุกหนักขึ้นเรื่อย ๆ มือหนาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังบางอย่างหลงใหล ผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วตอนนี้ จากเพียงแค่จูบก็เริ่มแปลเปลี่ยนเป็นเล้าโลมเต็มกำลัง แก้มใสเริ่มมีอาการฮึกฮักและตามมาด้วยกำปั้นเล็กระดมทุบกลางหลังประท้วงให้ผมหยุด แต่ผมไม่สนซะหรอก ผมเลื่อนริมฝีปากลงมาดูดเม้มซอกคอและเนินอก ฝากรอยช้ำสีกุหลาบเอาไว้จนทั่วเพราะไม่อยากให้แก้มใสต้องใส่เสื้อโชว์ผิวเนียนแบบนี้อีก “พี่ไบค์ หยุด...อือออ” มือเล็กพยายามดันไหล่ผมให้ออกห่างตัว ผมยังดูดเม้มผิวเนื้อไปเรื่อย ส่วนไหนที่โผล่พ้นขึ้นมาล่อสายตาถูกผมจับจองไว้ทุกตารางนิ้ว ผมเลื่อนริมฝีปากลงต่ำอีกหวังจะได้ชิมยอดอกแสนหวานที่ตรึงใจผมตั้งแต่แรกที่ได้ชิม “เฮีย!” ยังไม่ทันได้ทำอย่างใจนึก ก็มีเสียงมารมาผจญซะก่อน แก้มใสรีบซบหน้าเข้ากับอกแกร่งของผมทันทีที่ได้ยินเสียงผู้มาเยือน ชั่งมาได้ถูกเวลาจริงจริ๊ง...ไอ้น้องเวร! กำลังได้ที่อยู่แล้วเชียว มันจะเข้ามาทำมะเขืออะไรตอนนี้วะ! ผมกระชับอ้อมกอดร่างบางให้แนบกับอกแกร่ง เพื่อเป็นที่กำบังให้พ้นจากสายตาอันชั่วร้ายของปอร์เช่ “มีไร!” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างมากและใช้สายตาดุๆ จ้องน้องชายผ่านกระจก ปอร์เช่ยืนเกาะขอบประตูห้องน้ำพร้อมกับรอยยิ้มกวนๆ แอบนึกโมโหตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมผมไม่ปิดประตูห้องน้ำก่อนนะ “ทำไรอยู่อะ” ปากมันพูดกับผมแต่สายตากลับจ้องมองแผ่นหลังเนียนที่โดนมือหนาเลิกเสื้อขึ้นสูงจนเกือบเปลือย สายตาที่มันมองโคตรหื่นอะ บอกเลย “ยุ่ง!” ผมดุปอร์เช่ผ่านกระจกอีกครั้ง ซึ่งมันก็เอาแต่ยืนยิ้มหวานไม่ยอมขยับไปไหน “ขอแจมได้ปะ!” ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้น้องชายตัวดีด้วยความโมโห “ว้าว...คนนี้ของจริงสินะ ถึงได้หวงขนาดนี้ คริ ๆ ๆ” มันไม่ได้กลัวผมเลยแม้แต่น้อย ปวดหัวกับมันจริงๆ “ออกไปได้แล้ว ปิดประตูให้ด้วย” ผมสั่งปอร์เช่ผ่านกระจก ซึ่งคราวนี้ปอร์เช่ยอมถอยแต่โดยดี แต่ก็ไม่วายพูดจากวนๆ ทิ้งท้ายไว้ก่อนไป “เบาๆ นะเฮีย คริ ๆ ๆ” ผมกำลังจะอ้าปากด่ามันอีกรอบ ปอร์เช่ก็รีบปิดประตูห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อปอร์เช่ออกไปพ้นสายตาแล้ว “น้องชายพี่เอง มันกะหล่อนนิดหน่อยนะ” ผมบอกกับแก้มใส ซึ่งเธอก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอย่างเขินอาย “แก้มเป็นแฟนพี่แล้วนะ เข้าใจไหม” แก้มใสพยักหน้างึก ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาคุยกับผม “ถ้ายังเอาแต่ก้มหน้าอยู่ พี่ไม่เกรงใจล่ะนะ” “เข้าใจแล้วค่ะ!” แก้มใสรีบเงยหน้าขึ้นมาตอบทันที และพอรู้ตัวว่าเผลอสบตากับผมเข้าเธอก็รีบเบือนหน้าหนีอย่างเขินอาย “เดี๋ยวพี่เปลี่ยนกางเกงแป๊บนะ” “งั้นแก้มไปรอด้านนอกนะคะ” “ครับ” ใจจริงก็อยากให้แก้มใสอยู่ตอนผมเปลี่ยนกางเกงด้วยแหละ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เธอตกใจซะเปล่าๆ ให้เธอได้พักหายใจหายคอสักหน่อย เดี๋ยวจะหัวใจวายไปซะก่อน เมื่อแต่งตัวเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นแก้มใสนั่งรออยู่ที่โซฟาจึงเดินเข้าไปนั่งลงข้างร่างบางทันที “มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามขึ้นเมื่อแก้มใสดูลุกลี้ลุกลนเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ผมจึงยกแขนหนาพาดไหล่บางโอบเอาไว้อย่างหลวมๆ “เงินค่าจ้างวันนี้ไม่ต้องจ่ายแก้มหรอกนะคะ พรุ่งนี้เงินที่แก้มทำงานพิเศษที่ร้านพี่มิรินก็จะออกแล้ว แก้มจะรีบเอามาให้พี่ไบค์นะ” ที่แท้ก็เรื่องเงินนี่เอง ผมรู้ว่าแก้มใสเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีของตัวเองมาก ผมถึงได้ใช้พี่ร็อกกี้เป็นสะพานในการจ้างแก้มใสมาทำงาน เพราะรู้ดีว่า คนอย่างแก้มใสไม่มีทางรับเงินของใครไปฟรี ๆ แน่ “ไปลาออกซะ” แก้มใสขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “ทำไมคะ?” “แล้วก็ไม่ต้องไปทำงานพิเศษที่ไหนแล้วด้วย” “ถ้าแก้มไม่ทำแล้วแก้มจะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ล่ะคะ อีกอย่าง ที่แก้มทำงานพิเศษเพราะแก้มอยากช่วยเบาภาระของแม่ด้วย” “ก็มาทำที่นี่สิ” เข้าทางผมล่ะ นี่ก็คือแผนนึ่งที่จะทำให้แก้มใสมาอยู่ใกล้ๆ โดยที่เธอไม่อาจสงสัยได้ “ทำอะไรคะ” “ก็มาคอยดูแลพี่ไง” ผมยกยิ้มหวานให้แก้มใสทันที “ไม่ค่ะ” “พี่ล้อเล่นน่า พี่กำลังหาแม่บ้านที่ขยัน ๆ สักคนมาคอยทำความสะอาดห้องทำงานของพี่ ก็แค่นั้นเอง” ผมรีบเสนองานอย่างเนียนๆ ที่จริง ผมมีแม่บ้านประจำอยู่แล้วล่ะ แต่ผมอยากได้คนที่พิเศษกว่านั้นดิ “แล้ว...ต้องทำอะไรบ้างคะ” และมันก็เป็นไปตามคาด เพราะแก้มใสแสดงท่าทีสนใจ “ก็แค่มาคอยทำความสะอาดและดูแลความเรียบร้อยห้องนี้ก็พอแล้วล่ะ” “แค่ห้องนี้เหรอคะ?” แก้มใสแสดงสีหน้างงเล็กน้อย “ใช่ เพราะพี่ไม่ชอบให้ใครที่ไม่รู้จักเข้ามาวุ่นวายในห้องทำงานของพี่นะ” ผมแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างเนียนๆ เพื่อให้ดูสมจริงขึ้นไปอีก “ห้องนี้ก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าเป็นห่วงเลยนี่ค่ะ” แก้มใสใช้สายตามองไปโดยรอบอย่างพิจารณา “เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ไปลาออกจากงานพิเศษทุกที่เลยนะ” ผมรีบตัดบทก่อนที่จะโดนแก้มใสจับแผนอันชั่วร้ายของผมได้ “พรุ่งนี้เลยเหรอคะ” “ใช่ เดี๋ยวพี่พาไปเอง” “ว้า...ขาดรายได้เพิ่มเลยอะ” แก้มใสแสดงสีหน้าเซ็งเล็กน้อย “มันจะได้สักเท่าไหร่กันเชียว ไหนบอกมาสิ ว่าได้เท่าไรจากงานพิเศษ เดี๋ยวพี่จ่ายชดเชยให้หมดเลย” ด้วยอารมณ์แอบเคืองคนตัวเล็กนิดๆ จึงทำให้ผมเผลอพูดมากเป็นพิเศษ ตากลมโตมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มขำขัน “รายได้ของแก้มเยอะอยู่น่า... จ่ายไหวเหรอ” แก้มใสทำตาบ๊องแบ๊วใส่อย่างน่ารัก มันทำให้ใจของผมเต้นรัวแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ผมแพ้สายตาแบบนี้จนได้สิน่า... “เยอะแค่ไหนก็ไหวครับ ให้ไปสู่ขอตอนนี้ก็ยังได้เลย” ฉันนั่งอึ้งไปสิบวิ ก่อนสติจะค่อยๆ กลับคืนมา จู่ ๆ ก็พูดนอกเรื่องซะงั้น คนบ้าเอ๊ย... “เกี่ยวกันไหมนั่น” ฉันยกมือขึ้นมาทัดผมไว้ที่หลังหูอย่างแก้เก้อ “อยากให้เกี่ยว ก็ยอมให้พี่ไปสู่ขอสิ” พี่บิ๊กไบค์โน้มหน้าลงมากระซิบชิดริมหู ฉันนี่ขยับหน้าหนีแทบไม่ทัน “พอเลย พูดบ้าอยู่ได้” ฉันยกมือขึ้นดันใบหน้าคมให้ออกห่างตัว เผลอให้อยู่ใกล้ไม่ได้เลย คนอย่างพี่บิ๊กไบค์เนี่ย เจ้าเล่ห์เป็นที่หนึ่ง “พี่พูดจริงๆ นะ” พี่บิ๊กไบค์ยังไม่หยุดพูดจาหยดฉันอีก “แก้มอยากกลับบ้านแล้ว” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเลย ไม่อยากโดนเขารุกหนักไปมากกว่านี้ “โอเคครับ ปะ” พี่บิ๊กไบค์ยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะยื่นมือหนามาตรงหน้าเพื่อให้ฉันจับมือเขาลุกขึ้น ฉันไม่มีความลังเลอะไรอีกแล้วจึงยื่นมือบางวางบนมือหนา นิ้วเรียวที่ใหญ่และยาวกว่าฉันสอดประสานเข้ากับนิ้วมือทั้งห้าของฉันทันที นี่แค่จับมือเองนะ ทำไมหัวใจของฉันมันต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วย หนึ่งเดือนที่ผ่านมา มันทำให้ฉันได้รู้ว่า...ในช่วงเวลาที่ไม่มีพี่บิ๊กไบค์มันอ้างว้างเพียงใด ฉันเฝ้าบอกตัวเองว่าดีแล้ว ที่เขาไม่มาวุ่นวายกับฉันอีก แต่ลึกๆ แล้วนั้น ฉันกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย ฉันแอบมองหาเขาอยู่ทุกวันและก็แอบหวังว่าเขาจะยังรู้สึกกับฉันเหมือนเดิม ฉันแอบโทษตัวเองอยู่ในใจที่ไม่ยอมอธิบายเรื่องเทนให้เขาฟังตั้งแต่แรก แต่ส่วนหนึ่งมันก็สับสนอยู่ว่า...เราเป็นอะไรกัน ถึงต้องอธิบายให้เขาเข้าใจด้วย แต่ในวันนี้ ฉันไม่สนเหตุผลอะไรอีกแล้ว ฉันรู้แล้วว่า พี่บิ๊กไบค์มีอิทธิพลต่อหัวใจฉันแค่ไหน เพราะฉันแคร์ความรู้สึกของเขา พอเดินออกมาจากห้องทำงานของพี่บิ๊กไบค์ ก็เจอกับทีมงานที่ฉันเห็นตอนอยู่ที่สนามแข่ง พวกเขาอยู่ที่นี่กันหมดเลย แต่ไม่ยักจะเห็นเทนเลยเหะ “เสร็จแล้วเหรอเฮีย” แล้วเราสองคนก็โดนปอร์เช่กวนประสาทด้วยคำพูดของเขา “อื้อ” ฉันหันขวับไปมองหน้าพี่บิ๊กไบค์อย่างไม่เข้าใจ เขาควรจะอธิบายสิ ว่าเราไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ปอร์เช่คิด การที่พี่บิ๊กไบค์ตอบสั้นๆ แค่ ‘อื้อ’ นี่มันเท่ากับว่าเขายอมรับนะสิ “ไม่มีอะไรนะ!” เมื่อพี่บิ๊กไบค์ไม่ยอมอธิบาย ฉันจำต้องเอ่ยปากพูดเอง “อะไรเหรอครับคนสวย” ปอร์เช่หันมายิ้มหวานจนตาหยีให้ฉัน ฉันไม่ค่อยชอบรอยยิ้มแบบนี้ของปอร์เช่เลย เพราะเหมือนว่าเขาไม่เชื่อที่ฉันพูด “ชั่งเถอะ” ป่วยการที่จะอธิบาย เพราะพูดให้ตายก็ไม่มีใครเชื่อฉันหรอก ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างฉันก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ “จะยืนยิ้มอีกนานไหมคะ ทำไมไม่พูดอะไรบ้าง” ฉันกระตุกมือหนาที่จับกันอยู่หนึ่งที แสดงความไม่พอใจที่พี่บิ๊กไบค์เอาแต่ยืนยิ้มอยู่ลูกเดียว ปล่อยให้น้องเขาคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว “อะ แฮ่ม! นี่ ทุกคน เฮียมีเรื่องจะบอก” เมื่อโดนฉันดุด้วยสายตา พี่บิ๊กไบค์จึงหันไปพูดกับน้อง ๆ ในอู่ของเขา ก่อนจะหันกลับมามองหน้าฉันด้วยรอยยิ้มแสนหวานพร้อมกับยกมือที่กุมกันไว้อยู่ขึ้นไปแนบอกของเขา “นี่แก้มใส เมียเฮียเอง”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม