CHAPTER 9

1243 คำ
CHAPTER 9 บทบรรยายพิเศษ: เร็น หนึ่งวันก่อนหน้า... “อ๊าก...มึง!” “เจ็บไหม?” สองพยางค์ฟังดูก็เหมือนห่วงใยนักหนามักใช้ได้กับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่กับร่างสูงสวมใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งหมดเขาดั่งมัจจุราชในคราบมนุษย์เพราะทันทีที่สองพยางค์นี้ออกมาจากปากทุกอย่างรอบตัวก็เงียบงันไม่มีเสียงใดๆ กล้าเล็ดลอดนอกจากใบหน้าเปื้อนเลือดกำลังส่ายศีรษะเป็นคำตอบว่าไม่ “อ๊าก.... จะเจ็บ” มีดคมกริบเป็นอาวุธชั้นดีในการกระทำครั้งนี้เพราะนาทีที่เขาย่อตัวลงปลายมีดแหลมเล็กก็กรีดลึกผ่านเนื้อส่วนขาจรดลงมายังหน้าแข้งแบบช้าๆ เหมือนต้องการประวิงเวลาความทรมานเอาไว้ให้นานมากที่สุดจากนั้นไม่นานเลือดสีแดงสดผสมกับกลิ่นคาวก็แทรกซึมผ่านรอยแยกของแผลออกมาอย่างบ้าคลั่ง “แต่มึงส่ายหน้าปฏิเสธ?” เขาคงต้องการถามว่าจะส่ายใบหน้าทำไมแต่กับไม่ถามนอกจากนั้นปลายมีดหยุดเคลื่อนการกรีดแต่ยังไม่เอาออกก่อนที่จะใช้สายตามองคู่กรณี ไอ้นี่มันเลือกเข้ามาวอร์เองจะปล่อยไปง่ายๆ มันก็คงไม่ใช่ตัวตนของผมสักเท่าไหร่นักในเมื่ออยู่ดีๆ ไม่เป็นผลของมันก็จะเป็นแบบนี้อย่าโทษคนอื่นยังไงต้นเหตุก็มาจากปากไอ้เวรนี่เอง ปากของคนเรานอกจากใช้แดกข้าวใช้พูดคุยใช้จูบเวลาทำเรื่องอย่างว่ามันก็มีเพียงนั้นไม่ใช่เหรอวะแล้วทำไมคนส่วนใหญ่ถึงตายเพราะปากเป็นต้นเหตุเยอะขึ้นกว่าปกติทุกวันถ้าไม่ใช่อยากเสือก เคยได้ยินไหมว่าเวลาพูดให้คิดก่อนเพราะตอนนั้นเราจะเป็นนายของคำพูดแต่ถ้าพูดออกไปแล้วคำพูดจะเป็นนายของเราทันทีผมคิดว่าทุกคนคงได้ยินประโยคนี้แบบผ่านๆ มาพอสมควร “ในเมื่อไม่เจ็บก็สามารถทำได้อีกไม่ใช่?” ทุกประโยคที่พูดออกมาไม่มีคำไหนจะตะคอกมีแค่การพูดจาเรียบๆ นิ่งๆ แต่นัยน์ตาสีดำมันกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิงเลยก็ว่าได้ “เจ็บ กูเจ็บ!” เสี้ยววินาทีรอยยิ้มเหยียดตรงมุมปากก็แสดงขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดว่านั้นจะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ผู้ให้คำตอบเมื่อกี้ได้เห็นเพราะหลังจากนั้นร่างใหญ่ท้วมก็เกิดการนิ่งร่างกายไร้เรี่ยวแรงนอนแนบลงไปกับพื้นไปในทันทีจะมีก็เพียงแต่เลือดกองใหญ่ไหลผ่านลำตัวออกมากก็เท่านั้นพนันได้เลยว่าถ้าคนอื่นเห็นมันน่าสยดสยองอาจทำให้สติแตกเพียงชั่วพริบตา แต่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้สะทกสะท้านเรียบเฉยยิ่งกว่าน้ำนิ่ง เขาเหมือนอสรพิษชั่วร้ายไม่เคยปรานีใครเวลาฆ่า “เชี่ย... ไอ้เร็นโคตรโหดวะ” ‘เร็น’ เป็นชื่อพยางค์เดี่ยวโดดๆ ที่ปู่ตั้งให้ตั้งแต่ผมเกิดลืมตาดูโลกเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ท่านบอกว่าผมมีดวงตาเฉี่ยวที่ซ่อนความลับลับน่าค้นหายิ่งบวกลักษณะตรงหางตาก็ยิ่งทำให้ดูไปในทางดุร้ายเหย่อหยิ่งและไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้คนรอบข้างซะเท่าไหร่นักคงคล้ายๆ กับอสรพิษประเภทงู งูได้ชื่อเรื่องความปราดเปรียวรวดเร็วว่องไวในการเคลื่อนไหวมีเป้าหมายชัดเจนในยามล่าเหยื่อ รักการอยู่คนเดียวไม่นิยมสุงสิงกับใครหน้าไหนและก็ไม่ทำร้ายใครนอกจากนั้นก็คือการป้องกันตัวเองแต่ถ้าภัยมาถึงตัวการต่อสู้ทุกรูปแบบก็สามารถทำได้ ส่วนเหยื่อนั้นความปรานีสักนิดก็ไม่ได้จากผมเช่นกัน! “เหรอวะแล้วมันมากกว่ามึงหรือเปล่าไอ้ซัน?” ผมลุกขึ้นจนเต็มความสูงจากนั้นก็ทิ้งมีดลงตกข้างร่างที่ไร้ลมหายใจให้ลูกน้องจัดการต่อส่วนตัวเองก็แค่เดินออกมากับเพื่อน ไอ้ซันส่งขวดแอลกอฮอล์มาให้ผมจึงราดของเหลวนั้นลงมือตัวเองพอหมดก็โยนทิ้งไปทางด้านหลัง “มากโข” “ไปหาเมียกับลูกมึงซะ” ผมบอกเพื่อนตัวเองทันทีที่มาถึงรถ “อยากให้ยาหยีหาผัวใหม่ให้ลูกหรือยังไง” “ปากหมา” ไม่แปลกที่ไอ้ซันจะด่าผม ไม่แปลกที่ผมจะพูดแบบนั้นออกไปเพราะไม่อยากให้เพื่อนรักตัวเองอยู่บริเวณนี้นานมากนักเหตุผลก็มีแค่มันไม่ค่อยปลอดภัย ชีวิตตัวเองอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ที่สองข้างซ้ายขวาเป็นหุบเหวลึกไม่รู้ว่าวันนี้จะโดนอะไรบ้างจะประคองตัวเองให้ยัดยืนตรงจุดๆ นี้นานเพียงไหน เคยได้ยินไหมยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ชีวิตผมก็เป็นแบบนั้น ผมใช้ชีวิตแบบนั้นตั้งแต่เกิด “กลับไปซะ” “เออๆ” เนื่องด้วยไอ้ซันก็พอเรื่องมาบ้างมันจึงชักสีหน้านิดๆ ให้กับผมแต่ก็ยอมกลับไป ผมลวงบุหรี่ขึ้นมาสูบแก้อาการเครียดนิดหน่อย ชีวิตของผมก็เป็นแบบนี้แหละวนเวียนกับความน่ากลัวเหตุการณ์คะนองเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เว้นในแต่ละวัน ความจริงแล้วทางเดินชีวิตที่ไม่ได้เป็นคนเริ่มตั้งแต่แรกมันเป็นธรรมดาจะเกิดขึ้นกับชีวิตใครก็ได้ผมก็คือหนึ่งในนั้นเพราะเกิดมามันเหมือนมีเส้นด้ายมัดใหญ่ผูกความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงหนักหน่วงจนบางครั้งแทบทนไม่ไหวเอาไว้กับข้อมือของผมเองถ้าเกิดผมเลือกที่จะตัดด้ายมัดนั้นออกจากมือของตัวเองทุกอย่างมันก็ล้มสลายสาปศูนย์ลงไปไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวซึ่งแน่นอนผมไม่เลือกทำมัน ทางเดินชีวิตเป็นสีดำไม่น่าคบมากเท่าไหร่หรอกอีกทั้งยังโด่งดังในเรื่องชั่วช้าเลวทรามมากกว่าเรื่องดีหลายกลุ่มนะที่ตั้งค่าหัวผมไว้ในราคาสูงลิบเพื่อกระตุ้นความอยากกระตุ้นกิเลสให้หลายคนเข้ามาฆ่าผม “ขับรถดีๆ” “เออ กูไปล่ะ” ผมพยักหน้าให้เพื่อนทีหนึ่งมันก็ขับออกไปแสงไฟจากท้ายรถยังไม่ลับสายตาตัวเองนึกผมก็จะเลือกมองไปให้สุดให้ลับเพราะมันคือนิสัย สักพักแสงไฟนั้นออกไปไกลพอสมควรก็คงถึงตาตัวเองบ้าง บุหรี่มวลนั้นถูกทิ้งลงพื้นเวลาต่อมาก็ทาบด้วยรองเท้าหนังบดขยี้ให้ดับมอดก่อนที่มือใหญ่จะเปิดประตูรถผมก็มองไปยังรถของไอ้ซันอีกครั้ง ตุ้ม! “ไอ้ซัน!” แสงไฟวาบสะท้อนขึ้นกับท้องฟ้าเป็นสีร้อนแรงของเปลวไฟพร้อมมอดไหม้ลักษณะเป็นวงกว้างทั่วตรงหน้าผมจากนั้นก็มีทั้งเสียงบวกกับเศษฝุ่นซากเหล็กรถกระเด็นออกมามากมายเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้าผมเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน ความร้อนแรงของไฟแน่แหละว่ามันสามารถเผามอดไหม้สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาขวางหน้าได้อย่างง่ายดายจะแก้ไขได้อย่างไงในเมื่อตรงนี้มันเป็นแถบชานเมืองห่างไกลผู้คนและตัวอาคารบ้านเรือนนัก น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟประโยคนี้มันเข้ามาในชีวิตของผมจริงๆ เสียแล้ว ไม่ ไม่ ไอ้ซันต้องไม่จบชีวิตแบบนี้เพราะผม! ไม่มีทาง!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม