เมียลับยอดรัก บทที่2.

1502 คำ
“ถึงไม่หิวก็ต้องกิน อุษาไม่ได้ตัวคนเดียวนะ ไอ้ตัวเล็กในท้องคงหิว” หมอหนุ่มทรุดนั่ง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เหม่อมองไปที่ถนนหน้าสถานีขณะที่เอ่ยแนะนำ “ค่ะ...” หญิงสาวรับคำ และลงมือทำงานต่อ “ช่วงบ่ายพี่จะออกไปเยี่ยมคนป่วยบนดอยนะ...อุษาอยู่เฝ้าสถานีนี่แหละ” การเดินทางค่อนข้างทลักทุเล ภูมิภัทรเลยไม่อยากให้อรอุษาไปด้วย เขาเกรงว่าจะกระเทือนถึงลูกน้อยในครรภ์ของหล่อนนั่นเอง “อุษาอยากไปด้วยจัง” หญิงสาวบ่น ทำหน้าย่นยู่ หมอหนุ่มหัวเราะร่วน “อยากไปเที่ยวล่ะสิ...เอาไว้หลังคลอดค่อยไป ยังไงอุษาก็อยู่ที่นี่อีกนาน” ภูมิภัทรปราม เขารู้ดีว่าอรอุษาแกร่งพอที่จะตะลอนๆ ไปกับเขาได้ทุกที่ แต่ขอเป็นช่วงที่หล่อนพร้อมกว่านี้ดีกว่า หญิงสาวยิ้มรับ เธอสบายใจขึ้น หลังเศร้าตรมอยู่เป็นเดือน บรรยากาศและสังคมที่เปลี่ยนไป ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่เคยลบเงาของ...ปริวัตร ออกไปจากใจได้เลยสักนาที ชายหนุ่มเป็น ‘รักแรก’ เป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอเทิดทูน เธอรู้ดีว่าตนเองไม่คู่ควรกับคนอย่างเขา เมื่อชายหนุ่มเป็นทายาท ‘เทพศิริ’ เป็นว่าที่ประธาน สืบต่ออำนาจจากโฉมฉายโดยตรง เนื่องจากเขาเป็นหลานรัก และมีแววว่าจะเป็นนักธุรกิจใหญ่ได้เป็นอย่างดี แต่...เธอเป็นแค่เด็กกำพร้า เด็กกำพร้าที่พึ่งพาใบบุญของเทพศิริ เธอไม่มีตัวตน เป็นแค่คนในบ้านไม่ต่างอะไรกับเด็กรับใช้ ดีหน่อยที่โฉมฉายเมตตา ส่งเสียให้ร่ำเรียน มีวิชาชีพติดตัว อรอุษาเลยไม่อาจที่จะปริปาก เรียกร้องสิ่งที่ตนเองควรได้ เธอเก็บงำความลับไว้ และจากมา แบบจำใจ หญิงสาววางมือบนแผ่นท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา แรงเต้นของหัวใจอีกดวงทำให้อรอุษาน้ำตาคลอ หากถามหาคนผิด...เธอผิดเอง อรอุษาไม่โทษใคร เธอไม่เจียมตัว ไม่เจียมใจ เผยอไปรักคนที่ไม่อาจเอื้อม หญิงสาวสัญญา เธอจะทดแทนสิ่งที่ ‘ลูก’ ควรได้ให้ครบถ้วน โดยไม่คิดจะข้องแวะกับคนใน ‘เทพศิริ’ ลูกจะรู้ว่ามีเธอเป็นแม่ แต่บิดาของเขานั้น ต้องเป็นความลับ “พี่ไปหล่ะ” หลังตรวจงานจนครบ ไม่มีคนป่วยหลงเหลืออยู่ ภูมิภัทรฉวยร่วมยาสะพายไว้ที่หัวไหล่ ก่อนจะเดินลงไปจากสถานีอนามัยเพื่อไปเยี่ยมคนป่วยที่ไม่สามารถมาหาหมอที่สถานีอนามัยได้ อรอุษาทรงตัวลุกขึ้นยืน เธอคงต้องหาอะไรใส่ท้อง เพราะแรงกระตุ้นจากคนที่นอนสงบในท้อง เตือนหลายครั้งแล้ว ความสงบเงียบรอบตัว ชาวบ้านให้ความรัก เธอไม่ต้องเก็บงำสีหน้า สามารถแสดงออกได้เต็มที่ มีความสุขจริงๆ จังๆ เหมือนคนอื่นสักที กับข้าวง่ายๆ ที่ช่วยให้อิ่มท้อง มีสารอาหารครับครัน และปลอดสารพิษร้อยเปอร์เซ็น น้ำพริกผักต้ม กับปลาย่างที่ชาวบ้านเอามาฝาก