ปริวัตร ชื่อนี้อรอุษาไม่มีวันลืม เขาคือผู้ชายคนเดียวที่เธอไม่มีวันเอื้อมถึง...ฟ้ากับเหว ต่างกันยังไงคงไม่ต้องบรรยาย เธอคือเหว ส่วนปริวัตร เขาคือท้องฟ้า...โลกทั้งใบของหญิงกำพร้าแทบถล่มทลาย ในวันที่รู้ว่าร่างกายตนเอง ผิดปกติ เธอท้อง
คฤหาสน์หลังใหญ่ รั้วรอบขอบชิด กำแพงสูงตระหง่านกั้นขวางทางรักที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง อรอุษาเก็บผ้ายัดใส่กระเป๋า จำใจจากที่คุ้มหัว ด้วยน้ำตาท่วมใจ เธออยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว หากมีใครสักคนล่วงรู้ ความลับ เธอจะกลายเป็นคนเนรคุณทันที
โฉมฉายทอดสายตามองสาวรุ่นที่นางอุปการะไว้ด้วยดวงตาเฉยชา ร่างผอมบางหมอบอยู่แทบเท้าด้วยท่าทางสำรวม หน้าก้มต่ำ จนนางมองไม่เห็นแววตาเศร้าสร้อยของหญิงผู้นั้นเหมือนเคย ประมุข ‘เทพศิริ’ ถอนใจแรงๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงเย็นเฉียบ “หล่อนแน่ใจนะแม่อุษา ออกไปจากที่นี่ หล่อนจะย้อนกลับมาไม่ได้อีกแล้วนะ”
อรอุษาโตเกินกว่าที่ท่านจะต้องอุ้มชูเหมือนเก่า เสียดายแค่คนรองมือรองเท้ารู้ใจจริงๆ จะต้องระเห็จออกไปอยู่ด้านนอก
อรอุษาเงยหน้าขึ้น ฝืนยิ้มเซียวๆ ให้ประมุขเฒ่า “ค่ะ”
“ปีกกล้าขาแข้งแล้วรึ หล่อนถึงได้อยากออกไปอยู่ข้างนอกนั่น” ท่านกล่าวประชด เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่ยังเด็ก โตพอจะใช้งานใช้การได้ ก็เสนอหน้ามาขอชีวิตของตัวเอง โดยลืมเรื่องบุญคุณ
“อุษากราบขออภัยคุณท่านเจ้าค่ะ งานที่อุษารับผิดชอบ ต้องโยกย้ายไปตามคำสั่ง อุษาขัดไม่ได้จริงๆ”
อรอุษาจบพยาบาล เธอทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง นั่นเป็นข้ออ้างที่อรอุษาคิดออกในเวลาสั้นๆ เธอยอมเป็นคนอกตัญญู ดีกว่ากลายเป็นคนเนรคุณ หากความลับที่ตนเองปกปิดไว้ เปิดเผยให้คนในเทพศิริทุกคนรับรู้
“หากฉันใจร้ายสักนิด ฉันคงบอกให้หล่อนลาออก มาดูแลฉันโดยเฉพาะ” โฉมฉายกล่าวเสียงแข็งกร้าว ปลายตามองอรอุษาซ้ำ “แต่ไม่จำเป็นหรอก หัวใจหล่อนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว อยากไปไหนก็ไปเถอะ”
สาวอาภัพก้มลงกราบ น้ำตาหยดลงบนพื้นพรม เธอรีบยกมือกรีดรอยน้ำตา ฝืนเงยหน้ายิ้มเซียวๆ ให้ เมื่อประมุขผู้สูงวัยโบกมือไล่ อรอุษาคลานเข่าออกไปนอกห้อง เธอผ่อนลมหายใจยาวๆ ยกมือลูบไปบนแผ่นท้องแบนราบ “จากนี้ไป คงมีแค่ ‘เรา’ สองคนแล้วสินะ” เธอบอกกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังเติบโตในครรภ์ของตนเอง ก้มหน้าเดินออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เป็นที่ซุกหัวนอนมานานหลายปี