WANMAI TALK
ซวย! มหาซวย! โคตรซวย!!!
ไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาเทียบได้กับสถานการณ์ในตอนนี้ดี ดูเหมือนไอ้ตัวต้นเหตุจะไม่ได้รู้สึกอะไรเฉียดเช่นเดียวกับฉันเลยแม้แต่น้อย เขาไม่แม้แต่จะรู้สึกอะไรในสิ่งที่ตัวเองก่อไว้ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นห้องเขาเมื่อวาน
แผ่นดินผิวปากแบบคนสบายอารมณ์ เดินประกบหลังฉันจนแทบจะชิดคล้ายกับว่าจะเข้าสิงร่างยังไงอย่างงั้น -_- บอกได้คำเดียวว่าอึดอัด ทุกๆ ความรู้สึกที่บวก ลบ คูณ หาร ออกมาได้ผลลัพธ์ว่าไม่ชอบ ต่างประดังประเดฉันแทบจะจุกอกตาย
ยิ่งฉันเดินเร่งฝีเท้าหนีห่างเขาเท่าไหร่ เขาเองก็ยิ่งเร่งฝีเท้าตามติดฉันมากเท่านั้น จนกระทั่งเราทั้งคู่ก็มาหยุดอยู่ที่ห้องสวัสดิการขายเครื่องเขียนในที่สุด
“หยุดทำไม?” คำถามโง่ๆ ที่ลอดออกมาจากปากคนตัวสูงตรงหน้า ทำฉันกอดอกถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย พูดตอบกลับไปด้วยถ้อยคำสั้นๆ
“โง่!”
“ด่าอีกแล้ว?”
“เออ!”
“พูดดีๆ ไม่เป็นไง?”
“พูดดีๆ กับคนอื่นน่ะพูดได้ แต่กับนายไม่!”
“ทำไม?” เขายกยิ้มจ้องหน้าฉันด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “กลัวโดนแบบเมื่อวานอีกหรือไง?”
“นาย!!” ฉันกัดฟันกรอด ใบหน้ามันร้อนฉ่าไปหมด เมื่อถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นที่เขาพยายามรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวภายในร่างกายของฉัน พร้อมทั้งง้างมือขึ้นสูง เมื่อมันสุดจะทนกับคำพูดจาห่ามๆ ของคนตรงหน้า
ฟึบ!
แผ่นดินพุ่งมือเข้าคว้าข้อมือฉันแน่น รอยยิ้มหวานเคลือบยาพิษกระตุกยิ้มยันแบบพอใจ
“เธอตบฉันได้แค่สามครั้งเท่านั้นแหละวันใหม่”
“....” หมะ หมอนี่!
“แต่ถ้าอยากตบมากกว่าสามครั้งเธอควรจะหาอะไรมาแลก”
“ปล่อย!”
“อะไรที่น่าเหนื่อยกว่าเมื่อวานนี้” เขาหัวเราะหึออกมาเบาๆ และยอมปล่อยมือจากข้อมือฉันอย่างว่าง่าย พร้อมทั้งกำชับ
“รอตรงนี้ อย่าไปไหนล่ะ”
“อย่ามาสั่ง!”
แผ่นดินยักไหล่ ท่าทางยียวนก่อนจะหันหลังผลักประตูห้องสวัสดิการเข้าไปภายใน ปล่อยให้ฉันได้แต่ยืนกำหมัดแน่น กักกลั้นอารมณ์หงุดหงิดที่พร้อมจะระเบิดออกมาอยู่อย่างนั้น
ฉันเคยคิดว่าเขาเป็นคนน่ารักคนหนึ่ง เคยคิดว่าเขาเป็นคนเฮฮาและดังในหมู่สาวๆ ในมหาลัย เคยรู้สึกสนุกกับการที่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาในทุกๆ วัน แต่ในเวลานี้ ตอนที่เขาทำร้ายความรู้สึกของใบอ้อลับหลัง แถมยังกล้าทำกับคนใกล้ตัวของบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าแฟนของตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย มิหนำซ้ำ ยังกล้าทำเรื่องแบบนั้นกับร่างกายฉันเพราะความเอาแต่ใจแบบไม่รู้สึกผิดอะไร
คนแบบเขาไม่เหมาะสมกับใบอ้อเลยสักนิด!
