CHAPTER 10
ไม่มีทาง!
จบหนึ่งวันก่อนหน้านั้น
ร่างสูงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยสายตาเขามองตรงไปยังเตียงคนไข้แค่เพียงจุดเดียว เตียงที่มีร่างของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักนอนไม่รู้สึกตัวมาเป็นเวลาสองวันเต็มๆ ทั่วร่างกายต่างเต็มไปด้วยผ้าปิดแผลนอกจากนั้นรอบๆ เตียงก็ต่างเต็มไปด้วยเครื่องมือทางการแพทย์อันล้ำสมัย
“มันปลอดภัยแล้ว” มือใหญ่เข้ามาตบลงบนไหล่ผมเบาๆ เพื่อไม่ให้คิดมากหรือไม่ก็เป็นเชิงปลอบใจจากเพื่อนมากกว่าพอผมหันใบหน้าไปมองสายตาของไอ้คินเพื่อคาดคั้นเอาความจริง “กูพูดจริงไอ้ซันมันปลอดภัย”
แล้วไป...
เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกผมไหมว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไง?
มันโคตรหน่วง
โคตรสับสน คิดไม่ตก
อีกอย่างยากยอมรับได้นี่ สภาพนั้นตอนที่เข้าไปเห็นร่างกายของไอ้ซันเต็มไปด้วยเลือดทั่วตัวนอนหายใจรวยรินจะขาดแหล่มิขาดแหล่เพราะถูกแรงอัดไปไกลพอสมควรแต่อย่างน้อยประโยคที่ทำให้ผมมีความหวังก็คือตอนนั้นมันยังรู้สึกตัว ยังมองหน้าผม ยังยิ้มให้ผม
ไม่ใช่ฝีมือของมึง อย่าโทษตัวเอง
อีกทั้งยังพูดประโยคนี้กับผมแต่มันจะไม่ใช่ได้ยังไงในเมื่อคนที่ไอ้พวกเดนนรกนั้นต้องการมันเป็นลมหายใจและร่างไร้วิญญาณของผมคนเดียวไม่ใช่ของใครคนอื่น ถ้าคืนนั้นผมขับรถออกมาก่อนไอ้ซันคนที่จะต้องโดนแบบนี้มันก็ต้องเป็นผมเอง
คนที่ควรนอนบนเตียงแบบนี้มันควรเป็นผมมากกว่าไอ้ซัน
“อือ”
“กูรู้นะว่ามึงโทษตัวเองอยู่ไอ้เชี่ยเร็น”
“…”
ถูก ไม่ปฏิเสธเลยและยังเห็นด้วยมากกว่ากับประโยคนี้
ยังไงต้นเหตุก็ยังเป็นผมอยู่ดี
“แต่มันก็ย้อนกลับไม่ได้มึงเข้าใจไหมวะ?”
ย้อนไม่ได้แต่ถ้าผมได้รู้ว่าเป็นฝีมือหมาตัวใดสั่งหรือบงการพวกมันก็ไม่จำเป็นต้องเหลือซากเอาไว้เช่นกันไม่ว่าจะหัวงอกหัวดำผมจะไม่เว้นให้มันได้หายใจอีก!
“เข้าใจ”
สองพยางค์ที่ผมขานรับไอ้คินก่อนจะได้เห็นร่างของเพื่อนรักขยับตัวพร้อมกับฟื้นตัวขึ้นเท่านี้ก็สามารถทำให้ความเครียดบวกกับความอึดอัดจากลงได้มากโข ไอ้ซันมันฟื้นตัวได้เร็วมากพร้อมกับพูดอะไรบางสิ่งให้ผมฟัง…
ดีจะได้สาวไปถึงตัวการง่ายๆ
“งั้นกูกลับก่อน”
ก่อนกูออกจากที่นั่นเห็นผู้ชายตัวสูงอายุประมาณพวกเรามองอยู่ เพียงแค่นี้ฟ้าก็เข้าข้างผมมากพอคำบอกเล่าที่เป็นประโยชน์มากมันสามารถไขปริศนาเรื่องเลวๆ พวกนี้ได้เพราะทุกอย่างที่ผมได้ยินสามารถเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่การหาตัวไอ้คนทำ ไม่นานนักการใช้เวลาเดินมาถึงรถตรงลานจอดอีกชั้นของโรงพยาบาลไอ้คินผมก็ขึ้นรถทันทีนัยน์ตาสีดำมองออกไปนอกหน้าต่างรถเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่างคิ้วเรียงขมวดแบบเครียดๆ จนสุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมา
“เรื่องที่ให้สืบความคืบหน้าเป็นยังไง?”
“คืนเกิดเหตุการณ์กลุ่มนั้นเคลื่อนไหวครับนาย”
นึกแล้วว่าต้องเกี่ยว
แต่ก็ยังเชื่อไม่ได้เต็มร้อย วงการนี้อยู่ได้ไม่ง่ายเพราะฉะนั้นการหักหลังล้วนทำกันได้มีจุดมุ่งหมายก็แค่เพียงคำว่าผลประโยชน์
“อืม ต่อเลย”
“แต่ก็ไม่แน่ครับว่าเป็นคนทำ”
“หมายความว่าไง มีอะไรอีก?”
เพราะได้ยินประโยคนี้ถึงกับทำเอาผมชะงักหรือว่าจะเป็นอย่างที่ผมสังหรณ์อยู่ ผมมองไปยังคนขับรถที่พ่วงด้วยตำแหน่งมือซ้ายของตัวเองจากนั้นก็ย้อนกลับไปมองอีกคนที่นั่งข้างกันที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวา
“กลุ่มนั้นแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายต่างก็อยากโค่นอำนาจของกันและกันครับนาย”
ลางสังหรณ์ผมเป็นจริง
“แสดงว่าพวกมันหักหลังกันและก็สร้างเรื่องเหี้ยๆ ขึ้นมาเพื่อป้ายให้อีกฝ่ายให้เราสงสัย”
“ครับ” ลูกน้องผมยอมรับ “จะให้จัดการยังไงต่อไปดีครับนายพวกมันยังไม่รู้ว่า...”
“...คงไม่รู้สินะว่าอีกฝ่ายเป็นคนของเรา”
ฉลาดมากนะแต่ควรไปฝึกมากกว่านี้หน่อยจะได้เป็นมืออาชีพ เพียงเท่านี้ผมก็รับรู้ได้ว่าเป็นฝีมือพวกไหนจะสาวถึงตัวการอีกขั้นก็คงไม่ยากนัก
“ไม่รู้ครับนาย”
“ดีจะได้จัดการง่ายๆ ครั้งนี้กูจะลงมือเอง”
ทุกอย่างเงียบสงบลงราวกับว่าทั้งสามไม่เคยได้พูดคุยกันมากก่อนแต่ก็ถือว่าเป็นปกติมากสำหรับผมเพราะการดำเนินชีวิตแบบนี้มันเริ่มมากนานมากแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ผมพูดจบก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาต่อสายถึงใครบางคนที่ไม่ได้คุยนานแล้วรอไม่นานนักปลายสายก็พูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงมากกว่าปกติ
[ฮัลโหลว่าไงคะเฮียขา....]
REN: อย่าลากเสียง ขนลุกวะ
น้ำเสียงหวานจ๋อยยิ่งกว่าการผสมน้ำเชื่อมน้ำตาลน้ำหวานน้ำอ้อยรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเสียอีกแบบนี้คงไม่ได้ไปทำอะไรผิดมากใช่ไหมวะ
[โห... เสียงน้องเสียงนุ่งทำเป็นบอกน่าขนลุก ทีเสียงสาวๆ เนสไม่เห็นว่าสักคำเลย]
ประชด?
ผมไม่ได้เห็นใครดีกว่าน้องในไส้นะ ผมคิดแบบนี้เสมอ
REN: อย่าเวอร์
นานแล้วมั้งที่เราสองพี่น้องไม่ได้คุยกันเลยด้วยอุปสรรคอยู่ห่างกันคนละที่คนละเมืองด้วยแหละเนิ่นนานสักครั้งถึงจะได้เห็นตาเห็นตาส่วนมากก็ตอนวันหยุดกลับบ้านใหญ่
[ก็ได้ค่ะว่าแต่เฮียโทรมาก็ดีแล้ว]
REN: มีอะไร?
เพราะผมขึ้นเสียงมั้งลูกน้องจึงผ่อนลดความเร็วลง
[ก็เงินครั้งก่อนที่จ้างขึ้นสถานะด้วยในเฟซ อย่าทำเป็นลืมเนสไม่ยอม]
จริงดิข้อนี้ผมก็ลืมไป
ความจริงวันนั้นอยากทดสอบอะไรบางอย่างกับผู้หญิงหัวดื้อคนหนึ่งที่เอ่ยปากบอกปาวๆ ว่าไม่สนใจอยากจะทำอะไรก็เชิญ ผมจึงทำจริงๆ ด้วยการขึ้นสถานะกำลังคบกับยัยเรเนสน้องสาวตัวแสบ
REN: ไม่ลืม
[ไม่ลืมก็รีบโอนเลยเฮีย ข้อแลกเปลี่ยนก็คือข้อแลกเปลี่ยนต้องทำตาม เอามาเลย 50,000]
ค่าโง่ของผมเทียบกับเงินหลักหมื่น
โคตรแพงเอาไปลงทุนอะไรได้ตั้งเยอะแยะ ไม่น่าเลยไอ้เร็น!
REN: รู้แล้วหน่า ตกลงเป็นน้องหรือม๊าวะ?
[น้องดิเฮีย! ป๊าม๊าไม่เป็นหรอกเพราะมีลูกอย่างเฮียโคตรเลี้ยงยากเลยอ่ะ]
หลอกด่าชัดๆ ไอ้น้องบังเกิดเกล้า
REN: เกินไป ตั้งใจเรียนอย่าไปเที่ยวผับ อย่าดื่มเหล้าและก็อย่าไปสนามแข่ง
มหาวิทยาลัยที่เรเนสเรียนมีสิ่งยั่วยุมากมายให้เกิดกิเลสเรียกได้ว่าโซนนั้นถ้าใจแข็งไม่จริงก็ไม่ควรไปเรียนซึ่งไม่ได้มีแต่สิ่งไม่ดียังมีกลุ่มสารเลวขึ้นชื่อในเรื่องโลกีย์ไม่น้อยกว่าพวกผมสักเท่าไหร่นัก เอาจริงๆ ก็ไม่อยากให้น้องไปยุ่งอีกอย่างผู้หญิงไปที่แบบนี้มันอันตรายอยู่แล้วร้อยทั้งร้อยไม่ปลอดภัยเลยและนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมสั่งห้ามเสมอ
ไม่รู้ว่าจะฟังหรือเปล่า
[ค่ะ เนสรักเฮียนะถ้าจะให้ดีบวกค่าขนมให้เนสด้วย บายเฮีย]
REN: เดี๋ยวเนสเฮียพูดจริงอย่าไปในสิ่งที่ได้ห้ามถ้ารู้อย่าบอกว่าไม่เตือน
ประโยคคำสั่งจบผมก็ตัดสายน้องสาวตัวเองทันทีความจริงแล้วทุกอย่างที่ตัวผมสั่งห้ามเรเนสมีสิ่งกลัวสิ่งหนึ่ง กลุ่มสารเลวนั้นทั้งพวกผมและพวกนั้นไม่ได้เป็นอริกันต่างคนต่างอยู่ในที่ของตัวเองมากกว่าต้องคอยสร้างว่าเป็นศัตรูทว่าตอนนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจ
รุ้ง เป็นน้องสาวของหนึ่งในกลุ่มนั้น น้องสาวที่ไอ้รูธหวงเยี่ยงไข่ของจงอาง
ถ้าจะเปรียบได้ว่ากลุ่มผมเป็นเสือกลุ่มนั้นก็เป็นสิงไม่มีสิ่งใดที่พวกเรารู้แล้วพวกนั้นจะไม่รู้ ไม่มีอะไรที่ผมทำแล้วไอ้รูธจะไม่รู้ยิ่งน้องสาวมันอยู่กับผม
“นายครับ คุณรุ้งอยู่กับคนแปลกหน้าตรงซุปเปอร์มาเก็ตล่างล่างคอนโดครับ”
“พวกมึงไม่เคยเห็นหน้า?”
ผมสั่งพวกติดตามรุ้งเสมอไม่ว่าจะออกไปไหน
“ไม่เคยครับ”
“งั้นก็ไปสืบมา” ตอนนี้ใกล้ถึงคอนโดเพียงแค่เลี้ยวซ้ายตรงอีกนิดก็ถึง “วันนี้ถ้าใครถามพวกมึงก็ตอบว่าไปคลับตามปกติ”
“เผื่อคุณรุ้งถามใช่ไหมครับ?”
“เออ” ผมก้าวลงจากรถทันทีเมื่อรู้ว่ารถได้จอดสนิทจากนั้นก็รีบเข้าคอนโด ผมเข้ามาทันเห็นรุ้งยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งจริงพอเธอเห็นผมก็คงแอบตกใจนิดหน่อยมั้ง รูปร่างไอ้คนนั้นสูงขาวเรียบร้อยหน่อยๆ มันมองตามสายตาของรุ้งมายังผมเป็นวินาทีที่ผมหันกลับเพื่อจะเดินเข้าลิฟต์ “ไปตามมา”
“ครับนาย”
บางครั้งผมก็คิดนะว่าบังคับให้รุ้งอยู่ในกฎในโอวาทของตัวเองมากไปหรือเปล่า คอยบังคับโน้นบังคับนี่ไม่หยุดยั้งอีกทั้งยังสร้างความทรมานให้กับเธอมากแค่ไหนมันก็ไม่แปลกถ้ารุ้งจะหนีผมออกไปเที่ยวเพื่อคลายความเครียด อยากปลดปล่อยอยากเจอหน้าของเพื่อนๆ ตัวเอง
แต่ความปลอดภัยของเธอมันเท่ากับศูนย์...
ผมไม่อยากเสี่ยง