หานหรงอี้นั่งฟังรายงานถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจนจบ "ตอนนี้ชินอ๋องคงเริ่มสงสัยแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"
"ท่านคิดจะทำอะไร" หวงลี่ผิงจับสังเกตท่าทีของหานหรงอี้ด้วยความสงสัย
"ก่อนที่ข้าจะเล่นงานซุนฮองเฮาได้ ก็ต้องทำลายความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของพวกเขาสองแม่ลูกเสียก่อนบุตรชายที่ถูกมารดาโกหกมาโดยตลอด จะยังสามารถเชื่อใจมารดาผู้ให้กำเนิดได้อีกหรือ แน่นอนว่าหลังจากที่เขารู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าแล้ว เขาจะต้องเคียดแค้นมารดาของตนเองเป็นอย่างมาก และเมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็จะสามารถจัดการกับนางได้ง่ายขึ้น"
"ถึงแม้นางจะผิด แต่ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งคู่ก็เป็นแม่ลูกกัน ความสัมพันธ์ย่อมข้นกว่าน้ำ เขาคงไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายมารดาของตนเองได้ง่ายๆ หรอก" หวงลี่ผิงแย้งออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
"ย่อมเป็นอย่างที่เจ้ากล่าว หากว่าพวกเขาเป็นแม่ลูกกันจริงๆ "
"ท่านหมายความเช่นไร"
มาถึงตรงนี้หวงลี่ผิงไม่สามารถทนความสงสัยได้เพราะความหมายของประโยคนี้มันชัดเจน แต่หานหรงอี้เพียงระบายยิ้มให้กับนาง
"เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง เพราะข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ มันเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้าเพียงเท่านั้น"
หวงลี่ผิงได้แต่คิดไปว่าเรื่องราวที่เกิดนี้มันจะซับซ้อนเกินไปหรือไม่ หากว่าเกาลี่ฉีไม่ใช่พระโอรสที่เกิดจากซุนฮองเฮาจริง นางก็ไม่อยากคิดเลยว่าการมีอยู่ของเกาลี่ฉีสำหรับซุนฮองเฮานั้นเป็นเพียงแค่การหาผลประโยชน์จากตัวเขา หากเรื่องนี้เขาได้รู้ความจริงเข้า จะรู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใด แม้แต่คนข้างกายก็เป็นคนของมารดาที่ส่งมา หาใช่คนของเขาอย่างแท้จริง การถูกหลอกมานานขนาดนี้ผู้ใดเล่าจะไม่เจ็บปวด
"ช่วงนี้เจ้าก็ให้หมิงเอ๋อร์ไปตีสนิทกับหานอ๋อง ยิ่งเขารู้สึกเคลือบแคลงใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะต้องการสืบความจริงให้ได้มากขึ้นเท่านั้น"
"แต่ข้าไม่ต้องการให้หมิงเอ๋อร์เข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้เลย"
"เจ้าก็คิดในแง่ดี เพื่ออาศัยช่วงเวลานี้ให้พ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกัน"
หานหรงอี้สังเกตท่าทีของนาง ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า "หรือเจ้ากลัวใจตนเองจะใจอ่อนให้กับเขา"
"ย่อมไม่ใช่อย่างที่ท่านกล่าว" หวงลี่ผิงรีบกล่าวแย้งออกมา พร้อมกับทอดมองไปที่หานหรงอี้ เพื่อจะยืนยัน ความรู้สึกของตนเอง
"หากคิดในอีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ผิด ถ้าเขาจะจงเกลียดจงชังกับสตรีที่เขาคิดว่าสวมหมวกเขียวให้กับตนในวันหน้า หากเขารู้ความจริง เขาจะต้องอภัยให้กับเจ้าแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราให้กับเขาได้ทราบ"
"แล้วหากว่าเรื่องที่ท่านคาดการณ์เอาไว้หาใช่อย่างที่ท่านคิด เขาคือบุตรชายแท้ๆ ของซุนฮองเฮา แน่นอนว่าหากเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและเขาก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก เพราะข้าจะไม่มีวันให้อภัยกับสตรีผู้ที่คิดจะปลิดชีวิตข้าเป็นแน่"
"มันอาจจะเป็นอย่างที่เจ้ากล่าวจริงๆ เพราะเหตุนี้ข้าถึงต้องทำให้ทั้งคู่เกิดความบาดหมางกันเสียก่อนและจะอาศัยจังหวะเวลานั้นเพื่อที่จะแก้แค้นให้กับมารดาให้จงได้ เพราะหากให้ผู้ที่มีพลังปราณสีทองเข้มเช่นข้าและเขาต้องมาปะทะกันจริงๆ ก็คงจะไม่เป็นผลดีกับฝ่ายใด"
หานหมิงห้าวเองก็รู้สึกถูกชะตากับเกาลี่ฉีอย่างแปลกประหลาด นั่นจึงทำให้เด็กชาย มักจะไปป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวของเกาลี่ฉีอยู่เป็นประจำ ซึ่งเกาลี่ฉีเองก็ดูจะพอใจกับการที่เด็กชายตัวเล็กทำเช่นนั้น เพราะเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่า หานหมิงห้าวคือบุตรของตนเอง
"เรื่องที่ข้าให้ไปสืบเป็นเช่นไรบ้าง"
"คนของเราที่แคว้นเว่ยยังไม่ส่งข่าวใดกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ กว่าพวกเขาจะสืบความจริงมาได้ คงต้องอาศัยเวลาสักเล็กน้อย เพราะเรื่องนี้หาใช่เรื่องที่สามารถสืบได้โดยง่ายจากคนทั่วไป"
เกาลี่ฉีพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
"แล้วที่ให้ไปสืบข่าวเกี่ยวกับจางหยวนเล่ามีเบาะแสใดเพิ่มเติมหรือไม่"
"ไม่มีเลยพ่ะย่ะค่ะ"
"สืบหาต่อไป"
ด้วยความสามารถของจางหยวน ย่อมไม่แปลกที่คนของเขาจะไม่สามารถสืบหาเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับเขาได้ แต่เพราะจุดเริ่มต้นของความสงสัยทั้งหมดนั้นเกิดจากองครักษ์คนสนิทของเขาผู้นี้ เหตุใดจางหยวนถึงได้หายไป และหวงลี่ผิงจึงได้กลายไปเป็นชายารองของหานหรงอี้ได้ และแท้จริงแล้วหานหมิงห้าวคือบุตรของเขาหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดหานหรงอี้ถึงต้องยอมรับเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้อื่น ไปชุบเลี้ยงดูแลด้วย ซึ่งเขาไม่เห็นความเป็นจริงข้อใดเลย ที่บุรุษสูงศักดิ์เช่นหานอ๋อง จะทำเช่นนั้น แน่นอนว่ารอบกายของเขาจะต้องมีสตรีมากมายที่อยากจะได้ตำแหน่งนี้ แล้วเหตุใดบุรุษที่มีความเพียบพร้อม จึงต้องทำเช่นนั้น
เมื่อไม่สามารถขบคิดถึงความเป็นจริงของเรื่องราวทั้งหมดได้ เกาลี่ฉีจึงได้ล้มตัวลงนอน แต่ทันใดนั้น เขาก็ได้สัมผัสกับบางสิ่งที่อยู่ใต้หมอนเข้าโดยบังเอิญ
"หยกเขียว…!!!.นี่มัน..!? "
สายตาของเกาลี่ฉีเบิกกว้างขึ้น เขากวาดสายตาไปทั่วทั้งห้อง ก่อนที่จะหันกลับมาจ้องมองหยกเขียวในมือนี้อีกครั้ง
"จางหยวน…!!!"
เขาและจางหยวนเติบโตมาด้วยกันดุจพี่น้องที่คลานตามกันออกมา ในวันหนึ่งไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใดจางหยวนได้มอบหยกเขียวให้กับตนเอาไว้ติดกายพร้อมกล่าวว่า 'วันข้างหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้นว่ากระหม่อมจะทำความผิดมากเพียงใด ขอให้องค์ชายอย่าทรงเชื่อในสิ่งที่เห็น'
พลันคำพูดประโยคนั้นก็ได้ดังขึ้นมาในหัว เมื่อเขาจ้องมองหยกชิ้นนี้อย่างละเอียด ก็พบว่ารูปทรงของมันได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อเขาลองหมุนที่หัวของตัวหยก บางสิ่งก็ได้หลุดออกมา
เกาลี่ฉีคว้ากระดาษที่ถูกม้วนอยู่ออกมาอ่าน 'ให้สังเกตคนใกล้ตัว'
"นี่มันเรื่องบ้าอันใดกันเจ้ากำลังจะพยายามบอกสิ่งใดกับข้ากันแน่"
เหอไป่ยี่มองจ้องไปที่จางหยวน ซึ่งกำลังฝึกเพลงดาบของตนเองอยู่ ตั้งแต่ที่เขาถูกจางหยวนช่วยเอาไว้ก็ได้ทำให้เขาได้รู้เรื่องราวบางอย่างมากขึ้น สำหรับเขาแล้วอยากจะรีบนำความที่ตนเองล่วงรู้นี้ไปบอกกับเกาลี่ฉีให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ถูกจางหยวนห้ามเอาไว้
"พี่จางหยวน เหตุใดท่านไม่นำความที่ตนเองรู้นี้ไปบอกให้กับท่านอ๋องได้ทราบ แค่เพียงทุกอย่างคลี่คลาย ท่านก็ไม่ต้องมีชีวิตเร่ร่อน และสามารถไปอยู่กับแม่นมจางได้ โดยที่ท่านไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ช่วยเหลือนางอยู่ห่างๆ เช่นนี้"
จางหยวนคล้ายกับไม่ได้ยินในสิ่งที่เหอไป่ยี่เอ่ย เขายังคงขะมักเขม้นฝึกพลังปราณของตนเอง
"และอีกอย่างหนึ่ง เหตุใดท่านถึงส่งข้อความให้กับท่านอ๋องเพียงเท่านั้น เหตุใดไม่บอกกับท่านอ๋องไปตรงๆ เลยว่าคนข้างกายของเขาล้วนแล้วแต่อันตรายทั้งสิ้น ท่านไม่สงสารท่านอ๋องหรือดูเถิดข้าคิดว่านอกจากข้าและท่านแล้ว องครักษ์ที่เติบโตมาด้วยกัน ที่ท่านอ๋องคิดว่าสามารถแลกชีวิตให้กับพระองค์ได้นั้น แท้ที่จริงแล้ว กลับเป็นคนของซุนฮองเฮาทั้งหมดเสียนี่"
จางหยวนลดพลังปราณที่กำลังควบคุมกระบี่ในมือลง เขาถอนหายใจก่อนที่จะเอ่ยออกมาในที่สุดว่า "ซุนฮองเฮาคือพระมารดาที่เลี้ยงท่านอ๋องมาตั้งแต่เล็ก เจ้าคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ของข้าที่นำเรื่องนี้ไปบอกแก่ท่านอ๋อง ว่าพระมารดาของพระองค์คือผู้บงการคิดทำลายสตรีที่พระองค์รัก ท่านอ๋องจะทรงเชื่อเจ้าอย่างนั้นหรือ ยิ่งซุนฮองเฮาแทบจะไม่เคยแสดงให้ท่านอ๋องได้เห็นเลยสักครั้ง ว่าพระนางไม่พอพระทัยมากเพียงใด ที่พระโอรสเพียงพระองค์เดียวของพระนาง ไปคว้าสตรีที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามา แต่หากเจ้าลองคิดกลับกัน ถ้าเราสามารถทำให้ท่านอ๋องได้เห็นด้วยตาตนเอง เมื่อถึงตอนนั้นก็ยากจะปฏิเสธแล้ว"
"แต่ข้าว่ามันช้าเกินไป หากเราให้ท่านอ๋องได้ทราบความจริงทั้งหมดด้วยพระองค์เอง พวกเราจะไม่ถูกสังหารไปเสียก่อนหรือเกรงว่าตอนนี้คนของซุนฮองเฮาคงตามล่าข้าเป็นแน่"
"เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าอยู่กับผู้ใด องครักษ์ที่เป็นคนของซุนฮองเฮาเหล่านั้น ก็เป็นคนที่ข้าฝึกมากับมือ หากข้าไม่ต้องการให้พวกเขาพบเจอ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถค้นหาเบาะแสของพวกเราได้โดยง่ายหรอก"
เพราะหากเขาไร้ความสามารถในการหลบหนี เกรงว่าคงจะไม่สามารถหลบซ่อนมาได้ถึงห้าปี โดยที่คนของซุนฮองเฮาไม่สามารถสืบทราบเบาะแสใดได้ ในปีนั้น เขาได้อาศัยจังหวะที่บุรุษลึกลับ ได้เข้ามาช่วยเหลือหวงลี่ผิงเอาไว้ จึงอาศัยโอกาสนั้น ทำให้ตนเองไร้ตัวตนไปเสีย เมื่อนึกถึงเรื่องราวในปีนั้น เขาก็เกิดความรู้สึกผิดในใจ ที่ทำให้ชีวิตของหวงลี่ผิงในตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดี ในตอนแรกเขาคิดว่าจะทำให้ทั้งเขาและนางหายตัวไป และค่อยบอกความจริงกับนางในภายหลังแต่ไม่คาดคิดว่าทุกอย่างจะเกินกว่าสิ่งที่เขาได้วางแผนเอาไว้ ความรู้สึกที่เขามีให้กับนางนั้น ฟ้าดินเป็นพยาน ถึงแม้นเขาจะรู้สึกกับนางมากเกินกว่านายบ่าว แต่ก็ไม่เคยคิดอาจเอื้อมที่จะล่วงเกินนางแม้สักครั้ง ความรู้สึกลึกๆ เหล่านี้ได้แต่เก็บเอาไว้ในใจ
ตั้งแต่ที่เขาได้ทราบว่าเกาลี่ฉีพึงใจในตัวของหวงลี่ผิงนั้น เขาก็ได้ทราบแล้วว่าซุนฮองเฮาคงไม่ปล่อยให้พระโอรสเพียงองค์เดียวที่พระองค์ปูทางเอาไว้ให้ขึ้นเป็นใหญ่ จะมีชายาเอกที่ไร้ซึ่งฐานันดรศักดิ์เช่นนี้ได้ นั่นจึงทำให้เขาเอ่ยกับเกาลี่ฉีเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน เพื่อเป็นการเตือนให้ผู้เป็นนาย ที่เปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆ ของตนได้ทราบถึงความเป็นจริงนี้ข้อนี้
"แผนการต่อไป ก็คือทำให้ท่านอ๋องตาสว่างได้ยินกับหูได้ดูกับตา"