Moonlight : Seven

2604 คำ
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรอบุหลันอยู่ในส่วนของทางหน้าบ้าน ซึ่งตรงหน้าของฉันตอนนี้มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของภูมิประเทศทางภาคเหนือของประเทศไทย ลมพัดเอื่อยเอ่ยที่พัดผ่านหน้ากันไปเบา ๆ กับบรรยากาศดี ๆ ทำให้ฉันรู้สึกดีมากที่เลือกจะมาที่นี่ เพราะสภาพอากาศและความสวยงามของมันบอกเลยว่าเหมาะแก่การพักผ่อนอย่างยิ่งเป็นที่สุด ฉันได้แต่หวังลึก ๆ อยู่ในหัวใจของตัวเองว่ามันจะสามารถช่วยให้บุหลันผ่อนคลายลงได้บ้าง และความหวังสูงสุดของฉันในการมาเที่ยวครั้งนี้...ก็คือเธอได้หลงลืมคนใจร้ายคนนั้นออกไปจากหัวใจของเธอให้จนหมด ให้เธอผ่านพ้นกับความเศร้าหมองและความทรมานที่มันตามติดตัวของเธอมานานกว่าหลายปี รัตติกาลยกนาฬิกาขึ้นสบก่อนที่ตัวของฉันเองจะคิดว่ามันได้เวลาแล้ว ฉันลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ก่อนจะก้าวเดินกลับเข้าไปภายในบ้านพัก และเดินมุ่งหน้าไปทางห้องนอนของผู้เป็นเจ้าของห้องในเวลานี้ทันที บ้านที่ฉันเลือกมาเช่านั้นมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย มันมีพื้นที่ว่างสำหรับห้องนั่งเล่น ก่อนจะมีแยกห้องนอนออกเป็นสองห้อง แต่ห้องน้ำกลับมีเพียงห้องเดียวที่อยู่ตรงกลาง แถมตรงส่วนนี้ยังต้องขึ้นดอยหลังจากส่วนล็อบบี้ของทางโรงแรมมาอีกพอสมควร และรอบ ๆ ระแวกบ้านก็มีบ้านพักอีกเพียงไม่กี่หลังเท่านั้น ก๊อก ๆ ฉันยกมือเคาะห้องของเธอและรอให้คนภายในออกมาเปิดต้อนรับกันเหมือนอย่างเช่นเคย ฉันตั้งใจแล้วว่าจะพาเธอไปทัวร์รีสอร์ตด้วยกัน เนื่องจากว่าที่นี่มีทั้งไร่ชาและไร่ผลไม้มากมาย มันเป็นธุรกิจของคนชาวเขาชาวดอยที่นี่ แถมถัดออกไปอีกไม่กี่กิโลก็ยังมีพื้นที่สำหรับการชมพระอาทิตย์ตกด้วย แต่ผ่านมาแล้วกว่าหลายนาทีเธอก็ยังไม่ออกมาเปิดประตูให้กัน ฉันคิดว่าเธอน่าจะนอนหลับพักผ่อนอยู่ และมันทำให้ตัวของฉันได้แต่ชั่งใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ก่อนท้ายที่สุดแล้วฉันจะถือวิสาสะเปิดเข้าไปภายในห้อง ฉันค่อย ๆ เดินเข้าไปอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าจะรบกวนคนที่อยู่ภายใน บุหลันไม่ได้ล็อคประตูห้องเหมือนอย่างเคย และตอนนี้เธอก็ไม่ได้นอนหลับเหมือนอย่างที่ฉันได้คาดการณ์เอาไว้ในตอนแรก บุหลันกำลังนั่งหันหลังให้กับประตูแต่ใบหน้าของเธอกลับหันออกไปทางนอกหน้าต่าง เจ้าตัวกำลังนั่งเหม่อลอยและไม่ได้รับรู้ในการมาถึงของฉัน ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศพาลให้ฉันต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนของตัวเองบางเบาเพราะด้านนอกก็อากาศหนาวมากพอสมควรอยู่แล้ว แต่เจ้าคนเปิดมันกลับใส่เพียงเสื้อยืดตัวบาง ๆ เท่านั้นและมันกำลังทำให้ฉันเป็นห่วงเธอ “…” บุหลันหันหน้ากลับมาสบมองฉันในขณะที่ฉันกำลังจะนั่งลงเคียงข้างกับเธอ เจ้าตัวกระชับเสื้อแขนยาวที่ฉันพึ่งวางไว้บนไหล่ของเธอ และยกยิ้มให้กันแผ่วเบาราวกับคำขอบคุณที่ไม่ได้พูดออกมาให้ฉันได้ยิน “มานั่งตากแอร์อยู่แบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก” ฉันบ่นอุบอย่างไม่ใส่ใจ และกดปิดแอร์ซึ่งรีโมตของมันวางอยู่ข้าง ๆ กันพอดิบพอดี “ติเคาะประตูเรียกตั้งนานแล้ว...แต่หลันไม่ยอมไปเปิด” “ขอโทษนะ...มัวแต่คิดอะไรเพลิน ๆ ไปหน่อย” เธอเอ่ยบอกกัน ก่อนจะหันหน้าออกไปที่นอกหน้าต่างดังเดิมและเหม่อลอยอีกครั้ง ฉันสบมองใบหน้าของเธอโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทันได้สังเกตหรืออาจจะไม่รู้สึกตัวว่ากำลังถูกสบมองอยู่ แววตาของบุหลันเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและความว่างเปล่า ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่ฉันเห็นเพียงแค่แววตาของเธอ...ฉันก็สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้เธอเองก็คงจะกำลังเจ็บปวดมากแต่ไม่ยอมพูดหรือระบายอะไรออกมา สุดท้ายแล้วฉันก็ได้แต่นั่งเป็นเพื่อนเธออยู่อย่างนั้นโดยไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างเราทั้งสอง ความเจ็บปวดของเธอมันราวกับถูกถ่ายทอดและส่งมอบมันมาให้กับฉัน...เพราะฉันเองก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกันเวลาที่มองเห็นเธออยู่ในสภาพที่ไม่น่าอภิรมย์เช่นนี้ ฉันรู้อยู่แก่ใจเสมอว่าเธอยังคงรักเขาอยู่ และมันไม่ง่ายเลยหากจะต้องเลิกรักในเวลาอันสั้นที่พึ่งเกิดขึ้น...แต่ฉันเพียงแค่หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะทิ้งเขาไปได้ทั้งหมดในหัวใจของเธอ และให้เธอได้มีความสุขกับชีวิตของตัวเองบ้างแบบจริงจังเสียที ถึงแม้ว่าคนที่ยืนข้าง ๆ เธอในอนาคตจะไม่ใช่ฉันก็ไม่เป็นไร... “ว่าแต่กี่โมงแล้วอ่ะ” อยู่ ๆ เธอก็เปิดปากพูดออกมาในระหว่างที่เรากำลังนั่งกันอยู่เงียบ ๆ “สิบโมงจะพาหลันไปเที่ยวใช่ไหม?” และเธอก็หันหน้ากลับมาสบมองกันจนเต็มตา ราวกับคนที่พึ่งผ่านพ้นออกมาจากโลกส่วนตัว “อื้ม แต่ถ้าวันนี้หลันเหนื่อย...พรุ่งนี้เราค่อยไปกันก็ได้นะ” ฉันบอกออกมาอย่างเสนอทางเลือกให้กับเธอ เพราะดูเหมือนตอนนี้เธอจะจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร ฉันกลัวว่าเธอจะไม่สนุกที่ได้มากับฉัน อย่างน้อยความสุขของเธอก็คือความสำเร็จที่ฉันอยากจะได้รับสำหรับการมาเที่ยวในครั้งนี้... “ไม่เหนื่อยสักหน่อย หลันได้นอนเต็มอิ่มมาตอนอยู่บนรถแล้วนะ ลืมเหรอ?” เจ้าตัวพองลมใส่แก้มอย่างน่ารัก และกำลังกลับเข้ามาสู่โหมดของบุหลันคนที่ฉันหลงรักอยู่เสมอ “ตายแล้ว! จะสิบโมงแล้วนี่หน่า ทำไมติถึงไม่บอกกันล่ะ?” และเธอก็รีบลุกขึ้นมาอย่างร้อนรน ส่วนฉันคนนี้ก็ได้แต่นั่งมองการกระทำที่แสนจะน่ารักของเธอ ซึ่งเจ้าตัวกำลังหมุนไปหมุนมา หยิบจับข้าวของแบบร้อนรนไปหมดราวกับเป็นเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ก็ไม่ปาน “ยังมัวแต่มานั่งยิ้มอีก...รีบออกไปโทรเรียกรถมารับสิติ” “จ้า ๆ ไปแล้ว” และฉันก็ลุกขึ้นไปทำตามคำสั่งของเธอแต่โดยดี โดยที่หัวใจของฉันดวงนี้มันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง...อย่างน้อยบุหลันก็ไม่ได้เศร้าหมองจนหลงลืมความสุขรอบ ๆ ตัวของตัวเองไป และถึงแม้มันจะน้อยนิด...แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีของเธอเลยนะ คนเก่งของฉัน เราทั้งสองเดินมารวมตัวกับคนอื่น ๆ ในบริเวณล็อบบี้ของทางรีสอร์ต เพื่อที่จะเดินทางไปทัวร์ตามคำเชิญชวนของดาวิกาในตอนที่มาเช็คอินเมื่อประมาณชั่วโมงก่อน และคนที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ขึ้นรถตู้มากับเราในตอนเช้าทั้งนั้น และยังมีคนอีกสามถึงสี่คนที่มาใหม่ เนื่องจากพวกเขาน่าจะขับรถตามกันขึ้นมาเอง ไม่ได้มากับรถของทางรีสอร์ต “ถ้ามากันครบแล้ว ดิฉันขออนุญาตพาทัวร์เลยนะคะ” ดาวิกาที่รับหน้าที่เป็นไกด์ในวันนี้เอ่ยพูดออกมา ก่อนจะออกเดินนำหน้าไปแต่ก็ยังไม่วายส่งยิ้มแจกจ่ายให้กับคนอื่น ๆ อย่างเป็นมิตร ที่แรกที่ดาวิกาพามาเป็นไร่สตอเบอรี่ของคนที่นี่ซึ่งปลูกเอาไว้เพื่อใช้สำหรับการขายและก็เพื่อสำหรับรับประทานเอง ซึ่งหน้าที่เรามามันพอดีกับหน้าเก็บเกี่ยว และคนงานในไร่หลาย ๆ คนเองก็กำลังเก็บเกี่ยวอย่างขยันขันแข็ง โดยที่ตลอดทั้งเส้นทางคนที่นี่ก็ใจดียื่นสตอเบอรี่ให้เราได้ชิมตลอดทั้งเส้นทาง คนที่ดูจะแฮปปี้เป็นพิเศษคงไม่พ้นบุหลันที่รับสตอเบอรี่จากทุกคนที่ส่งมอบให้ เจ้าหล่อนกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยจนตอนนี้ริมฝีปากของเธอนั้นเป็นสีเดียวกับสตอเบอรี่ไปเสียแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังคงทานมันต่อเมื่อมีคนมอบให้ เพราะหนึ่งในอาหารโปรดที่บุหลันชื่นชอบก็คงไม่พ้นเจ้าสตอเบอรี่พวกนี้ “ในส่วนของทางนี้จะเป็นบูทสำหรับซื้อของฝากนะคะ ซื้อกลับไปไว้แช่ตู้เย็นให้ออกมาอร่อย ๆ ก่อนรับประทานก็ได้ หรือใครอยากจะซื้อไปฝากญาติพี่น้องก็สามารถเลือกดูกันได้เลยค่า” ผู้คนทยอยเดินไปดูของด้านในในทันทีที่ดาวิกานำเสนอจนจบ แต่ฉันกลับหันไปมองคนข้างกายที่กำลังตาลุกวาวกับสตอเบอรี่หลากหลายที่อยู่ในบูทขายของ ซึ่งมันทำให้ฉันยกยิ้มออกมาก่อนจะจับจูงมือของเธอให้เดินตามเข้าไปที่ด้านใน “ซื้อกลับไปแช่ตู้เย็นไว้ดีไหม หลันชอบนี่หน่า” ฉันพูดออกมาซึ่งเธอก็พยักหน้าตอบรับในทันที เจ้าตัววิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าไปเลือกดูสตอเบอรี่ที่สีสดสวยน่าทาน ด้านข้างของมันมีตัวอย่างเอาไว้สำหรับการชิม ซึ่งบุหลันเองก็ไม่รอช้า รีบจิ้มสตอเบอรี่และเคี้ยวเข้าปากจนแก้มตุ่ยให้ฉันเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง “หืม...หวานมากกก” เจ้าตัวลากเสียงยาวและจิ้มลงไปอีกลูกหนึ่ง “ติลองชิม!” และยื่นส่งมันมาที่ปากของฉันให้ฉันที่ยกยิ้มอยู่นั้นรีบหุบยิ้มลงในทันใด ตึกตัก ตึกตัก ตอนนี้เจ้าตัวกำลังสบมองมาที่ฉันด้วยแววตาสุกใสลุกวาวอย่างคนกำลังมีความสุข และมันทำให้ฉันที่ตกหลุมรักเธออยู่แล้วเป็นทุนเดิม...กลับหัวใจสั่นไหวมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเธอแสดงออกถึงการกระทำที่กำลังกระทำอยู่ แม้เพียงเธออาจจะมองฉันเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งอย่างที่เคยเป็นอยู่เสมอมา...แต่ฉันคนนี้มันกลับคิดไปไกลเกินกว่านั้นแม้รู้ว่ามันอาจจะไม่ควรก็ตาม “ติ...” เธอเอ่ยเรียกฉันขึ้นมาอีกครั้งราวกับเรียกสติ ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเองสองสามครั้ง ก่อนจะยกยิ้มให้กับเธอและงับสตอเบอรี่ที่จ่อปากของฉันอยู่ในทันที เพื่อดับอาการหวั่นไหวบ้าบอของตัวเองที่กำลังจะคิดไปไกล “อื้ม...หวานมาก” ฉันตอบรับและยกยิ้มตอบกลับเธอไป แต่อยู่ ๆ บุหลันก็เบี่ยงหน้าหนีฉันไปในทันทีให้ฉันได้แต่มองอย่างสงสัยว่าฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า “คุณรัตติกาลคะ...” เสียงหวานของใครบางคนเอ่ยเรียกขึ้นมาให้ฉันต้องหันกลับไปสบมอง “อ้าวคุณดาว...ลองชิมดูไหมคะ?” ฉันเอ่ยถามพลางยื่นสตอเบอรี่ไปให้กับคนข้าง ๆ ทั้งจานให้เจ้าหล่อนได้เลือกชิมเอาเอง “ดาวทานมาเยอะแล้วค่ะ เชิญคุณตามสบายเลย” เจ้าตัวยิ้มรับและมันทำให้ฉันนึกขึ้นได้ “อ่า จริงสินะคะ...ลืมไปเลยว่าคุณอยู่ที่นี่” ฉันยกมือขึ้นเกาท้ายทายบางเบาแก้อาการเขินอายของตัวเองที่เผลอปล่อยไก่ออกไปเสียได้ “หวานไหมคะ ชอบหรือเปล่า?” ดาวิกาถามขึ้นมาอีกครั้งและสบมองใบหน้าของฉันสลับกับบุหลันไปมาอย่างคนสงสัย “หวานมากเลยค่ะ บุหลันชอบมาก...ทานไปเยอะเลยตั้งแต่ที่ไร่แล้ว” ฉันรีบเอ่ยชมออกมา เพราะมันหวานมากจริง ๆ ดูได้จากเจ้าบุหลันที่ทานเอาทานเอาจนปากเป็นสีแดงสตอเบอรี่ไปหมดแล้ว “ดาวเชื่อแล้วค่ะว่าชอบจริง ๆ แฟนคุณรัตติกาลปากเป็นสีเดียวกับสตอเบอรี่เลย” ตึกตัก ตึกตัก อยู่ ๆ หัวใจของฉันก็เต้นแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เมื่ออยู่ ๆ เจ้าหล่อนก็บอกว่าฉันเป็นแฟนกับบุหลัน แต่ฉันก็ยังประคองสติของตัวเองได้อยู่ และรีบบอกออกไปในทันใดเพราะไม่อยากให้บุหลันไม่สบายใจที่ใครมองสถานะของเราทั้งสองคนว่าอย่างนั้น...