อาหารหนึ่งมื้อ มีสารอาหารครบทุกหมู่ แถมบรรยากาศรอบตัวช่วยให้ความเศร้าซึมที่เกาะกุมอยู่ ค่อยๆ จางหายไป แต่ก็มีเป็นบางครั้งที่อรอุษาแว๊บคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่คฤหาสน์เทพศิริ เธอเคยเป็นคนรองมือ รองเท้าของโฉมฉาย คอยรับใช้อำนวยความสะดวกให้ประมุขของบ้าน ตอบแทนข้าวแดงแกงร้อนที่รินรดศีรษะมาตั้งแต่เด็กๆ อรอุษาผ่อนลมหายใจยาวๆ ก้มหน้ากินอาหารมื้อนั้น และพยายามสุดหัวใจที่จะ...ลืม อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ทุกสิ่งที่ติดค้างอยู่ในความทรงจำคือสิ่งมีค่า อรอุษาขอจดจำแต่สิ่งที่ทำให้ตนเองมีความสุข อะไรก็ตามที่ทำให้จิตใจหดหู่ เธอขอ...ลืม ความรักที่เคยใช้ปลอบใจตนเอง คือคำลวงที่ใช้สำหรับปลอบขวัญ เพื่อให้คลายความเศร้า ชายผู้นั้นไม่ได้รักเธอหรอก ปริวัตรแค่หวังเสพสม เขาต้องการแค่เรือนกายของเธอเพื่อสนองอารมณ์หนุ่ม เธอเป็นแค่ผู้หญิงใกล้มือ ที่ไม่มีวันทรยศเขา เมื่อมีคำว่าบุญคุณ ค้ำคอ กว่าจะละเลียดอาหารมื้อนั้นหมด อรอุษายกมือปาดน้ำตาไม่รู้กี่ครั้ง คนอาภัพอย่างเธอ มีเพียงน้ำตาเป็นเพื่อน ความเจ็บช้ำที่แบกไว้ เกือบทำให้ตนเองหมดกำลังใจ ดีทว่า...เธอยังมีของขวัญสำคัญเชิดชูกำลังใจเอาไว้ นับจากนี้...ระหว่างตนเองกับคนใน ‘เทพศิริ’ คงเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้า เมื่อเธอมีความลับที่ต้องซุกซ่อนไว้ อรอุษา พยายามทุกวิถีทางที่จะลบความทรงจำที่เจ็บปวดออกไปจากใจ แต่บาดแผลก็ยังคงเหลืออยู่ กลายเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลบออก เมื่อมันมีทั้งความสุข และความเศร้าคละเคล้า ปนเปกันอยู่ 5ปีผ่านไป… เวลาเดินไวเหมือนลมพัด ปริวัตรเดินทางกลับบ้านเกิด พร้อมกับพกพาความสำเร็จกลับมาให้คนในเทพศิริภูมิใจ ปริญญาโท.เกีรยตินิยมอันดับ1 คะแนนเฉลี่ยมากเป็นประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีนักเรียนไทยคนไหนทำคะแนนได้เยอะเท่ากับที่ปริวัตรเพิ่งทำไว้ เขาถูกกล่าวขานตั้งแต่ตัวยังไม่ได้เดินทางกลับมา หนังสือพิมพ์ประโคมข่าว เชิดชูว่าชายหนุ่มเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่ง คนในเทพศิริยิ้มปราบปลื้ม โดยเฉพาะโฉมฉาย นางเตรียมพร้อมที่จะยกบัลลังก์ที่ตนเองกุมอำนาจไว้ ส่งต่อให้หลานชายคนเดียว เที่ยวบินเดินทางจากลอนดอน ถึงประเทศไทยเวลา2:00 นาฬิกา การเดินทางยาวนานสิ้นสุดลง พร้อมกับการปรากฏตัวของทายาทเทพศิริ ร่างสูงใหญ่เดินผ่านเกรทสายการบินนอกประเทศออกมา ขนาดปริวัตรเลือกเวลาที่ค่อนข้างดึก แต่นักข่าวจากสื่อสิ่งพิมพ์หลายเจ้าก็ยังสู้อุตส่าห์รอ ทันทีที่ชายหนุ่มโผล่หน้าออกมาให้คนที่รอเห็น แสงแพลชก็สว่างวาบๆ ขึ้นทันทีเช่นกัน ปริวัตรแอบเบ้ปาก เขาถอนใจแรงๆ กับการถูกคุกคามที่ตนเองไม่เต็มใจ โฉมฉายสั่งการ์ดให้จัดการกันเหยี่ยวข่าวออกไป ก่อนที่หลานชายจะอารมณ์เสีย เหยี่ยวข่าวหัวเห็ดยอมถอย ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวผู้ชายหน้าดุที่เข้ามาทำท่าดุดันใส่ แต่เพราะเขาได้ภาพที่จะไปขยายความมากพอแล้ว “ไม่เอาน่า เพิ่งกลับมาถึง อย่าอารมณ์เสียไปเลย” โฉมฉายกล่าวปลอบขวัญปริวัตร หลังนางยกมือรับไหว้หลานชายเสร็จแล้ว “มันน่าเบื่อนะครับคุณย่า ผมแค่คนธรรมดาไม่ใช่คนดังอะไรเลย ตามจิกเสียจนผมประสาทเสีย” ชายหนุ่มหันไปสวมกอดมารดา แต่ก็ไม่วายบ่นอุบ วรรณนายกมือลูบแผ่นหลังของบุตรชาย นางพูดเสียงสั่นๆ น้ำตาคลอหน่วยตา “เราดังกว่านักร้องบางคนตอนนี้อีกนะตาวัตร” “ใช่...แกถูกกล่าวถึงตั้งแต่ข่าวจากลอนดอนส่งมาแล้ว” ผลการเรียนอันเยี่ยมยอดของปริวัตร ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนสนใจชายหนุ่มขึ้นมา “มีหลายคนได้ผลการเรียนดีกว่าผมเสียอีก” ชายหนุ่มไม่ได้ถ่อมตน เขาพูดความจริง “หลายคนที่แกว่า ไม่ใช่คนไทยนี่หว่า” ประเมินกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง “กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ ตาวัตรอาจจะเพลีย” ประมุขเฒ่าบ้านเทพศิริพูดตัดบท นางเดินนำ มีขบวนย่อมๆ เดินตาม แต่ทุกคนมีรอยยิ้มเต็มหน้า มีความสุขกับความสำเร็จที่ปริวัตรนำกลับมาด้วย “คิดถึงกับข้าวฝีมือยายชุ่มมากเลยครับคุณย่า” ชายหนุ่มเปรย หลังขึ้นไปนั่งบนรถยนต์คันใหญ่ที่บรรทุกสมาชิกเทพศิริได้ครบทุกคน และกำลังเดินทางมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์หลังโต “แกอยากกินอะไรหล่ะ ฉันจะได้ให้ยายชุ่มจัดการไว้ให้” โฉมฉายยิ้มกริ่ม ตอนที่ตอบหลานชาย “อะไรก็ได้ครับ ยายชุ่มทำอร่อยทุกอย่าง” ชายหนุ่มตอบเสียงอ้อแอ้ เขาตื่นเต้นจนนอนหลับๆ ตื่นๆ บนเครื่องบินพอได้เหยียบแผ่นดินเกิดเข้าจริงๆ ความง่วงจึงเข้าครอบงำ “ปล่อยตาวัตรนอน อย่าไปกวนล่ะ” เสียงแข็งๆ ปรามทั้งบุตรชาย และสะใภ้ เมื่อทั้งสองคนทำท่าเหมือนจะชวนปริวัตรคุย ประเมินกับวรรณนาจึงจำใจสงบปาก สงบคำเพราะมันคือคำสั่ง ไม่ใช่การขอร้องของคนเป็นแม่ ระยะทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิถึงคฤหาสน์เทพศิริ ไม่ไกลก็จริงๆ แต่การจราจรบนถนนในย่านธุรกิจ ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ ยวนยานแห่แหนมาวิ่งเล่นกันแน่นท้องถนน กว่าจะขยับได้แต่ละครั้งกินเวลานานหลายนาที ดังนั้น คนขับรถยนต์ในเมืองใหญ่ๆ จึงต้องพยายามฝึกความอดทน ไม่ให้เป็นคนโมโหง่าย เนื่องจากการต้องทนอยู่บนถนนที่มีแต่รถยนต์ มันทำให้สุขภาพจิตเสียไม่น้อย “หากรัฐบาลแก้ปัญหารถติดได้สักหน่อย กรุงเทพฯ คงน่าอยู่ขึ้น”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม