"เจ้าว่าอันใดนะ สตรีที่สมควรตายไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนผู้นั้น ได้ปรากฏกายขึ้นอย่างนั้นหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ซุนฮองเฮาถึงกับกำพระหัตถ์แน่น สีหน้าแววตาของพระนางตอนนี้เต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม
"พวกเจ้าไปสืบมาให้จงได้ ว่าแท้ที่จริงแล้วนางคือหวงลี่ผิงเมื่อห้าปีที่แล้วหรือไม่ เพราะหากนางเป็นเพียงสตรีที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันเพียงเท่านั้น ข้าก็ไม่ต้องการเสี่ยงที่จะไปเล่นงานคนของหานอ๋องเข้า"
"แล้วหากความจริงคือนางคือสตรีผู้นั้น พวกเราจะทำเช่นใดดีพ่ะย่ะค่ะ"
"หากนางคือหวงลี่ผิงจริง แน่นอนว่าการปรากฏตัวของนางในครั้งนี้ จะต้องมีจุดประสงค์ ซึ่งนั่นคงไม่ต้องคิดให้ยากความ นางต้องการที่จะกลับมา เพื่อที่จะแก้แค้นผู้ที่ทำร้ายนางในปีนั้นเป็นแน่"
ซุนฮองเฮาแสดงสีหน้าที่น่ากลัวขึ้นมา จนนางกำนัลที่อยู่ที่นั่นถึงกับตัวสั่นเทาอย่างหวาดกลัว
"ข้าจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าในตอนนี้ นางจะดำรงตำแหน่งเป็นชายารองของหานอ๋องก็ตาม มันผู้ใดที่มาขวางทางของข้า มันผู้นั้นจะต้องตายเพียงสถานเดียว ในเมื่อข้าเคยกำจัดนางไปได้ครั้งหนึ่ง จะทำอีกครั้งจะเป็นอันใดไป"
หวงลี่ผิงถูกหานหรงอี้ โอบกอดไว้จากทางด้านหลังในขณะที่พวกเขากำลังอยู่ในสวนดอกไม้ของตำหนักเกาลี่ฉี
เกาลี่ฉีที่มาเห็นภาพนั้นโดยบังเอิญ ถึงกับกำมือแน่น เขากระแอมไอออกไป เพื่อส่งเสียงให้ทั้งคู่ได้รู้ถึงการมาของตน แต่ดูเหมือนว่าหานหรงอี้จะไม่สนใจปล่อยหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของตนเองออก เขาเพียงหันมายกยิ้มให้กับเกาลี่ฉีอย่างไร้ซึ่งความเขินอาย
"ชินอ๋องก็มาชมบรรยากาศยามค่ำคืนของสวนดอกไม้เช่นกันหรือ"
"ใช่แล้ว ข้าชอบมานั่งคิดอะไรเพียงลำพัง ไม่คาดคิดว่าจะได้พบพวกท่านทั้งสอง" เกาลี่ฉีกัดฟันกล่าวออกมา แต่สายตาของเขายังคงจดจ้องทั้งคู่อย่างไม่วางตา
"ข้าและชายาเพียงอยากจะใช้เวลาหนีเจ้าตัวน้อย เพื่อใช้เวลาร่วมกันสักพัก หวังว่าชินอ๋องคงจะไม่ถือสา" หานหรงอี้โอบกอดนางแน่นขึ้น
"เสด็จพี่ปล่อยเถิดเพคะอายชินอ๋องเสียบ้าง ที่นี่หาใช่ตำหนักของพวกเราไม่"
เมื่ออยู่ต่อหน้าเกาลี่ฉีหวงลี่ผิงก็แสดงท่าทีเขินอายออกมา การแสดงออกของนางเป็นไปอย่างธรรมชาติ จนเกาลี่ฉีต้องขบกรามแน่น
"การแสดงความรักต่อชายามีเรื่องใดให้น่าอับอายกัน ข้าคิดว่าจะหาน้องให้กับหมิงเอ๋อร์เพิ่มอีกสักคน การมายังแคว้นต้าหยางนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศสำหรับพวกเราเจ้าว่าไม่ดีหรือ"
"เสด็จพี่ท่านช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก"
หวงลี่ผิงใบหน้าแดงก่ำนางหยิกไปที่ต้นแขนของเขาพร้อมกับเดินหนีออกมา การแสดงท่าทีเขินอายของนางไม่ได้มีช่องโหว่ใดๆ ให้เกาลี่ฉีรู้สึกสงสัยได้เลย
"ดูเหมือนว่าหานอ๋องจะโปรดปรานชายารองผู้นี้เป็นอย่างมาก"
"แน่นอนเพราะด้วยฐานะของนาง จึงทำให้ข้าตกแต่งนางให้มีฐานะได้แค่ชายารอง ครั้งนั้นข้าได้ออกไปปราบชนเผ่าถูเจีย และได้พบกับนางโดยบังเอิญ นางเป็นสตรีที่แตกต่างจากสตรีทั่วไป ความใสซื่อบริสุทธิ์ของนาง สามารถชนะใจของข้าเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงได้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ตกแต่งชายาเอกเข้ามาทำให้นางขุ่นเคืองใจ และจะยกนางเป็นชายาเพียงคนเดียว"
หานหรงอี้กล่าวเพียงเท่านั้นก็กล่าวต่อว่า "ข้าได้ยินว่าชินอ๋องเคยตกแต่งชายาเอก แต่ว่านางได้หายตัวไป ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางหรือ"
"ต้องขออภัยหานอ๋องด้วย ข้าไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก"
"เป็นข้าที่ต้องขออภัยชินอ๋องเสียมากกว่า ที่ถามเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างเสียมารยาท เพราะเห็นว่าท่าทีของท่านในตอนที่เห็นใบหน้าของเจินเอ๋อร์ในครั้งแรกนั้นแสดงออกว่านางมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับชายาของท่านกระมัง ท่านอ๋องจึงได้แสดงท่าทีเช่นนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าต้องเสียมารยาทถามออกไป"
หานหรงอี้เงียบไปสักพักก่อนที่จะกล่าวต่อ " ในตอนนั้นข้าช่วยเจินเอ๋อร์ออกมาจากมือสังหารนับสิบ ที่คิดจะบุกเข้ามาทำร้ายนาง ยังโชคดีที่ข้าไปทัน หาไม่แล้วข้าคงไม่ได้เจอสตรีที่ดีเช่นนี้ จนได้นางมาอยู่ข้างกายเป็นแน่ ในตอนนั้นนางได้ถูกวางยาผนึกพลังปราณเอาไว้ ข้าไม่อยากคิดเลยว่า หากไปช้ากว่านั้นแค่เสี้ยววินาทีจะเกิดอะไรขึ้น"
คำพูดประโยคนี้ของหานหรงอี้ได้สร้างจุดสนใจให้กับเกาลี่ฉีเป็นอย่างมาก เขาทอดมองไปที่หานอ๋องคล้ายกับอยากจะกล่าวถามอีกหลายประโยค แต่เป็นหานหรงอี้ที่ชิงเอ่ยออกมาเสียก่อน
"นี่ก็ดึกมากแล้วข้าขอตัว"
"เชิญหานอ๋อง"
เมื่อหานอ๋องได้จากไปแล้ว เกาลี่ฉีถึงกับมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย "ถูกมือสังหารลอบทำร้ายอย่างนั้นหรือ…นี่มันเรื่องบ้าอันใดกันแน่…!? แล้วเหตุใดคนของข้าถึงได้บอกว่านางและจางหยวนได้เดินทางออกไปอย่างปลอดภัยดี แต่หลังจากนั้นก็ไม่สามารถสืบทราบอันใดได้"
เกาลี่ฉีไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าหานหรงอี้กล่าวเช่นนี้ เพื่อที่จะบอกใบ้อันใดกับเขาเป็นแน่ และการที่เขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างนั้น ก็ต้องสืบทราบเรื่องราวทั้งหมดมาให้ได้
เกาลี่ฉีที่กำลังนั่งดูองครักษ์ของตนเองฝึกปรือวรยุทธ์อยู่นั้น เด็กชายตัวน้อยก็ได้ปรากฏขึ้นข้างกายของเขา
"ข้าขอปะมือกับคนของเสด็จอาจะได้หรือไม่"
เกาลี่ฉีหันมาตามเสียงเล็กแหลมนั้น เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด เขาก็ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นก่อนที่จะถามออกไปว่า "เจ้าเป็นวรยุทธ์ด้วยหรือ"
"แน่นอนว่าข้าย่อมต้อง เป็นวรยุทธ์และพลังปราณของข้า ยังเป็นสีทองด้วยเสด็จอาอย่าได้ดูถูกว่าข้ายังเด็กเชียว"
"พลังปราณสีทองอย่างนั้นหรือ…!? "
ท่าทีองอาจไม่เกรงกลัวผู้ใดของเด็กชายตัวน้อยนี้ช่างมีความละม้ายคล้ายคลึงกับเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เกาลี่ฉีถึงกับหัวใจกระตุกวูบเพียงแค่คิดว่า มันมีความเป็นไปได้ ที่เด็กคนนี้อาจจะเป็นบุตรชายของตนก็เป็นได้
"เจ้าอายุเท่าไร"
"ข้าอายุสี่หนาวขอรับ"
"อายุเพียงเท่านี้ก็ฝึกพลังปราณเป็นแล้ว"
"ขอรับ เสด็จแม่บอกว่าตอนเสด็จพ่ออายุเท่านี้ ก็เริ่มฝึกพลังปราณแล้ว ข้าอยากจะเก่งเหมือนเสด็จพ่อ จึงได้ตั้งใจฝึกฝนตนเอง ตั้งแต่อายุได้สองหนาวแล้วขอรับ"
ใช่แล้ว เขาเคยฝึก พลังปราณตั้งแต่อายุได้สองขวบ และพลังปรานก่อกำเนิดของเขานั้น ก็เป็นพลังปราณสีทอง นี่มันจะบังเอิญเกินไปหรือไม่ หากจะกล่าวว่าเด็กคนนี้ มีหลายสิ่งที่มีความคล้ายคลึงกับตน
"ได้สิ แต่คู่ต่อสู้ของเจ้าจะเป็นข้าเอง"
"เสด็จอาโปรดออมมือด้วย" หานหมิงห้าวประสานมือคารวะเกาลี่ฉีอย่างนอบน้อม
เกาลี่ฉีที่ถือว่ามีรังสีของความน่ากลัวแผ่ออกมาอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่บุรุษตัวโตยังต้องรู้สึกหวาดกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แต่เด็กชายยังเบื้องหน้าผู้นี้ กลับไร้ซึ่งท่าทีหวาดกลัว นั่นจึงทำให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
"ดี…เช่นนั้นแหละ เจ้าทำได้ดีมากแล้ว"
ในขณะที่เกาลี่ฉีเป็นคู่ซ้อมให้กับเด็กชายตัวน้อยเขาก็ต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ในการต่อสู้เป็นอย่างมาก แค่เพียงอายุได้สี่หนาว ก็สามารถฝึกฝนพลังปราณจากสีทองจางให้กลายเป็นสีทอง ที่มีความเข้มข้นขึ้นมาในระดับหนึ่งได้อย่างยากจะเชื่อ
หานหมิงห้าวออกพลังปราณของตนเองมาต่อสู้กับเกาลี่ฉีอย่างไม่ลดละ ถึงแม้แขนขาสั้นป้อม แต่ก็เคลื่อนไหวได้อย่างพริ้วไหว เพียงแค่เกาลี่ฉีคิดว่าเด็กตรงหน้านี้คือบุตรชายของตนเองเขาก็ได้แต่รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ซึ่งตอนนี้เขาได้เชื่อไปมากกว่าครึ่งแล้วว่าเด็กชายยังเบื้องหน้าคือบุตรชายของเขาไม่ผิดแน่
เมื่อทั้งคู่ได้ปะมือกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เกาลี่ฉีก็ได้เดินเข้าไปใกล้เด็กชาย เขาลูบไปบนศีรษะทุยๆ นั้น จนในที่สุดก็อดใจที่จะดึงเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดไม่ได้
"ข้าขอเรียกเจ้าว่าหมิงเอ๋อร์จะได้หรือไม่"
ด้วยความเป็นเด็กหานหมิงห้าวไม่ได้คิดอะไรมาก จึงตอบตกลงออกไป
"เสด็จอาอยากเรียกแบบไหนก็ได้ขอรับ"
"เด็กดีเจ้าช่างรู้ความยิ่งนัก"
ภาพของทั้งคู่ได้ตกอยู่ในครรลองสายตาของหวงลี่ผิง เมื่อนางได้เห็นภาพนั้นก็ให้รู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่งหากไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้นขึ้น ป่านนี้ครอบครัวของนาง จะมีความสุขมากเพียงใดที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวจึงได้สลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไป พร้อมกับมุ่งตรงมายังทิศทางของทั้งคู่
"หมิงเอ๋อร์เจ้าไปรบกวนอันใดชินอ๋อง"
"เสด็จแม่…!!!"
