แสงจากบุหลันสาดส่องกลับมาอีกครั้งแล้ว...และตอนนี้มันกำลังส่องสว่างอยู่บนนภาลัย ในเวลายามรัตติกาลที่ตัวของฉันโปรดปรานมันอยู่เสมอ
ลมพัดเย็น ๆ กระทบที่ใบหน้าให้ฉันต้องกระชับผ้าคลุมไหล่ของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะยกเครื่องดื่มที่อยู่ในมือขึ้นจิบ ทั้งยังปล่อยใจไปกับสายลมเย็น ๆ พลางปล่อยความคิดให้ค่อย ๆ ไหลไปกับสายลมและบรรยากาศดี ๆ ที่เหมาะสม
ส่วนเจ้าเด็กดื้อของฉันนั้นผล็อยหลับไปตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว หลังจากที่กลับมาจากการทัวร์รีสอร์ต บุหลันก็หลับไปเลยและฉันไม่อยากจะรบกวนเธอ ตัวเองจึงต้องมานั่งดื่มอยู่คนเดียวแต่ตามลำพัง ทีนี่มองเห็นดาวชัดกว่าที่เมืองหลวงเสียอีก จริง ๆ ก็อยากให้เธอมานั่งอยู่ข้าง ๆ กัน เพื่อชมความสวยงามในยามค่ำคืน
“ติ...” เสียงเอ่ยเรียกจากทางด้านหลังพาลให้ฉันต้องหันหน้ากลับไปสบมอง
ก่อนที่รอยยิ้มของฉันจะปรากฏ เพราะคน ๆ นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือหัวใจเพียงดวงเดียวของฉันเอง และเจ้าตัวกำลังยกมือขยี้ตาเบา ๆ ด้วยทีท่างัวเงียนั่นอีก
น่ารักไม่หยอกเลย...
“ดื่มอยู่เหรอ?” เจ้าตัวกล่าวถามก่อนจะนั่งลงที่ฟูกด้านข้างกัน
ฉันพยักหน้าตอบรับก่อนจะหันไปด้านข้างอีกข้างของตัวเอง และหยิบเครื่องดื่มเปิดกระป๋องเสร็จสรรพพร้อมทั้งยื่นส่งมันให้กับเธอ บุหลันรับมันไปแต่โดยดี ก่อนจะยกมันขึ้นจิบเบา ๆ และเหม่อมองออกไปแสนไกลสุดสายตา
“อากาศดีเนอะ” เธอพูดเพ้อโดยที่สายตายังไม่ละออกไปจากท้องนภาลัย
ส่วนฉันคนนี้พึ่งทันได้สังเกตว่าเธอสวมเพียงชุดนอนบาง ๆ เท่านั้น แถมอากาศข้างนอกยังค่อนข้างที่จะหนาวกว่าข้างในเสียด้วยสิ
“...” บุหลันหันมาสบมองฉันที่กำลังจะขยับร่างกาย
ก่อนที่ฉันจะหยิบผ้าคลุมออกจากไหล่ของตัวเองข้างหนึ่ง และมองเธออย่างขออนุญาตซึ่งเธอก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ไม่นานผ้าคลุมของฉันตอนนี้ก็ไปอยู่ที่บนไหล่ลาดของเธอแล้ว โดยที่ชายผ้าอีกข้างยังอยู่ที่ไหล่อีกข้างของฉันเหมือนกัน
“บนนี้อากาศหนาว...ออกมาข้างนอกก็หัดสวมเสื้อที่มันหนา ๆ บ้างสิ” ฉันบ่นอุบ ก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกครั้ง
“คิคิ” แต่แล้วเสียงหัวเราะจากเธอก็ดึงความสนใจให้ฉันต้องหันกลับไปสบมองที่เธออีกครั้ง ทั้งยังทำหน้าสงสัยให้เจ้าตัวยิ่งระเบิดเสียงหัวเราะมากยิ่งขึ้นไปอีก
“หัวเราะทำไม?”
“ติชอบบ่น บ่นเป็นคนแก่เลย” และเธอก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ก็ถ้าบุหลันไม่ดื้อ...ติจะบ่นหลันทำไมล่ะคะ?” ฉันพูดตอบกลับไปตามที่ใจของตัวเองคิด แต่อยู่ ๆ ก็กลับกลายเป็นความเงียบที่มันกำลังก่อตัวขึ้นมาปกคลุมเราทั้งคู่
ฉันหันกลับไปสบมองที่เธออีกครั้งเพราะคนที่ร่าเริงอยู่เมื่อครู่กลับเงียบไปผิดปกติ แต่แล้วฉันก็กลับพบว่าเธอกำลังนั่งจ้องหน้ากันอยู่ และแววตาของเธอกำลังสั่นไหว...แต่ฉันไม่แน่ใจเลยว่าแววตาของเธอมันกำลังสื่ออะไรอยู่กันแน่
“หลันถามอะไรหน่อยได้ไหม?” แล้วอยู่ ๆ เธอก็เปิดโหมดจริงจังขึ้นมาให้ฉันต้องยืดตัวขึ้นเล็กน้อยอย่างประหม่า
“อื้ม ถามสิ...” แต่ฉันก็พยักหน้าตอบรับเธอพร้อมทั้งยกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้งเพราะไม่แน่ใจเลยว่าเธอจะถามอะไรกันแน่
“ติชอบหลัน...จริง ๆ ใช่ไหม?” แต่แล้วอยู่ ๆ เธอก็ถามออกมาเสียงแผ่วราวกับไม่มั่นใจนัก
และมันทำให้ฉันต้องหันกลับไปสบมองเธอด้วยสีหน้าที่จริงจังในทันที การที่เธอถามคำถามแบบนี้ออกมา...มันแปลได้ว่าเธออาจจะกำลังไม่มั่นใจในความรู้สึกของฉัน
และสิ่งเดียวที่จะทำให้เธอได้มั่นใจ...ก็คือฉันควรที่จะบอกเธอให้ชัด ๆ บอกมันด้วยริมฝีปากของฉันนั่นเอง
"อื้ม...ดิชอบหลัน” แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วมันก็น่าเขินอยู่เหมือนกัน “ชอบมาตั้งนานแล้ว” และฉันก็ยกมือลูบจมูกของตัวเองป้อย ๆ เพราะกำลังรู้สึกประหม่าอย่างรุนแรง
“นานแล้ว?” เธอมองอย่างสงสัย “นานแล้วนี่มันนานขนาดไหนกัน?”
“นี่ตั้งใจจะแกล้งติหรือเปล่า?” ฉันถามกลับไปบ้างเพราะเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่ากำลังโดนกลั่นแกล้งอยู่หรือเปล่า
“เปล่านะ...แต่หลันอยากรู้จริง ๆ” เธอตอบกลับ ซึ่งฉันก็พยักหน้าตอบรับเพราะใบหน้าของเธอดูสงสัยจริง ๆ
“ตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งแรกเลยน่ะ” ฉันตอบกลับ ก่อนที่บุหลันจะยกนิ้วขึ้นมานับ และเบิกตาโพล้งในทันทีอย่างตื่นตระหนก
“ติ! มันสิบสามปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ?” เธอเขย่าแขนของฉันไปมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “สิบสามปีนะติ!”
“ฮ่า ๆ ก็ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้น” ฉันตอบอย่างไม่ใส่ใจ และยกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้ง พร้อมทั้งอาการโล่งใจที่มันเกิดขึ้นมากับตัวของฉันเอง
การได้บอกออกไปแบบนี้แล้วมันโล่งใจแปลก ๆ ชอบกล ตอนนั้นที่เก็บสั่งสมกับตัวเองไว้นานเป็นสิบปี มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะขาดใจตลอดเวลาเลยที่เห็นเธอไปรักกับใครคนอื่นซึ่งฉันก็ได้แต่มองดูและไม่สามารถทำอะไรได้
แต่ต่อจากนี้ไปฉันจะไม่ยอมอีกแล้ว...ฉันจะพยายามจนถึงที่สุด พยายามจนกว่าที่เธอจะเอ่ยปากบอกกับฉันเองเลยว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉันทั้งสิ้น
“เก็บเงียบคนเดียวมานานขนาดนั้นได้ยังไง ไม่อึดอัดบ้างเหรอ?” มือของฉันหยุดชะงักในทันใดเมื่อกำลังจะยกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้ง
อึดอัดสิ มันอึดอัดมากเลยนะ...แต่ถ้าเธอรู้แล้วฉันจะไม่มีเธออยู่ สู้ฉันยอมอึดอัดคนเดียวไปตลอดชีวิตยังดีเสียกว่า
คำพูดนั้นได้แต่ก้องอยู่ในหัวใจของฉันและฉันไม่ได้พูดมันออกไป ฉันเพียงแค่หันไปยกยิ้มเพื่อเป็นคำตอบให้กับเธอเท่านั้น ก่อนจะพยายามบ่ายเบี่ยงเพราะฉันจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว...แต่ฉันจะเปลี่ยนเป็นการกระทำให้เธอได้รับรู้มันเอง
ว่าฉันรักเธอมากขนาดไหน...
“ไปนอนแล้วดีกว่า...” ฉันลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง แต่ผ้าที่เคยคลุมไหล่ของฉันตอนนี้มันอยู่บนตัวของเธอเต็มทั้งผืนแล้ว ด้วยฝีมือของฉันเองที่นำมันไปคลุมไว้ที่ตัวของเธอ “เอาคลุมไว้นะ...อากาศมันหนาว”
“ติ...”
“ติง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะ” และฉันก็ทิ้งเธอไว้แต่เพียงลำพัง
คล้อยหลังเธอมา...ฉันก็เอาตัวพิงกับประตูห้องนอนของตัวเองเอาไว้ พร้อมกับยกมือขึ้นไปจับที่หัวใจของตัวเอง เพราะตอนนี้มันกำลังเต้นเสียงดังโครมครามอยู่เพราะเธอที่เป็นสาเหตุ
พร้อมกลับมาคิดทบทวนตัวเองอีกครั้งกับคำถามของเธอ ถ้าเกิดว่าเธอไม่ทะเลาะกับแฟนหนุ่มจนเจ็บช้ำหัวใจหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้...ตัวของฉันจะยังเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้กับตัวไหม
ฉันจะยังต้องอึดอัดใจกับตัวเองไปอีกนานขนาดไหน...ถ้าเกิดว่าคนทั้งสองยังรักกันดีจนไม่มีวี่แววหรือทีท่าว่าจะเลิกกัน
คิด ๆ ไปแล้วคำตอบของฉันก็มีแต่คำว่า...เก็บเอาไว้
เพราะอย่างน้อยหากเธอไม่รู้ มันก็หมายถึงความเสี่ยงที่ฉันจะสูญเสียเธอไปมันก็ยังเป็นศูนย์ และถ้าหากเธอรังเกียจกันขึ้นมา ฉันอาจจะต้องสูญเสียเธอไปจากฉันตลอดกาล
ฉันทิ้งตัวลงนอนกับเตียงและยกมือขึ้นมาอังที่หน้าผากเอาไว้อย่างคนกำลังใช้ความคิด พร้อมกับคำถามมากมายหลากหลายที่ไหลผ่านเข้ามาในสมองให้ฉันเริ่มที่จะปวดหัวไปหมด และหนึ่งในคำถามที่ฉันยังคงคาใจกับมันเลยก็คือ...
อะไรที่ทำให้ฉันตัดสินใจที่จะบอกเธอไป มันเป็นเพราะฉันทนไม่ไหวที่เห็นเขาทำร้ายหัวใจของเธอ...หรือความจริงแล้วฉันต่างหากที่ทนไม่ไหวและอึดอัดกับมันจนเกินจะทน
มันแล่นไปแล่นมาอยู่ในสมองจนท้ายที่สุดแล้วฉันก็ยังคงหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้อยู่ดี ก่อนที่ฉันจะค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา เพราะหากยังคงคิดมันต่อไป คืนนี้ทั้งคืนฉันคงจะข่มตาลงนอนไม่ได้แน่ ๆ
แอ๊ด...
เสียงเปิดประตูเบา ๆ ทำให้ฉันคิดว่าน่าจะเป็นบุหลันที่เข้าไปยังห้องนอนของตัวเองซึ่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม เพราะตอนนี้ฉันกำลังนอนหันหลังให้กับประตูและหาได้ใส่ใจเสียงนั้นเพราะกำลังต้องการที่จะนอนหลับ
ก่อนที่ตัวเองจะสัมผัสได้ถึงที่นอนข้าง ๆ ซึ่งมันยวบลงไป จนเป็นฉันที่กำลังจะหันไปสบมองว่าเธออาจจะมีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าถึงเข้ามาหากันตอนกลางดึกแบบนี้
แต่แล้วสิ่งที่ฉันคิดจะทำทั้งหมดมันก็มลายหายไป...เหลือไว้แต่ฉันที่ได้แต่นอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าแม้แต่จะขยับร่างกาย ทั้งเล็บมือของฉันก็จิกเข้ากับหมอนจนบางทีฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นรอยเล็บฉันแล้วก็เป็นได้
“คนซื่อบื่อ...” เธอพูดเสียงแผ่วในขณะที่กำลังกระชับอ้อมกอดที่เจ้าตัวกอดกันจากทางด้านหลัง “ชอบเขามาตั้งนานขนาดนั้น...ทำไมถึงไม่เคยคิดจะบอกอะไรให้ได้รับรู้เลยนะ” บุหลันเอาแต่พูดเพ้อ เพราะฉันคิดว่าเธอน่าจะคิดว่าฉันหลับไปแล้ว
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น...เพราะฉันเอาแต่คิดเรื่องของเธอจนยังข่มตานอนไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป
“ถ้าติบอกหลันให้เร็วกว่านี้ หรือบอกตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าติรู้สึกยังไงกับหลัน...”
“…”
“ตอนนี้เราทั้งสองคนอาจจะกำลังมีความสุขกันอยู่ก็ได้นะ” เธอกระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก “เพราะตอนนั้นหลันก็ชอบติเหมือนกัน...ชอบมาก ๆ จนต้องไปคบกับคนอื่นเพื่อตัดใจจากติเลยแหละ”