ขบวนเดินทางของหวังเว่ยซินเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อตะวันคล้อยบ่ายก็มาถึงประตูเมืองหลงไป๋ หัวหน้าลู่เมิงผู้นำในการเดินทางครั้งนี้ ควบม้ามาใกล้รถม้าแล้วเอ่ยขึ้น
“คุณหนูหวังขอรับ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าเมืองหลงไป๋ อีกประมาณสองเค่อ ก็จะถึงหมู่บ้านอี้จือ”
หวังเว่ยซินได้ยินเช่นนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น ชโงกหัวออกมาเล็กน้อยพูดขึ้น “รบกวนท่านลู่ให้คนไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมสักสามห้องให้ข้า ด้วยคืนนี้เราจะพักในตัวเมือง..และช่วยพาไปยังร้านอาภรณ์กับเครื่องประดับเสียก่อน”
ลู่เมิ่งเอ่ยตอบ “ขอรับ..ข้าจะให้คนไปจัดการตอนนี้”
เห็นอีกฝ่ายไม่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยถาม หวังเว่ยซินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้าม่านลง พอจะต้องเจอกับครอบครัวของเจ้าของร่างนางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เตือนสติตนเอง ต้องอดทนให้มากจุดประสงค์ของนางคือมารับมารดากับน้องชายไปอยู่ด้วย ห้ามทำให้มากเรื่องเด็ดขาด แต่ว่าจะกลับแบบธรรมดาก็ดูจะง่ายไป
รถม้าหยุดอยู่ร้านผ้าแพรร้านที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเข้าไปในร้านหวังเว่ยซินก็เอ่ยบอกสิ่งที่ตนเองต้องการทันที
“ข้าต้องการอาภรณ์ใหม่พร้อมเครื่องประดับที่หรูหราที่สุด และรบกวนท่านช่วยหาคนแต่งกายให้ข้าจะได้หรือไม่” เถ้าแก่ของร้านมองหวังเว่ยซินอย่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบรับปาก “ได้ ๆ ขอรับ คุณหนูรบกวนรอสักครู่ เด็ก ๆ พาคุณหนูไปยังห้องรับรอง ..โจวชุนไปเชิญฮูหยินมาตอนนี้”
หวังเว่ยซินยิ้มที่มุมปาก ที่ไหนก็ขอมีเงินก็เป็นเรื่องง่าย นางหันไปบอกลู่เมิง “ท่านลู่ ไม่ต้องตามข้าไปรอข้าที่รถม้าเถิด”
ใบหน้าลู่เมิ่งยังคงสุขุมยกมือประสาน “ขอรับ”
ลู่เมิ่งจอดรถม้ารอหวังเว่ยซินอยู่หน้าร้านแพรประมาณครึ่งชั่วยามเด็กสาวถึงปรากฏกาย เดิมหวังเว่ยซินก็งดงามอยู่แล้วเมื่อสวมอาภรณ์เครื่องประดับยิ่งขับให้นางดูสูงส่ง ทว่าภายในใจลู่เมิ่งกลับรู้สึกเอ็นดูเพราะรอยยิ้มอ่อนใจดูท่านางน่าจะเหนื่อยกับการแต่งกายไม่น้อย
หวังเว่ยซินไม่รู้เลย ว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีผู้ใดถูกสบสายตาจะไม่หวั่นไหว ลู่เมิ่งที่จิตใจมั่นใจยังรู้สึกสั่นสะท้าน เขายิ้มตอบเล็กน้อยหันไปมองเด็กสาวที่อยู่ข้างกายหวังเว่ยซินมากกว่าคนจำนวนหนึ่งกำลังทั้งหอบของและหีบขนาดใหญ่สองสามหีบ
“เด็กคนนี้ ข้าว่าจ้างเป็นบ่าวรับใช้ชั่วคราว”
หวังเว่ยซินอธิบาย ลู่เมิ่งยังคงประหยัดวาจา เขาไม่เอ่ยถามเหตุผลเช่นเคย แม้ท่าทางของหญิงรับใช้คนนั้นจะดูผิดแปลก
“ขอรับ...เชิญคุณหนูขึ้นรถม้า”
เส้นทางเข้าหมู่บ้าน ค่อนข้างขรุขระรถม้าเคลื่อนสั่นไหวไปมา หวังเว่ยซินแทบอยากจะออกไปควบขี้ม้าแทน รถม้าคันใหญ่หรูหราเข้ามาในหมู่บ้านก็ดึงดูดสายตาของคนในหมู่บ้านทันที
“นั่นใครกัน คนต่างถิ่นหลงทางเข้ามาหรือ”
สตรีชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้น สตรีอีกคนหรี่ตามองเห็นบุรุษที่นำขบวนมีบุคลิกองอาจดูล่ำซำ เอ่ยพูดพร้อมก้าวฝีเท้าออกไป
“เอะ...ข้าจะสอบถามเสียหน่อยเผื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ”
ขบวนเดินทางยังเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ลู่เมิ่งเห็นสตรีคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาจึงชำเลืองมอง สตรีคนนั้นเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มแป้นอย่างยินดีเอ่ยถามขึ้น
“ท่านผู้สูงศักดิ์กำลังจะไปที่ใดหรือ ให้ข้าช่วยนำทางหรือไม่”
หวังเว่ยซินได้ยินเสียงคุ้นเคย แต่ไม่ได้เปิดผ้าม่านออกมา ได้ยินเสียงลู่เมิงตอบกลับไป
“เรียนแม่นาง ข้ากำลังจะไปตระกูลหวัง/ ..อ่า..นั่นมันตระกูลของข้า ท่านตามข้ามาเลย” ลู่เมิงยังเอ่ยไม่เต็มประโยคสตรีผู้นั้นก็โพล่งพูดแทรกขึ้น
คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงของหวังหนิงและเห็นขบวนเดินทางที่ดูยิ่งใหญ่ก็ต่างเริ่มให้ความสนใจ ทำให้หวังหนิงยิ่งได้ใจเอ่ยพูดเสียงดัง
“ท่านผู้สูงศักดิ์คงเป็นสหายของน้องชายข้ากระมัง เช่นนั้นตามข้ามาเถิด ข้าจะนำทางพวกท่านเอง”
ลู่เมิงปรายสายตามองในรถม้า เห็นว่าผ้าม่านยังไม่คงนิ่งไม่ไหวติง แสดงว่ายินยอมให้สตรีผู้นี้นำทาง จึงหันมาประสานมือตอบ “รบกวนแม่นางด้วย”
หวังเว่ยซินที่อยู่ในรถม้าได้ยินเสียงพูดคุยกระซิบข้างนอก พวกเขาต่างคาดเดาบุคคลในรถม้าในหลากหลายรูปแบบ และด้วยความสนใจและใคร่รู้ คนที่เดินตามรถม้าก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงประตูเรือนสกุลหวัง
“ท่านแม่ ท่านแม่...มีผู้สูงศักดิ์มาเยือนเจ้าค่ะ” เสียงหวังหนิงตะโกนโหวกเหวก ทั้งหวังเรียกคนข้างในและคนที่อยู่ล้อมรอบได้ยิน
กระนั้นหวังเว่ยซินก็ยังไม่ออกมาจากรถม้า
แอ๊ด...เสียงประตูดังขึ้น หวังหนิงเห็นมีสตรีผู้หนึ่งโผล่หน้าออกมา ก็รีบพูดขึ้นน้ำเสียงร้อนรน “พี่สะใภ้...ท่านรีบไปตามท่านแม่กับท่านพ่อมาต้อนรับเดี๋ยวนี้” สตรีผู้นั้นเบิกตากว้างมองคนเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง รถม้าคันใหญ่หรูหราและคนคุ้มกันนั่งอยู่บนหลังม้าช่างองอาจข่มขวัญ ทำให้นางเชื่ออย่างสนิทใจ รีบกลับเข้าไปในทันที
สักพักก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมา นำหน้าด้วยหวังจงกับหวังฮูหยินพวกเขาไม่เอ่ยถามที่มาที่ไปก็รีบพากันคุกเข่า หวังจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นท่วงตาดุจดั่งนักปราชญ์