โดยที่มันไม่ใช่ความจริง “เข้าใจผิดแล้วค่ะ...” ฉันเอ่ยบอกออกไปให้ดาวิกาที่ยกยิ้มอยู่ในคราแรกถึงกับหุบยิ้มลงในทันใด “เราสองคน...เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นค่ะ” “อ่ะ! ขอโทษนะคะ พอดีเห็นตั้งแต่ที่ไร่แล้วว่าพวกคุณดูสนิทสนมกันมาก ฉันนี่แย่จริง ๆ เลยนะคะ” และเจ้าหล่อนก็รีบเอ่ยขอโทษขอโพยออกมาเสียยกใหญ่ให้ฉันต้องรีบบอกว่าไม่เป็นอะไรในทันที โดยที่ฉันเองก็ไม่ได้หันไปสบมองใบหน้าของบุหลันเลยว่ากำลังแสดงสีหน้าเช่นไรอยู่ เพราะฉันกลัวว่าถ้าหันไปเห็นว่าเธอทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา...หัวใจของฉันดวงนี้มันจะพาลเจ็บช้ำไปเปล่า ๆ “ขอโทษอีกครั้งนะคะ” “ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณดาว...หยุดขอโทษได้แล้วนะคะ” ฉันบอกอีกครั้งเพราะดูเหมือนอีกคนจะสำนึกผิดแล้วจริง ๆ “ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปเตรียมตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวเราต้องไปไร่ชากันต่อแล้ว ขอตัวนะคะ” “ค่ะ” ฉันยิ้มรับก่อนจะมองแผ่นหลังของเจ้าหล่อนค่อย ๆ เดินจากออกไป ฉันหันไปหาบุหลันที่เงียบลงไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ก่อนที่ฉันจะจับสังเกตได้จริง ๆ ว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง คิ้วที่ขมวดกันเป็นปมของเธอนั้นมันบ่งบอกฉันว่าอย่างนั้น และบุหลันเองก็ไม่เคยเก็บสีหน้าของตัวเองได้ดีเลยด้วย “หลัน เราไปกันเถอะ” ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องเมื่อครู่เพราะรู้ว่าเธอกำลังไม่พอใจ และรีบเปลี่ยนเรื่องในทันทีเพื่อหาทางหลีกเลี่ยง “อืม...” และเจ้าตัวก็เดินออกไปให้ฉันได้แต่มองอย่างทำตัวไม่ถูก ก็ขนาดถึงขั้นที่ฉันไม่พูดถึงมันแล้ว...แต่บุหลันกลับยังดูไม่พอใจอยู่เลยที่ใครมาทักว่าเราทั้งสองคนเป็นอะไรกัน หรือว่าเธอจะรังเกียจกัน ถึงขั้นที่ไม่อยากได้ยินเลยอย่างนั้นน่ะหรือ... “ติ…” แต่อยู่ ๆ เธอก็หันกลับมาสบมองกันด้วยใบหน้าง้องอนให้ฉันต้องขมวดคิ้ว “ไอคนซื่อบื้อ!” และเดินจากออกไปอีกครั้ง...ให้ฉันได้แต่สงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทั้ง ๆ ที่ฉันก็เป็นผู้หญิง...แต่ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจอาการอะไรแบบนี้ของผู้หญิงเลยนะ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม