CHAPTER 8
“กลับบางครั้ง”
ฉันตอบทิมนิ่มๆ บางครั้งสำหรับตัวเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันเพราะฉันไม่แน่นอนถ้าอยากกลับก็กลับไม่อยากกลับก็ไม่กลับทุกอย่างล้วนแล้วขึ้นอยู่กลับอารมณ์ทั้งนั้น
“ไปกันเถอะครับคุณรุ้ง”
และนี่เป็นเสียงประโยคของลูกน้องเร็นแต่ฉันกลับรู้จุดประสงค์ที่แฝงอยู่ในประโยคดีเพราะมันไม่ใช่ประโยคที่มีนัยความธรรมดาทั่วไปเลยสักนิด มันเป็นการสั่งทางอ้อมต่างหากทุกอย่างทุกเหตุการณ์ที่มันจะเกิดขึ้นกับฉันไม่กี่นาทีภายภาคหน้าขึ้นอยู่กับความรวดเร็วของตัวเองทว่าถ้าคิดประกาศสงครามกับเร็นขึ้นชื่อว่าเป็นงูพิษร้ายแรงแถมยังมีภาระกำลังมหาศาลสามารถทำร้ายหรือแม้กระทั่งฆ่าไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นฉันควรเลือกทางสงบศึกกับคนอย่างเขามากกว่าการเลือกต่อสู้
“อือ” การยอมรับของฉันทำให้ลูกน้องของเร็นแยกตัวออกไปก่อนเพื่อกดลิฟต์รอ “ขอตัวก่อนนะทิม”
เป็นประโยคสุดท้ายจริงๆ ระหว่างฉันกับเขาญาติของตัวเองและตอนนี้ฉันก็ยืนอยู่ด้านในลิฟต์สองคนกับลูกน้องของเร็น ผู้ชายใส่สูทสีดำยืนด้านหลังฉันโดยเว้นระยะห่างพอสมควรไม่มีคำพูดหรือว่าประโยคใดๆ ออกมาจากริมฝีปากของเขาเลยสักประโยค ฉันรู้ดีว่าเขาได้รับการอบรมฝึกฝนมามากมายกว่าที่จะมายืนถึงจุดนี้จุดข้างกายผู้ชายหนึ่งในกลุ่ม 7 VILLAIN เรียกง่ายๆ ว่ากลุ่มวายร้าย
“ไปไหนมากับเร็นเหรอ?” ประโยคคำถามที่ไม่ได้เห็นหน้าผู้ตอบจากตัวเอง
“คลับ VILLAIN ครับคุณรุ้ง”
คลับที่เร็นเป็นหนึ่งใน 7 หุ้นส่วน ฉันรู้มาว่ามันเป็นคลับใต้ดินเปิดให้ใช่บริการทั้งวันทั้งคืนถึงแม้ตัวเองจะเคยเข้าไปเยือนมาแล้วหลายครั้งทว่าก็ได้ไปอยู่เพียงด้านหลังคลับเท่านั้นเอง
“แล้วไม่ไปไหนต่อเหรอ?”
“ผมว่าคุณรุ้งถามคุณเร็นดีกว่านะครับ”
เป็นแบบนี้ทุกทีพอจะถามเข้าเรื่องลูกน้องของเร็นก็จะปฏิเสธด้วยการบอกให้เข้าไปคุยกับเจ้านายเอง ไม่มีใครยอมปริปากออกมาราวกับว่าเร็นเป็นบุคคลลึกลับ
“ความลับขนาดนั้นเลย”
ข้อมูลในตัวของเร็นฉันก็ไม่ได้รับรู้ทุกอย่างยิ่งพยายามก็เหมือนยิ่งคว้าน้ำเหลวทุกที ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเข้าไปถามเจ้าตัวตรงๆ อย่างที่ลูกน้องเขาบอกเท่ากับกว่าเอาครึ่งชีวิตไปเสี่ยงกับความตาย
“…”
“ถามจริงเถอะเจ้านายของพวกนายทำธุรกิจผิดกฎหมายหรือยังไง?”
ติ้ง!
ช่วงเวลานั้นลิฟต์ก็ดังขึ้นพอดีประโยคที่เป็นคำตอบจากลูกน้องของเร็นก็อย่าหวังเลย
“เชิญครับคุณรุ้ง”
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องอากาศเย็นเฉียบก็ทำให้รู้สึกเสี่ยวสันหลังอย่างน่าใจหายหนักกว่าเดิมอีกถึงแม้ตอนนี้ยังไม่พบกับร่างสูงของเร็นก็ตามส่วนลูกน้องเขาก็หลบออกไปเงียบราวกับรู้ว่าฉันต้องการมีเวลาส่วนตัว มีเพียงฉันเท่านั้นที่ยืนเงียบๆ งงๆ กลางห้องรับแขกอันสวยหรูตกแต่งสไตล์ยุโรปกระทั่งเสียงเดินเข้ามาช้าๆ จากทางด้านหลังตัวเองจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เร็น การหันตัวกลับก็พบว่าเป็นเขาจริงๆ เร็นทิ้งตัวลงโซฟาใหญ่จากนั้นก็ล้วงผ้าผืนเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยความเฉยเมยส่วนอีกมือหนึ่งของเขานั้นถืออาวุธชนิดหนึ่งที่มีอนุภาพรุนแรงสีดำมันวาว สิ่งนี้มันดูเล็กมากเมื่อเทียบกับมือใหญ่ของเร็นแต่พิษของมันกับสามารถปลิดชีวิตคนได้
“มีอะไรจะถาม ถามมาดิ?”
เร็นเงยใบหน้าขึ้นมาสบสายตากับฉันด้วยท่าทางสบายๆ เขาดูผ่อนคลายมากถึงแม้ว่าก่อนหน้าจะเห็นฉันกับทิมก็ตามแบบนี้ไงทุกอย่างจึงเป็นตัวแปลสำคัญที่ทำให้ฉันคิดว่าเขาไม่เคยแคร์ตัวเองเพราะการแสดงออกของเร็นไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันดูพิเศษมากกว่าที่เขาแสดงกับคนอื่นๆ
ไม่หึง ไม่หวงและก็ไม่มีทางห่วง ถ้าจะถามถึงความรักก็ยิ่งดูห่างไกลไปอีกความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองคนนั้นไม่รู้ว่ามันจะจบวันไหน ไม่รู้ว่าใครจะทนได้มากกว่ากัน ไม่รู้ว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะร้ายหรือว่าดีตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันแลกด้วยความเจ็บปวดแลกกับความรู้สึกดีๆ มาจนถึงปัจจุบัน
“ไม่มี”
“แล้วถามคนอื่นเพื่อ?”
แบบนี้สินะ ลูกน้องของเขาต้องรายงานทุกอย่างที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังไปหมดแล้วข้อนี้ฉันพลาดเองเพราะน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ายังไงทุกอย่างมันต้องผ่านหูผ่านตาของเร็นหมด ไม่มีอะไรเล็ดรอดสายตาระดับเหยี่ยวแบบเขา
“นายรู้มาแค่ไหนฉันก็ถามถึงแค่นั้น” แล้วก็เป็นฉันเองที่ต้องขยายความต่อ
“ที่รู้มามันไม่ใช่ เธออยากรู้มากกว่านี้รุ้ง”
ประโยคอันแสนธรรมดาเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รู้แบบทันควันไม่เว้นช่องว่างอะไรด้วยซ้ำจากนั้นนัยน์ตาสีดำก็หลุบลงไปมองวัตถุสีดำในมือและมืออีกด้านทำหน้าที่เช็ดได้อย่างดีเยี่ยม ขณะนี้เราไม่ได้พูดโต้ตอบกันโดยสบตาตามที่ควรจะเป็น
“แต่ฉันก็ไม่ได้รู้อะไรนิ”
ถึงมีเวลาอยู่ในลิฟต์นานเท่าไหร่เดาได้เลยว่าลูกน้องของเร็นก็ไม่มีทางบอกอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้วถึงจะโดนฉันซักถามมากเพียงไหนเมื่อไม่ได้คำตอบทุกอย่างก็เหมือนเปล่าประโยชน์ ยังไงเร็นก็ยังมีความลับเยอะแยะสืบทั้งวันคืนก็ยังไม่หมดเขาทำตัวราวกับไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งนั้นนอกจากนี้เร็นยังเป็นคนขี้สังเกตอีกทั้งยังฉลาดเป็นกรดอย่าพลาดให้เขาจับได้ก็แล้วไม่อย่างงั้นทุกอย่างก็จะถึงตอนจบ
จบแบบไม่สวย
ทุกคนเข้าใจใช่ไหมว่าจบแบบไม่สวยมันหมายถึงอะไร เร็นอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีความป่าเถื่อน เลว ชั่วช้าไม่เว้นว่างเสียงเล่าลือดังสนั่นจึงไม่แปลกถ้าจะมีอำนาจทำสิ่งนอกเหนือจากกฎหมายได้
“…”
“หรือว่ามันจะเป็นจริง?”
เมื่อได้ยินแค่เสียงเงียบเป็นคำตอบการขยี้จุดๆ เดิมด้วยคำถามก็ควรเป็นอีกหนทางหนึ่งเช่นกันเพื่อคำตอบที่ตัวเองอยากรู้
“หึ” เสียงเล็ดรอดออกมาจากลำคอจากนั้นมือใหญ่ที่กำลังทำหน้าที่เช็ดวัตถุสีดำกับชะงักหยุดลง เขาเลือกเงยใบหน้าหล่อขึ้นมามองฉันทำให้ฉันเลือกนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกันกับเขา “อย่างเช่น... ไอ้พวกธุรกิจผิดกฎหมายเหรอ?”
“ใช่”
“ถ้ามีโอกาสก็ควรศึกษาไว้บ้างมันก็ไม่ผิดใช่ไหมแล้ว... ถ้าเกิดมีแนวทางก็ควรลงทุนไม่ใช่”
เร็นยอมรับใช่ไหม?
ถ้าพูดแบบนี้ออกมาก็เหมือนกับเป็นการยอมรับทางอ้อมซึ่งท่าทางของเขาก็ยังไม่ทุกข์ร้อนอะไรนักหนาแต่กับสบายเสียด้วยซ้ำแต่ฉันก็มาสามารถคาดการณ์หรือแม้แต่สงสัยอะไรได้มากกว่านี้เพราะยังไม่ได้ยินประโยคยอมรับจากเขาแบบตรงๆ
“ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิด ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีกฎเกณฑ์แต่ทำไมถึงเลือกที่จะทำมันอีก นายเป็นคนฉลาดนะเร็น” ที่ฉันเตือนก็เพราะว่าหนทางที่เร็นกำลังคิดทำหรือว่าทำไปแล้วมันล้วนแล้วแต่มืดดำไม่มีทางอยู่ได้แบบสงบสุขแน่ๆ “เลิกเถอะก่อนที่นายจะพลาดขึ้นมา”
“คนเรามีสิทธิผิดพลาด” เร็นแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “จะสนทำไมก็แค่กฎเกณฑ์”
“รู้ทั้งรู้ว่าผิด รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดี นายก็ยังเอาตัวเข้าไปเสี่ยงงั้นเหรอ!”
จุดเริ่มต้นการสงสัยของตัวเองบอกเลยว่ามันเป็นประโยคของทิม นึกว่าเป็นพวกมาเฟีย มันเป็นประโยคสะกิดใจฉันเลยแหละเพียงแค่ไม่แสดงออกเท่าไหร่นักอีกประการก็คือเร็นอายุยังน้อยแต่ออร่าที่ต่อสายตาใครต่อใครล้วนเข้าข่ายไปแนวมาเฟียเจ้าพ่อประมาณนั้นยิ่งมีตัวประกอบของลูกน้องแต่งกายชุดสูทสีดำแนบซ้ายขวาเข้ามาเติมอีกมันก็ยิ่งใช่ ชีวิตจริงไม่ใช่ในละครทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ได้จบสวยเสมอไปถึงแม้ในละครที่ทุกๆ คนกำลังติดตามตัวพระเอกนางเอกจะถูกฆ่าหรือถูกยิงพวกนั้นก็ต้องรอดเพราะผู้เขียนกำหนดเรื่องให้เป็นแบบนั้นทว่าถ้าเทียบกับความจริงก็อาจสวนทางกันแบบสิ้นเชิง
มนุษย์ทุกคนรู้วันเกิดแต่ไม่มีใครรู้วันตาย เป็นประโยคที่ฉันได้ยินบ่อยๆ ตั้งแต่เด็กจนโตมันเป็นเหมือนประโยคคอยเตือนสติตัวเองให้เดินทางอยู่ในจุดที่ไม่ควรประมาทไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตามแต่สำหรับเร็นแล้วอาจใช้ไม่ได้
“แล้วตัวเธอเองล่ะ รู้ว่าผิดทำไมถึงยังต้องเลือกทำอีก?”
“พูดเรื่องอะไรนี่ฉันกำลังพูดถึงเรื่องสิ่งที่นายทำอยู่นะเร็น”
“ก็กำลังพูดถึงสิ่งที่เธอกำลังจะคิดทำ รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังอยากรู้มันไม่มีวันทำให้ชีวิตดีขึ้นก็ยังเลือกที่จะอยากรู้ บางสิ่งตัดมันออกจากหัวสมองบ้างก็คงจะดีไม่น้อย อย่ารับรู้ไปมากกว่านี้เลย”
“ว่าฉันเสือก?”
“เอาเวลาไปสมัครเรียนให้มันจบซะ”
“ไม่เรียน”
“ไม่อยากเพิ่มคุณภาพชีวิตก็ตามใจแล้ววันหนึ่งจะเสียดายขึ้นมาในตอนที่สายไป ทุกอย่างไม่มีวันย้อนกลับได้เคยนึกหรือเปล่า?” สอนคนอื่นงั้นสอนคนอื่นงี้ทีตัวเองล่ะทำได้หรือเปล่าแล้วยังมาทำเป็นสอนคนอื่นชี้ทางคนอื่นให้ทำตาม “ไม่ต้องมายอกย้อนในใจ”
“ไม่ได้ทำ” เร็นไม่เชื่อแน่
“แต่แม่งมีแช่งเพิ่มด้วยใช่ไหมวะ” เออ! เขาจะคิดอะไรก็เป็นเรื่องของเขาก็แล้วกันฉันก็ไม่ได้อยากต่อความยาวสาวความยื้อด้วยเพียงแค่ทำให้ความรู้สึกพวกนี้แสดงออกทางสีหน้า “แต่ก็อยากให้เก็บไปคิดวันข้างหน้าไม่มีอะไรแน่นอนชีวิตของเธอยังอีกยาวไกล ไม่ว่าจะเจออะไรต้องอยู่คนเดียวให้ได้”