“พรุ่งนี้วันศุกร์แล้วว่ะ มึงว่าเฮียแผ่นดินจะจัดอะไรไว้เซอร์ไพรส์พวกเราบ้างวะ?”
ฉันเหลือบมองไปตามต้นเสียงด้วยความสงสัย นักศึกษาชายสองคนที่พากันมายืนพักจุดบุหรี่ดูดหลบบริเวณข้างตึก ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นเด็กในคณะเดียวกันด้วยสิ
“รอบก่อนกูติดธุระไปต่างจังหวัด เลยอดสนุกด้วยเลย”
“อาทิตย์ที่แล้วพวกเฮียดินเหมาหญิงมาให้สนุกกัน ลีลาอย่างเด็ด”
พวกเขากำลังพูดถึงบุคคลที่ฉันรู้จักดี เพราะแบบนั้นเอง ฉันจึงรีบเขยิบตัวพิงนาบกับกำแพงเพื่อเงี่ยหูฟังให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“พวกเฮียเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะวะ กูล่ะอิจฉาเป็นบ้า”
“อย่าว่าแต่หาเงินมาจากไหนเลย ผู้หญิงที่พวกเฮียซื้อมาให้พวกเราสนุกกันจัดว่าเด็ดทุกคน นี่ดิ! ที่เรียกว่าน่าอิจฉา”
ฉันยกมือปิดปากแบบไม่เชื่อหู ถึงจะจับใจความอะไรได้ไม่ชัดมากนัก แต่ก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่นักศึกษารุ่นน้องสองคนนี้กำลังพูดถึงกัน ซื้อผู้หญิงมาให้คนอื่นสนุกเหรอ มันหมายความว่ายังไงกัน แต่ที่แน่ๆ มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ฉันพยายามขยับเข้าใกล้พวกเขาทั้งคู่อย่างเงียบที่สุด หวังจะฟังให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เผื่อว่าอาจจะได้ข้อมูลดีๆ ไปบอกใบอ้อให้เลิกกับเขาซะ
“มึงรู้จักพี่กิ่งแก้วเปล่าวะ?”
“ดาวคณะมนุษย์ฯป่ะ?”
“เออ คนที่เฮียดินเคยคั่วด้วยไง”
เคยคั่วด้วย...
“ทำไมวะ?”
“กูได้ข่าวมาว่า พี่กิ่งแก้วโดนเด็กคณะเรารุมว่ะ”
ตึก ตัก ตึก ตัก... ตึก ตัก ตึก ตัก...
หัวใจฉันเต้นรั่วถี่ เมื่อใบหูได้รับฟังในสิ่งที่น่าตกใจ ถึงฉันจะตีความได้ไม่เต็มที่นัก แต่ฉันก็ไม่โง่พอที่จะไม่เข้าใจในสิ่งที่สองคนนั้นพูดถึงกัน ที่สำคัญที่สุดเฮียดินหรือเฮียแผ่นดินที่พวกเขาพูดถึง มันหมายถึงใครกัน...หรือว่าจะเป็นตานั่น
“หมายความว่าไงวะ...”
“ก็หมายความว่า...”
ฟึ่บ!
“ทำไร!”
ฉันสะดุ้งตัวโยน หันขวับมองเจ้าของเสียงด้วยความตกใจพร้อมด้วยเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามไม่หยุด
แผ่นดินหรี่ตามองฉันเล็กน้อย ก่อนจะชะโงกหัวมองอีกด้านของกำแพงด้วยความสงสัย
“อ้าวเฮีย!” น้ำเสียงดีอกดีใจของนักศึกษารุ่นน้องดังทักขึ้นทันที พร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรบนดวงหน้าของวายร้ายตรงหน้า
“มาทำไรกันตรงนี้?” เขาเปล่งเสียงถามเด็กพวกนั้นออกไปอย่างเป็นมิตร
“พวกผมกำลังพูดถึงเฮียนั่นแหละ”
“พูดถึง?”
“เรื่องปาร์ตี้วันศุกร์ไงเฮีย พรุ่งนี้มีอะไรหนุกๆ ให้ทำเปล่า?”
เขาเงียบเสียงลงครู่หนึ่งพลางเหลือบหางตามองฉันที่จ้องเขาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะหันไปตอบคำถามรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงเดิมๆ
“ลองมาดู เดี่ยวก็รู้”
ฉันเม้มปากแน่นกับคำตอบที่เขาพูดออกมา ก่อนจะเป็นฝ่ายปลีกตัวเดินกลับไปที่ห้องพักอาจารย์แบบไม่พูดไม่จา เป็นเขาจริงๆ เขาคือคนที่นักศึกษาสองคนนั้นพูดถึง ถ้าอย่างงั้นก็แปลว่าผู้หญิงที่ชื่อนินจาอะไรนั่นก็..
ขวับ!
ฉันสะดุ้งเฮือกมือแขนซ้ายถูกรั้งไว้อย่างแรง จนต้องเหลียวมอง
แผ่นดินบีบแขนฉันแน่น แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย เสียงหอบเหนื่อยที่รอดผ่านไรฟันทำให้รู้ได้ทันที ว่าเขาคงต้องรีบวิ่งตามฉันมาแน่ๆ
“จะรีบไปไหน”
“ปล่อย!” ฉันโวยวายพลางบิดแขนตัวเองให้หลดจากฝ่ามือแกร่งนั่น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“เธอได้ยินอะไรมา”
“ยุ่งอะไรด้วยล่ะ!”
“ถามก็ตอบ!”
ฉันเหยียดยิ้ม มอบตอบสายตาเขากลับไปอย่างนึกรังเกียจ
“กลัวฉันจะรู้อะไรงั้นเหรอแผ่นดิน?”
เป็นครั้งแรกที่เขาดูมีสีหน้าหวาดหวั่นต่อคำพูดของฉัน แต่มันก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ที่เขาแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมา
“อย่ามาเล่นลิ้นว่ะวันใหม่ ตอบ!”
“ทำเลวอะไรไว้ล่ะ?” ฉันเลิกคิ้วถามย้อนกลับไปอีกครั้ง พลางสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุดจากฝ่ามือแกร่งในที่สุด “ทำเลวอะไรไว้ น่าจะคิดเองได้นี่” ฉันเสริมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างไปจากเดิมนัก
“ทำเลวอะไร?”
“มันเยอะจนจำไม่ได้เลยหรือไง?”
“....”
“ความเลวของนาย ฉันจะเอาไปบอกใบอ้อให้หมด เพื่อนฉันจะได้ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับผู้ชายแบบนายอีก”
“แล้ว?”
“ฉันจะบอกอาจารย์”
“บอกเรื่อง?” เขาย้อนกลับมาแบบทองไม่รู้ร้อน
“ก็เรื่องที่...”
“ก็ดี” เขาขัดขึ้นเสียงเรียบ โดยยังคงใช้แววตาเดิมๆ มองฉันคล้ายกับไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคำขู่ “ฉันจะได้บอกใบอ้อเหมือนกัน”
“บอกอะไร!” ฉันย้อนกลับไปแบบไม่เข้าใจ
“ว่าฉันมันเลวมากแค่ไหน”
“....”
“ที่ดันใช้นิ้วสำรวจร่างกายเพื่อนแฟน…เมื่อวาน”