Chapter 3 สเต๊กจระเข้
หลายวันมานี้แอลลิเกเตอร์ขี้เหงา ชอบออกเที่ยวเตร็ดเตร่เป็นประจำ ไม่ได้ไปสร้างเรื่องที่ไหน เพียงหนีไปนอนหลับจำศีลเงียบ ๆ ในถ้ำบาดาล ก่อนกลับขึ้นมาเดินช้อปปิ้ง เสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าบนห้างสรรพสินค้า นำเสื้อสูทตัวใหม่สั่งตัดจากร้านดัง แขวนไว้เหนือที่นั่งเบาะหลังของรถยนต์หรู เลือกชุดหล่อจากตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ เป็นเสื้อยืดงานแบรนด์เนมลายขวางกับกางเกงสีกากีทรง Slim Fit ลูบผมให้เรียบตรง
การแต่งตัวของหนุ่มรุ่นปู่ทวดไม่มีตกเทรนด์ บางวันสูท บางวันเชิ้ตสีดำ ลายสก็อตบ้าง เขาจัดมันเข้ากับนาฬิกาเรือนละหลักหมื่นขึ้นจนถึงหลักแสนบาท
นายจันปรับตัวเข้ากับยุคสมัย เปลี่ยนทรัพย์สินเดิมที่สะสมมาเปลี่ยนเป็นเงินสด ทั้งที่ดิน ของเก่าแก่ต่าง ๆ บางชิ้นตีมูลค่าแทบไม่ได้ เมื่อก่อนไม่คิดว่ามันจะแพงแต่พอมายุคนี้แล้วมันทำให้เขากลายเป็นเศรษฐี แม้แต่สปอร์ตคาร์ตัวใหม่ล่าสุดจากมอเตอร์โชว์ เขาขายบ้านหลังหนึ่งในย่านสุขุมวิทมาเปลี่ยนเป็นรถ
ด้วยภาพลักษณ์ไฮโซโก้หรูในโลกโซเชียล ผู้คนเริ่มมากดไลค์แชร์ประสาเซเลบที่ได้รับมรดกมาจากบิดามารดา คาบช้อนทองมาเกิด ไม่มีใครรู้ความจริงว่ารูปภาพบรรพบุรุษบนฝาบ้านก็ตัวเขาเอง... ทั้งหมดนั่นแหละ!
เชฟโรเลตสีแดงแล่นฉลิวไปด้วยความเร็วหาบ่าวตามนัดหมาย เพียงสิบห้านาทีก็มาถึงหน้าฟาร์มจระเข้ใกล้เมืองกรุงฯ นายคล้าวรีบปรี่เข้ามาทักทาย ชวนให้ยืนรอเจ้าของงานด้วยกันหน้าตู้ขายตั๋วสำหรับเข้าชมสวนสัตว์ กลางห้องรับรองกว้างขวาง มีโซฟาให้นั่งรอแต่พวกเขาเพียงยืนคุยกัน
“ฟาร์มนี้แหละครับ เจ้าของเขาขอให้ต่อเติมห้องอาหารแบบยุโรปไว้รองรับนักท่องเที่ยว เขาอยากได้ห้องอาหารใหญ่ ๆ อลังการกว่าตอนนี้” เงียบไป นายคล้าวชายตามองผู้คนเดินขวักไขว่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงคร่ำเครียดกว่าเดิม “แต่ผมอยากพาพี่ไปพบคนคนหนึ่งก่อน”
“ใครล่ะ...?”
“คนรับรองงานครับ เอ่อ... เธอเป็นหัวหน้าพนักงานขาย เรามาในฐานะลูกค้าด้วยว่าจะมาซื้อของไปเปิดร้านเสียหน่อย”
“ก็ไปสิ ทำไมแกต้องทำอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ให้ฉันสงสัยอยู่เรื่อย”
คิ้วเข้มหนาเรียงชิดติดกัน พอจะก้าวขา นายจันก็ถูกดึงรั้งไว้เพราะว่าเขาดันใจร้อนไม่รอลูกน้อง นายคล้าวปรามเขาให้ใจเย็น ยกโทรศัพท์จอกว้างขึ้นแนบหู
“ผมมาถึงแล้วนะครับคุณกัญญาวีร์ หน้าห้องขายตั๋วเลยครับ” พลันมือหนาสะบัดเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ตวัดหางตามองเจ้านายด้วยท่าทางหงุดหงิด
“อะไรกันครับพี่ รอนิดรอหน่อย อารมณ์เสียอีก”
“เปล่าอารมณ์เสีย ฉันแค่รำคาญแกทำตัวมีความลับ ฉันไม่ชอบความลับ...”
เพราะที่เป็นอยู่ก็ลับ ๆ ล่อ ๆ มากแล้ว บ่าวตวัดหางตามองเจ้านายขี้หงุดหงิดพลางผ่อนลมหายใจด้วยความรู้สึกไม่ต่าง ก่อนจะมองไปอีกทาง ถัดจากตู้ขายตั๋ว มีพนักงานหนุ่มสาวนั่งอยู่ในอีกฟากหนึ่ง
“ผมไม่ได้มีความลับอะไรครับ แต่ผมต้องทำบางเรื่องให้เรียบร้อย”
“นั่นแหละความลับ”
“มันจำเป็นครับ อีกเดี๋ยวพี่ก็รู้เองแหละ ไม่เกินสิบนาทีแน่นอน รอหน่อย”
ทั้งนายบ่าวไม่ชอบการรอคอย จึงพาลอารมณ์เสียตามสภาพอากาศร้อนอบอ้าว เครื่องปรับอากาศไม่ค่อยเย็น แสงแดดสาดส่องผ่านกระจกใสเข้ามาถึงชายเสื้อเชิ้ตสีดำของคนหนุ่ม ส่วนเจ้านายนั้นนั้นอยู่ในเสื้อยืดกางเกงสแล็คธรรมดา
ด้วยร่างกายของมนุษย์ พวกเขารับประทานอาหารและมีระบบย่อยอาหาร แม้ถนัดเนื้อสัตว์กันมากกว่าผักใบเขียว ขณะที่สรีระกำยำสมส่วนด้วยอาคมมนตร์ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพมากนัก ต่างจากจิตใจที่ยังเป็นสัตว์เลือดเย็น โมโหร้าย ดุร้าย ซึ่งนั่นหมายความว่าต่างคนต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการสงบสติอารมณ์และจิตใจ ให้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้คนในสังคมได้อย่างเป็นปรกติสุข
“คนรับรองคนไหน? ผมยาวหรือผมสั้นคนนั้น”
“ผมสีน้ำตาลอัลมอนต์ครับ ที่หิ้วกระเป๋าจระเข้...”
“สวยดีนี่ ตาถึง แต่ว่าฉันไม่ชอบรสนิยมนั่นเท่าไร ฉันเห็นจระเข้ตัวเมียโดนเชือดก่อนกลายเป็นกระเป๋าสีขาวแสนสวยของหล่อน แล้วแต่งตัวแบบนี้น่ะ คนเขาเรียกว่า ‘เซลล์’” นายจันมองหาคนไกลด้วยดวงตาที่สามารถมองได้ไกลลิบ มากสุดคงมองได้เป็นกิโลฯ แม้ว่ามันอาจไม่ชัดเจนนักแค่เห็นว่าแต่ละคนกำลังทำอะไร
จากนัยน์ตาเป็นประกายใต้คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลทรงเสน่ห์เช่นเดียวกับคนน้อง พวกเขามีใบขับขี่! ใบรับรองแพทย์ที่บ่งบอกอาการของสายตาอันเฉียบคมว่าเป็นการทำงานผิดปกติของกลุ่มแยกแยะสีในตา อาการไม่ร้ายแรง สามารถใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป
นายจันมีเอกสารครบ ส่วนเรื่องอะไรต่อมิอะไร คนเป็นนายออกนอกบ้านมากกว่าก็จะรู้มากกว่า
“เซลล์? หมายถึง seller อะไรประมาณนั้นน่ะหรือครับ”
“ใช่ ตอนนี้เรียกเซลล์ เซลล์ขายของ พนักงานขายทำงานกันเป็นกลุ่ม ก็แล้วแต่ว่าขายอะไร ยุค ๆ นั้นก็เรียกพนักงานขายนี่แหละ แกคงยังไม่ชิน”
“จากการแต่งตัวแล้วผมพอเดาได้ว่าเธอขายอะไร เฮ้อ... คนในยุคนี้ช่างโหดร้ายทารุณ” ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนายคล้าวหันไปบอก “อย่าลืมนะครับว่าเราสองคนเป็นพี่น้องกัน พี่เป็นสถาปนิกมารับงานที่นี่ ส่วนผมอยากมาซื้อของล็อตใหญ่ไปเปิดร้านย่านประตูน้ำ สุขุมวิท ตามนี้นะครับ”
นายจันมองหน้าน้องชายจำเป็น ไม่ทันได้ทักถามว่าร้านขายของอะไร เพราะหญิงสาวแปลกหน้าเดินมาหาพวกเขาพอดี สาวร่างอ้อนแอ้นในเชิ้ตสีขาว กระโปรงสั้นประเข่าคลุมทับไว้ด้วยสูท มือกอดแฟ้มเอกสาร นายคล้าวผุดยิ้มเต็มวงหน้า เผลอส่งเสียงดัง
“แม่แก้ว!”
“ไม่ใช่ค่ะคุณ... ฉันกัญญาวีร์ เป็นหัวหน้าเซลล์ที่ฟาร์มนี้ ฟาร์มเรามีโชว์จระเข้ข้างใน มีโรงงานจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย...”
“โรงงาน...?” นายจันแทรกถามขึ้นมา สาวสวยฉีกยิ้มแฉ่ง ผายมือออกกว้างด้วยท่าทีแสนภาคภูมิใจ
“ใช่ค่ะ! โรงงานผลิตหนังจระเข้อย่างดี หนังจระเข้ของฟาร์มเราเป็นแบรนด์ใหญ่ติดตลาดทั้งกระเป๋ารองเท้า เราส่งสินค้าให้ร้านค้าปลีกแม้แต่งานขึ้นห้าง งานส่งนอก เรามีโรงงานผลิตเนื้อจระเข้ตั้งอยู่ในอีกจังหวัด ได้รับใบอนุญาตขายจระเข้อย่างถูกต้องค่ะ เนื้อจระเข้เมนูดังที่นี่ก็อร่อยนะคะ ว่าแต่...” เงียบไปแล้วกลอกตาไปมาเพราะลืมตัว ลืมถามว่าใช่ลูกค้าไหม!