บทที่6
“ข้าจะไปเรือนชมจันทร์“ จื่อหยางหันไปบอกเสี่ยวอันนางกำนัลคู่ใจ ให้นางใช้ชีวิตอยู่ไปวันวัน เช่นนี้มันน่าเบื่อ ไร้แสงสีเสียง ยุคโบราณสำหรับผู้อื่นอาจจะมีสีสันแต่สำหรับคุณหนูตระกูลใหญ่ในห้องหอแล้วอยู่จวนต้องเชื่อฟังบิดามารดาแต่พอแต่งออกมาแล้วก็ต้องเชื่อฟังสามี องค์ชายโจตรอวี่ห้ามไม่ให้พระชายาของตนออกจากวังแม้แต่เพียงก้าวเดียว เขารังเกียจนาง ทำกับว่านางนั้นไร้ตัวตนในวังแห่งนี้แต่ก็ห้ามนางออกไปจากวังด้วยเช่นเดียวกัน จื่อหยางไม่เข้าใจความคิดของบุรุษผู้นั้นสักนิด ตกลงเขารักภรรยาของตนหรือไม่รักกันแน่ แต่เท่าที่สำรวจความทรงจำของร่างเจ้าของร่างเดิมแล้วนางสรุปได้อย่างมั่นใจว่า เขานั้นไร้ซึ่งความรัก
ยิ่งสายฝนโปรยปรายลงมามากเท่าไหร่ยิ่งทำให้จื่อหยางรู้สึกหดหู่มากเท่านั้น
”โอ้ย! วันๆ นั่งกินนอนกินจะเป็นซึมเศร้าอยู่แล้วเว้ย“ นางไม่ได้เพียงนึกอยู่ในใจ แต่ริมฝีปากบางหลุดเอ่ยออกมาเมื่อใดไม่รู้
แต่พอนึกขึ้นได้ก็หันหลังไปมองนางกำนัลที่ยืนอยู่ไม่ไกลเห็นเสี่ยวอันผงะตกใจในอากับกริยาของนางเมื่อคู่นี้ ทำให้จื่ออย่าง นึกได้ว่าตนเองนั้นเผลอทำสิ่งใดลงไปได้แต่ยิ้มแห้งให้กับเสี่ยวอัน ก็แน่ล่ะสิจื่อหยางคนเดิมเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้แต่จื่อหยางคนนี้อย่าให้พูดเลย ทุกสัดส่วนในร่างกายไม่มีส่วนไหนไม่เคยโชว์เพื่อแลกเงิน
“เสี่ยวอันข้าอยากออกไปข้างนอก หมายถึงนอกวัง“
”อ่า…“ เสี่ยวอันทำเสียงอึกอัก ”องค์ชายคงไม่อนุญาตเพคะ“
”แอบออกไปไม่ได้เหรอ“ จื่อหยางยังคงไม่ยอมแพ้ นางเบื่อแล้วที่จะนั่งอยู่แต่ภายในวังอยู่แต่ภายในตำหนักอย่างน้อย ก็ออกไปข้างนอกเดินเที่ยว เดินตลาด เดินซื้อของก็ยังดี ในชีวิตเดิมนางไม่เคยมีเวลามาเที่ยวเล่น เพราะต้องทำงานหาเงินเพื่อไปจ่ายดอกเบี้ยค่ารักษาพยาบาลของยายที่หยิบยืมมา แต่พอได้มีชีวิตใหม่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ร่ำรวยมีเงินทองจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือ แต่กลับไม่สามารถใช้จ่ายได้ตามอำเภอใจ จะใช้ได้อย่างไรเล่า วันๆ อยู่แต่ในวังขององค์ชายสี่เช่นนี้
“เฮ้อ!” จื่อหยางถอนหายใจ “ถ้าหากว่าข้าไปขออนุญาตคนผู้นั้นเขาจะอนุญาตให้ข้าออกไปได้หรือไม่”
“หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ไม่ควรจะออกไปเที่ยวเล่นตามลำพัง”
“ก็ไปในฐานะคุณหนูธรรมดาไม่ได้เหรอ ข้าปลอมตัวเป็นหญิงชาวบ้านได้ไม่ติดเลยสักนิด”
“พระชายาจะปลอมตัวได้เช่นไร แม้พระองค์จะอยู่แต่เพียงในวังขององค์ชายสี่ แต่พระองค์ลืมไปแล้วหรือไม่ว่าท่านเป็นหนึ่งในสี่ของสาวงามของเมืองหลวง ไม่มีใครลืมใบหน้าของท่านไปได้หรอกเพคะ”
“อ่า… นั่นสิข้าลืมไป” จื่อหยางนั่งนึกทบทวนความทรงจำของร่างนี้ ไม่มีช่วงเวลาใดที่องค์ชายสี่กระทำดีต่อร่างนี้มีเพียงเจ้าของร่างนี้เท่านั้นที่หลงรักบุรุษผู้นั้นอย่างโง่งม
จื่อหยางลุกพรวดพราดเดินออกจากตำหนักมุ่งหน้าไปยังเรือนชมจันทร์ เสียงดนตรีดังมาแต่ไกล ไม่ต้องเดาให้มากความ เป็นเสียงบรรเลงดนตรีจากผู้หญิงเหล่านั้น ที่ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ภายในเรือนชมจันทร์และบุรุษผู้นั้นคงอยู่ภายในนั้นด้วยในเวลานี้
กลางวันแสกๆ ก็ไม่เว้น ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกัน พวกผู้ชายนี่มันมักมากทุกยุคทุกสมัยเลยเหรอ
“หายป่วยแล้ว” โจวตงอวี่เลิกคิ้วมองสตรีที่เดินเข้ามาด้วยหางตา เขานึกแปลกใจที่นางถ่อสังขารมาถึงนี่ นางเคยลั่นวาจาว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีวันย่างกายเข้ามาที่นี่เด็ดขาด
“ใช่เพคะ หม่อมฉันหายดีแล้ว”
“แล้วมาที่นี่ทำไม ถ้าจะมาตามหึงหวงข้าถึงที่นี่ก็กลับไปเสียเถอะเสียเวลาข้าจะฟังดนตรี“ พอกล่าวจบโจวตงอวี่ก็หันกลับมาดูการแสดงบนเวทีเล็กๆ ตรงหน้าเช่นเดิม สตรีในเรือนชมจันทร์ในยามนี้แปลงร่างเป็นนางรำ บางคนขับกล่อมร้องเพลงตามท่วงทำนอง บางคนเล่นดนตรี บางคนร่ายรำตามเสียงเพลง ช่างเพลิดเพลินตาเหลือเกิน
”หม่อมฉันอยากออกไปข้างนอกเพคะ“
”เจ้านี่นะอยากออกไปข้างนอก“
”เพคะ“
”ลืมฐานะตนเองแล้วอย่างงั้นเหรอ เจ้าไม่ใช่คุณหนูตระกูลจื่อที่จะสามารถออกไปเดินเล่นชมนกชมไม้ได้อย่างเมื่อก่อน ตอนนี้เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายอย่างข้าตำแหน่งที่เจ้าอยากได้ยังไงเล่า เจ้าจะทำตามใจตนไม่ได้อีกแล้วต้องทำตามกฎของวัง“
จื่อหยางแม้จะคาดการณ์เอาไว้เก้าในสิบส่วนว่าคงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากวังแห่งนี้ แต่ก็แค่อยากลองดู ดีกว่านั่งเฉยเฉยและคาดหวังคำตอบไปเองเพียงลำพังดวงตากลมโตมองไปยังเวทีเบื้องหน้าทันใดนั้นนางก็ตัดสินใจทรุดกายนั่งลง
”ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอชมการแสดงด้วยได้หรือไม่เพคะ“ ไม่รู้ล่ะนั่งลงแล้วไม่ให้ดูด้วยก็จะดู มีไรป่ะ
”เจ้าเนี่ยนะอยากดูพวกนางร่ายรำ” โจวตงอวี่ทำเสียงอย่างไม่น่าเชื่อ จื่อหยางเกลียดพวกเหมยเหมยยิ่งกว่ากิ่งกือใส้เดือน หาทางกลั่นแกล้งพวกนางไม่เว้นในแต่ละวัน
“เพคะหม่อมฉันก็อยากจะรู้ว่าพระองค์ติดติดใจอะไรนักหนา”
“อย่ามาไร้สาระแถวนี้จะไปไหนก็ไปให้พ้นหน้าข้า”
“พระองค์เข้าใจผิดแล้ว หม่อมฉันไม่ได้ทำเพราะหึงหวง หม่อมฉันแค่เบื่อที่จะอยู่ในตำหนัก พอจะออกไปข้างนอกพระองค์ก็ไม่ให้หม่อมฉันออกไป ในเมื่อมีสิ่งบันเทิงใจอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ หม่อมฉันก็แค่อยากขอชื่นชมด้วยหรือว่าแค่นั่งเงียบๆ ตรงนี้ก็ขัดหูขัดตาพระองค์หรือจิตใจคับแคบเสียเหลือเกิน”
“เจ้า!” ดวงตาคมวาวโล้ด ไม่คิดว่าคนที่คอยแต่ก้มหน้าก้มหน้าฟังคำสั่งเขาจะกล้าเชิดหน้าต่อปากต่อคำ เมื่อครู่นางว่าข้าใจแคบใช่หรือไม่
จื่อหยางไม่สนใจว่าโจวตงอวี่จะอนุญาตให้นางนั่งชมดนตรีด้วยหรือไม่ ถ้าไม่อยากก็ให้คนมาอุ้มนางออกไปก็แล้วกัน ตูดถึงพื้นแล้วอย่าฝันว่านางจะลุกเดินออกไปเอง
จื่อหยางไม่สนใจว่าโจวตงอวี่จะอนุญาตให้นางนั่งชมดนตรีด้วยหรือไม่ ถ้าไม่อยากก็ให้คนมาอุ้มนางออกไปก็แล้วกัน ตูดถึงพื้นแล้วอย่าฝันว่านางจะลุกเดินออกไปเอง
เสี่ยวอันรีบวิ่งไปหยิบกาสุรามาตามที่พระชายาสั่ง บอกข้าหลวงคนอื่นให้นำตั่งเตี้ยและสำหรับอาหารมาวาง นางรีบรินสุราให้เจ้านายของตน พยายามทำเป็นไม่สนใจสายตาขององค์ชายที่มองมา แม้ในใจจะหวาดกลัวไม่น้อย
จื่อหยางหันไปสั่งให้นางกำนัลรินเหล้าให้นางดื่ม ไม่สนใจท่าทางกระฟัดกระเฟียดไม่พออกพอใจของพระสวามี ในเมื่อไม่ให้ออกไปข้างนอก ได้ นางจะอยู่นี่แหละ นางก็จะอยู่ตรงนี้แหละเป็นมารขัดขวางความสุขของเขา