เมื่อเด็กชายได้ยินเสียงของมารดาก็รีบผละออกจากอ้อมกอดของเกาลี่ฉีและวิ่งไปหามารดาของตนเองทันที
"หมิงเอ๋อร์เปล่าดื้อเสียหน่อย ไม่เชื่อเสด็จแม่ก็ถามเสด็จอาดูก็ได้"
หวงลี่ผิงแย้มรอยยิ้มให้บุตรชายก่อนที่จะบอกว่า "เดี๋ยวนี้เอาใหญ่กล้าเถียงแม่หรือ เอาละเนื้อตัวเจ้า มอมแมมถึงเพียงนี้ ไปอาบน้ำชำระกาย แล้วค่อยไปรับสำรับเช้า เสด็จพ่อของเจ้ารออยู่"
หวงลี่ผิงส่งเด็กชายไปให้กับนางกำนัลได้ดูแลต่อและหันมาเอ่ยกับเกาลี่ฉีแทน
"ต้องขอประทานอภัยชินอ๋องด้วย ที่หมิงเอ๋อร์ไม่รู้ความ สร้างความรำคาญให้กับพระองค์จนได้"
"ไม่เลยเจ้าสอนเขาได้ดียิ่งนัก…" เกาลี่ฉีคล้ายว่าต้องการจะเอ่ยอะไรบางประโยค
"ท่านอ๋องคล้ายกับมีเรื่องในใจ"
ท่าทีที่ดูเกรงอกเกรงใจ และสนทนากับเขาอย่างคนแปลกหน้าเช่นนี้ ช่างเป็นภาพที่ไม่คุ้นชิน จนเกาลี่ฉีต้องเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างข่มอารมณ์
"หวงลี่ผิงเหตุใดเจ้าถึงได้กลายไปเป็นชายารองของหานหรงอี้ได้ แล้วจางหยวนไปอยู่ที่ใด ในปีนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"
"ท่านอ๋องกล่าวสิ่งใดหม่อมฉันไม่เข้าใจ" หวงที่ผิงยังคงไขสือ ท่าทีของนางคล้ายกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากล่าวจริงๆ จนเกาลี่ฉีอดไม่ได้ปราดประชิดเข้ามาจับที่ต้นแขนของนางทั้งสองข้างและออกแรงบีบไปมา
"เจ้าทำลายความรักความเชื่อใจที่ข้ามีให้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าภาพในวันนั้นทำให้ข้าเสียใจมากเพียงใด ตลอดทั้งชีวิต ข้าพยายามที่จะสลัดมันทิ้ง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพยายามเท่าไหร่ ภาพของเจ้าก็จะยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น หวงลี่ผิงแท้ที่จริงแล้วเจ้ากลับมาที่นี่เพื่อการใดอีก"
หวงลี่ผิงหน้าตึงขึ้นมาในทันที นางจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขาด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน
"หม่อมฉันบอกไปแล้วว่าหาใช่คนที่พระองค์กล่าวถึง ในตอนนี้หม่อมฉันคือชายารองของหานอ๋องแห่งแคว้นเว่ย พระองค์ควรจะสำรวมและให้เกียรติหม่อมฉันด้วย"
"เด็กคนนั้นเหตุใดถึงได้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับข้านัก" เกาลี่ฉีไม่เชื่อคำตอบปฏิเสธของนาง
หวงลี่ผิงก้าวถอยหลังออกมา ก่อนที่จะตะคอกกลับไปว่า "หมิงเอ๋อร์คือบุตรชายของหานอ๋อง ความจริงนี้คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถึงชินอ๋องจะคิดว่าเขามีหน้าตาคล้ายคลึงกับพระองค์ แต่มันก็ไม่สามารถพิสูจน์สิ่งใดได้ เพราะพวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องกันหม่อมฉันจะกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย ว่าหม่อมฉันหาใช่สตรีที่พระองค์กำลังพูดถึง เพราะหากหม่อมฉันเป็นสตรีคนนั้นจริง เกรงว่าตอนนี้คงจะเสียใจมาก ที่คนรักไม่เคยเชื่อใจตนเองเลย"
หวงลี่ผิงเอ่ยออกมาเพียงเท่านั้น ก็รีบเดินจากไปเกาลี่ฉีที่ยังประติดประต่อ เรื่องราวไม่ได้ ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างข่มอารมณ์โกรธของตนเองเอาไว้อย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะไม่ให้ระเบิดมันออกมา
"ไม่เชื่อใจอย่างนั้นหรือ ถึงตอนนี้เจ้ายังกล้าเอ่ยเช่นนี้อยู่อีกหรือ"
แต่ในคำกล่าวของหวงลี่ผิงเมื่อสักครู่นี้ ก็ได้ทำให้เขาฉุกคิดได้ว่า หากนางไม่ใช่หวงลี่ผิงจริง เหตุใดถึงได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะในปีนั้น มีเพียงคนของเขาเท่านั้นที่รู้ความจริงทั้งหมด…