“ข้าหวังจง คารวะผู้สูงศักดิ์”
หวังเว่ยซินอดทนอดกลั้น ไม่หลุดเสียงหัวเราะออกไป นางยืนมือออกไป คนข้างนอกที่กำลังจ้องมองรถม้าเป็นตาเดียวมือขาวเนียนหมดจดโผล่พ้นออกมา แม้ยังไม่เปิดเผยโฉม นิ้วมือเรียวยาวงดงามนั่นก็สะกดตรึงจิตผู้คนไปกว่าครึ่งใจ พวกเขาต่างพากันจินตนาการถึงรูปโฉมอย่างใจจดใจจอ
บ่าวรับใช้ยืนมือไปให้หวังเว่ยซินจับ นางโค้งศีรษะปิ่นหยกระย้างดงามโผล่ออกมา ยิ่งกระตุ้นให้ทุกคนตื่นเต้น ลืมหายใจไปชั่วขณะ ทว่าเมื่อนางเงยหน้าขึ้นยืนอย่างมั่นคงก็มีเด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“นั่นมัน...พี่เว่ยซินนี่น่า”
ทุกคนต่างกระพริบตาถี่ ดูให้ชัดเจนอีกครั้ง แม้เด็กสาวตรงหน้าจะงดงามสะคราญแต่งกายด้วยผ้าไหมราคาแพงสวมเครื่องประดับล้ำค่า ใบหน้าเฉิดฉายเย็นชาแต่ใบหน้านั้นพวกเขาต่างคุ้นเคยดี จึงมีเสียงเอ่ยขึ้น
“อ่า...แม่หนูเว่ยซินจริง ๆ ด้วย”
หวังจงที่กำลังคุกเข่าอยู่ รีบเงยหน้าขึ้นมามองดูเขาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“คริ คริ...” เสียงหัวเราะดังกังวานอย่างไพเราะเสนาะหู ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มหัวเราะการกระทำของคนสกุลหวัง หวังเว่ยซินยิ้มที่มุมปาก นับว่าการอดทนแต่งกายทรงเครื่องเป็นชั่วยามไม่เสียเปล่าจริง ๆ
แม่เฒ่าหวังรีบลุกขึ้นชี้หน้าด่าทอหวังเว่ยซินทันที “นังเด็กชั่วร้าย...แต่แกกล้าให้ปู่กับย่า คุกเข่าให้เชียวหรือ”
หวังเว่ยซินก้าวเดินออกไปข้างหน้า ทั่วกายเรือนร่างไม่มีกลิ่นอายเด็กสาวเมื่อวันวาน ทุกกริยาแฝงความเย่อหยิ่งราวคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งแววตาเย็นชาคู่นั้นที่จ้องมองมาทำให้แม่เฒ่าหวังเผลอถอยหลังหนี
“ข้ามิได้บอกให้พวกท่านคุกเข่าเสียหน่อย เป็นพวกท่านที่กระทำเองคิดไปเอง” ขณะที่พูดหวังเว่ยซินก็กวาดตามองทุกคน นางยอมรับจากใจคนสกุลหวังล้วนมีใบหน้างดงามหมดจน ท่วงท่ากลิ่นอายคล้ายตระกูลใหญ่อยู่บ้าง มิน่าถึงหลอกผู้คนว่าตนเองเป็นคนมีศีลธรรมได้
ทว่าไม่มีมารดากับน้องชายของนางในกลุ่มนี้ แน่นอนล่ะ เรื่องดี ๆ พวกเขาไม่มีทางได้โผล่หน้าออกมา นางปรายสายตามองฮูหยินเฒ่าแล้วพูดขึ้น
“...อ่า...นี้ท่านหายป่วยแล้วหรือ..แล้วตอนนี้มารดากับน้องชายข้าอยู่ที่ใด” น้ำเสียงที่เอ่ยถามแฝงความเย็นชา หวังจงพึ่งได้สติแต่ไม่ตอบคำถาม
“เว่ยซิน เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่” หวังเว่ยซินยิ้มที่มุมปาก
“นั่นสิ ข้าถูกพวกท่านขายไปแล้ว ควรจะอยู่หอนางโลมหรือเป็นบ่าวอุ่นเตียงในจวนขุนนาง ไม่ควรได้ออกมาเดินเพ่นพานสินะ” เสียงกระซิบพูดคุยเริ่มดังขึ้น
แม่เฒ่าหวังเดินออกมาเบื้องหน้า สำรวจหวังเว่ยซินดวงตาเป็นประกายขึ้นมาอย่างมีเลศนัย “นี่เจ้าคงโชคดี มีคนเลี้ยงดูสินะ...ข้าค่อนสบายใจหน่อย..”
นางเอามือทาบอก ท่าทางดุจดั่งหญิงชราอบอุ่นมีเมตตา ทำให้หวังเว่ยซินรู้สึกขยะแขยง รีบบอกปัดคนเหล่านี้ออก “ใช่และตอนนี้ข้ามิใช่คนสกุลหวังแล้ว...พวกเราไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
หวังหนิงเผยแววเจ็บปวดระคนละอายใจ เอ่ยขึ้น “หวังเว่ยซิน สกุลหวังจำใจขายเจ้าเพราะจำเป็นต้องใช้เงินรักษาท่านแม่ หลายวันที่ผ่านมาพวกข้าทุกคนล้วนอยู่ด้วยความทุกข์ใจ นี่ไม่ใช่เพราะเป็นเพราะความกตัญญูหรือหรือ ส่งผลให้เจ้าจะได้มีโอกาสได้สวมชุดอาภรณ์งดงามอย่างนี้...เช่นนี้เจ้ารีบคารวะขอบคุณและขอขมาท่านแม่เสีย”
ลู่เมิ่งคิ้วกระตุกเล็กน้อย นี่มันตระกะเพี้ยนอะไร หากไม่โง่เขลาผู้ใดก็มองออก รักษาอาการป่วยนั่นล้วนเป็นข้ออ้าง ขายหลานสาวให้กับพ่อค้าทาส ไม่ต่างอะไรกับส่งไปไม่มีทางมีชีวิตที่ดีได้ เหตุใดยังกล้าเสนอหน้าพูดทวงบุญคุณ
“ฮ่า ฮ่า...พวกท่านช่างหน้าไม่อายสม่ำเสมอเสียจริง”
หวังจงหน้าเขียวคล้ำ “นั่งเด็กสามหาว นี่เจ้ากล้าด่าทอสกุลเดิมตนเองขนาดนี้เชียวหรือ..ชีวิตนี้เจ้าอย่าหวังจะได้ดี” หวังเว่ยซินอยากด่าอีกหลายประโยค แต่นางคิดว่าเท่านี้พอแล้ว จึงเอ่ยน้ำเสียงกดดันอีกครั้ง
“มิต้องให้ท่านเป็นกังวล...ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน..ข้าถามว่ามารดาข้าอยู่ที่ใด” คนสกุลหวังต่างชำเลืองมองกันปรึกษากันผ่านสายตา ทำให้หวังเว่ยซินรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นางก้าวเท้าออกไปสีหน้าดุดันเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
เด็กน้อยคนเดิมที่เอ่ยพูดขึ้นเมื่อสักครู่จึงพูดขึ้น
“ท่านป้ามู่กับน้องอี้หยาง ย้ายออกไปแล้วขอรับตอนนี้พวกเขาพักอยู่เชิงเขาโน้น” หวังเว่ยซินผ่อนหายใจโล่งออก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เดินมานั่งเบื้องหน้าเด็กน้อย หยิบเงินออกมาถุงหนึ่งยื่นออกไป
“จี้เจิน..ข้าจ้างเจ้าเป็นผู้นำทาง...พาข้าไปหาท่านแม่ที”
จี้เจินเบิกตามองถุงเงินอย่างดีใจ
“ได้ ๆ พี่เว่ยซินตามข้ามาเลย”
คนสกุลหวังแม้ตอนนี้จะรู้สึกเสียหน้าแต่กระนั้นก็พากันเดินตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป