Chapter 7 ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ด้วยกล
บนโซฟาหนังกำมะหยี่ที่เพิ่งถอดจิตไปหาหญิงสาว นายจันสงบสติอารมณ์ลง ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่
จำได้ว่าไม่ได้พบแม่ตะเภาแก้วมานานมากแล้วหลังภพชาติก่อนของเธอไม่เกิด...
ตะเภาทองที่เคยเป็นเมียโดยไม่เต็มใจ ใช่... เขาถือว่าหล่อนไม่เต็มใจเพราะต้องมนตร์สะกดชาละวัน ก่อนจะไปเป็นเมียของไกรทอง พ่อคนดีเมืองพิจิตร ภพชาติต่อมาก็ยังเป็นลูกหลานบ้านเดิม ก่อนจะตัดสินใจลาบวชด้วยความเลื่อมใสในพระธรรม
ไม่รู้มาก่อนว่าคนน้องนี้จิตแข็ง ไม่หวั่นพรึงต่อสภาพการณ์อีกโลกหนึ่ง หากได้ยินเสียงวิญญาณหรือถูกผีหลอกเข้าสักคืน แม่คงฟาดฝีปากสาปแช่งด่าผีไม่ให้ไปผุดไปเกิดหรือไม่ก็... ไล่เตลิดเปิดเปิงจนหลุดจากนิมิตกลับมาที่เดิม
“นั่งเหลือกตาอ้าปากยังกับจระเข้ ประหลาดคน” นายคล้าวบ่นพลางเคาะแป้นพิมพ์เสียงดัง ชะโงกหน้าที่สวมแว่นหนาเตอะผ่านจอสี่เหลี่ยม ให้ความสนใจกับคนที่นอนเหยียดขาอย่างสบายใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ไปหาแม่แก้วหรือนั่น”
“อืม... แม่ดุมากสายแข็ง แต่ไม่เป็นไร ขอลองใหม่อีกที” เขาปิดตาลงอีกครั้ง พร้อมความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องเผด็จศึกให้จงได้
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็คาถา
‘แม่แก้ว... มาหาพี่...’
“ฉันชื่อกัญญาวีร์!” เสียงหวานตะคอกดัง รู้ตัวแล้วว่าเธอกำลังเจอกับอะไร สองมือกุมพวงมาลัยแน่น ขณะที่นายจันพยายามใช้ความตั้งใจในการเจรจา
‘จะเกิดเคืองอะไรกันหนอแม่กัญญา’
“อะไร ๆ มีอะไร? เรียกทำไมบ่อย ๆ ว่างนักหรือไง งานการไม่มีทำหรือคะ?”
‘มี... ก็ทำอยู่นะแม่...’
‘คืนนี้มาหาพี่...’
“ไปไงคะ? ให้ขับรถไปหรือไง แชร์โลฯ มาด้วยนะ ไลน์น่ะมีไหม ถ้าไม่มีไม่ต้องมาคุยกัน ไม่สะดวก”
‘แม่แก้วคนนี้ไยจิตใจเข้มแข็ง ดื้อดึงดื้อด้าน...’
“ไม่หลงกลชายต่างหาก ไม่อยากถูกหลอกให้รัก รักปลอม ๆ น้ำตาเช็ดหัวเข่า แล้วฉันชื่อกัญญาวีร์!”
‘ตัวพี่ฤาจะกล้าหืออือ... พี่รอน้องมาตั้งนมนาน’
“First Impression ไม่ผ่าน”
‘แลเห็นอยู่ว่าจ้องเสียขนาดนั้น เอากระไรมาพูดว่ามิตรงจิตตรงใจกัน’
วูบหนึ่งที่แววตาคู่สวยสั่นไหวเพราะคำพูดจาหว่านล้อม เป็นทีให้เธอถูกกระชากดึงด้วยแรงหนัก ๆ ยังเห็นตัวเองนั่งหลับตาอยู่หน้าพวงมาลัย โงนเงนไปมาเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น
‘ไยน้องไม่อ่อนโยนกับพี่สักนิด แม่แก้ว พี่มาดี...’
เสียงทุ้มอ่อนโยนลง ร่างบางหันหลังมองขวับตามผู้ชายตัวโตที่เคยพบมาก่อนในความฝัน
‘หากเป็นคนไม่ดี ฉุดกระชากลากพาแม่คนดื้อลงน้ำคงเป็นการง่ายเสียกว่า ฤาจะสะกดด้วยมนตร์ก็ย่อมได้’
“คุณ... ชาร์ล คุณ... เป็นใครกันแน่?” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นมองภาพเลือนรางด้วยความคลางแคลงใจ เธอและเขายืนอยู่ข้างรถยนต์ เกือบที่เธอจะยกมือทั้งสองขึ้นมาดู หากไม่ถูกหยุดไว้ด้วยนัยน์ตาสีแดง สะท้อนประกายวูบไหวหยอกล้อเล่นกับแสงอรุณ มันไม่น่ากลัวแต่สดสวยราวสีของลูกแก้ว
‘ตัวพี่มีนามว่าจัน.... พี่ถูกสาปแช่งให้กลายเป็นเช่นนี้ ช่วยพี่ด้วยเถิดหนาแม่’
“ช่วย... ยังไง?”
ชายหนุ่มเพียงส่ายหน้าไปมา ยิ้มอ่อนมองเรียวปากงามที่เคลือบด้วยลิปสติกสีหวาน
เมื่อตาสบตากันชั่วขณะหนึ่ง จิตใจเข้มแข็งอ่อนยวบเหลวละลาย เพราะความสงสาร
ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย กัญญาวีร์ยอมเชื่อหมดหัวใจว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดี
แต่ทั้งหมดนี่มันเป็นความจริงหรือ?
ไม่ทันได้คิด จู่ ๆ ร่างสูงก็ดึงเธอเข้าไปกอดแนบกาย กดริมฝีปากของเขาบนหน้าผาก ไล่ลงมาถึงแก้มร้อนผ่าว โดยที่เธอไม่ได้ขัดขืนเขาแม้สักนิด
มือหนาประคองใบหน้างามด้วยสัมผัสแสนอ่อนโยน พูดพร่ำคำหวานถึงความงามอันทำให้เขาไม่สามารถหยุด
‘ขอให้พี่ชื่นใจแม่สักนิด แม่แก้วใจ’
กัญญาวีร์โหยหาอ้อมกอดของเขา ขณะมือหนาเลื่อนลงโอบเอวกระชับเข้าหาวงแขนแข็งแรง เธอรับรู้ถึงไอร้อนจากลมหายใจที่พ่นลงบนแก้มและฝ่ามือ
ไม่รู้ว่าเขาจับตรงไหนยังไง รู้ว่าร้อน... ความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเปกันไปหมด ไม่อาจรู้ว่าเป็นไปด้วยมนตร์หรือด้วยหัวใจของเธอจริง ๆ สะโพกกลมกลึงถูกบีบจับ เคล้าคลึงไปมาก่อนเลื่อนผ่านเอวคอดกิ่ว ถึงหน้าอกอวบอัด ที่ไม่มีชายใดได้รับอนุญาตให้แตะต้อง
เธอไม่รู้ว่าตัวเองใส่เสื้อได้หรือไม่ในโลกที่พร่าเลือนลง แต่พอมือร้อนลากผ่านกลางอก ยอดปทุมถันคล้ายแข็งตัวขึ้นมาเพราะอารมณ์ประหลาดเข้าก่อกวน มือคู่นี้ก็คอยบีบจับจนรุ่มร้อนไปทั้งกายใจ
“อื้อ...”
เสียงครางจากลำคอแห้งผาก น่าแปลกที่เธอยอมปล่อยให้คนแปลกหน้ากอดจูบ กลายเป็นผู้หญิงใจง่ายเพราะความไร้สติ เมื่อผู้ชายตัวโตเลื่อนมือขึ้นลูบไล้แผ่นหลังผ่านเสื้อสูทสีดำ
นายจันเองก็พึงพอใจจนเผลอส่งเสียงคำรามอืออาในลำคอ กายแกร่งสั่นสะท้านไปทั่ว เขาพยายามกอดตรึง ขยับหน้าท้องแข็งเกร็งลูบหน้าท้องแม่คนสวย ทว่าทันใดนั้นเอง พอได้กอดจูบคลอเคลียอย่างคนสนิทสนมสมใจ เสียงบีบแตรของรถยนต์ที่แล่นผ่าน พลันผลักจิตเคลิบเคลิ้มให้กลับมาที่เดิม
บนโซฟาตัวใหญ่ในห้องทำงาน มีเสียงกดแป้นพิมพ์ดังกรอกแกรกและเสียงหัวเราะของบ่าว
“ใครบีบแตรหน้าบ้านเรากันนะ เสียมารยาทจริง ๆ”
ทางด้านกุมภิลหนุ่มคงไม่ยอมแพ้ง่ายดายนัก นัยน์ตาประกายเพ่งมองน้ำสีมรกตเป็นประกาย งามระยิบระยับจับตาราวแสงของดวงดาว เงาเลือนรางกลางบ่อน้ำขนาดใหญ่ปรากฏภาพหญิงสาวที่เพิ่งพบกันเมื่อไม่นานมานี้ แถมถูกขัดขวางทุกที!
“อยู่ที่นี่น่ะเอง ยัยแก่เอาไปซ่อนไว้ถึงเมืองนอกเลยหรือ ฮึ!” พลันแสยะยิ้มร้าย เรือนร่างกำยำเป็นล่ำสันค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเดรัจฉานสีดำสนิท
คงไม่ใช่ในทีเดียว เริ่มจากหางแหลมพื้นผิวขรุขระที่งอกออกมาทางทวาร มือทั้งห้ากลายเป็นกรงเล็บคมกริบ ลักษณะเป็นง่ามข้อหงิกงอดูน่าเกลียด ท้องขนาดใหญ่ขยายตัวออก ใบหน้าบิดเบี้ยว นัยน์ตาเลื่อนลงกองตรงด้านข้าง ขณะที่เจ้าตัวไม่ได้มีท่าทีทุรนทุราย แต่ดันสภาพสยดสยองเหมือนเอเลี่ยนสักตัว
ไม่มีสักครั้งที่นายจันจะชอบมัน... ไม่เลย
เขารู้สึกขยะแขยง สะอิดสะเอียนมนตร์ประหลาดนี้จนแทบอาเจียน แต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกเสียจากตามหาหญิงสาวผู้กุมชะตาชีวิต ตามคำทำนาย
ด้วยจิตใจแน่วแน่ของกุมภิลว่าตนต้องรอดพ้นจากคำสาป ขาทั้งสี่คลานย่องลงไปในน้ำสีสดสวยของอ่างกว้าง ส่ายลำตัวอันโอฬารและหางขนาดมหึมาไปกึ่งกลางบ่อมรกต ก่อนดำดิ่งลงไปสู่ห้วงนทีอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
สัมผัสรับรู้ในที่นี้ไม่ใช่ความจริง แต่จะปรากฏในภาพฝัน ความทรงจำ อาจรับรู้ได้เมื่อลืมตาตื่น
แสงสีทองเล็ก ๆ ปรากฏเป็นสิ่งแรก สาดสะท้อนเข้านัยน์ตาสีแดง ถึงแม้ว่าผู้บุกรุกจะตระหนักรู้ว่ามันเกราะคุ้มกันภัยของหญิงสาว อาจเผาไหม้ร่างของเขาให้กลายเป็นเถ้าธุลี แต่ชายผู้บำเพ็ญเพียรมานานนับหลายร้อยปีไม่หวั่นพรึงต่อสิ่งใด
เรือนร่างงามใต้ก้นบึ้งลึกสุดจมอยู่ก้นบ่อ เธอคงอยู่ในนิทราหวานที่ใดสักแห่ง เดรัจฉานตัวสีดำตรงเข้าไปใช้ปากกว้างคาบร่างงามอย่างระวัง กระทั่งเขี้ยวฟันก็ไม่ให้ถูกเนื้อกายของเธอมากนัก เพื่อพาขึ้นฝั่ง ค่อยกลับคืนสู่ร่างเดิม โอบอุ้มคนตัวเล็กในอ้อมแขนพร้อมรอยยิ้มย่ามใจ
บุรุษรูปงามนุ่งโจงกระเบนสีดำ สวมเครื่องอาภรณ์เป็นสร้อยอัญมณีมรกต เส้นผมดำขลับตรงยาวราวผมของอิสตรีทิ้งลงเหนือสะโพกสอบ ปอยผมสีขาวข้างกรามแกร่งตามอายุขัยคือหกร้อยห้าสิบเจ็ดปี แม้ใบหน้าหล่อเหลายังคงไว้ในร่างชายวัยสามสิบ
‘แม่แก้วตาดวงใจพี่ หนีอย่างไรก็ไม่พ้น พี่จะตามหาน้องจนพบนั่นแล’
เสียงดังก้องที่ลอยวนในอากาศนั้นอีกฝ่ายได้ยินชัดเจน ทว่าพอเปลือกตาขาวปรือขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนกว้าง หญิงสาวเหมือนคนเมามายไร้สภาวะสำนึกรู้
ในเวลายามดึกของการหลับลึกที่สุด อ้อมกอดของชายแปลกหน้าราวกับว่าเป็นคุ้นเคยกัน เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ใด และเธอก็ไม่สนใจ
ร่างหนากำยำนอนราบลงกับพื้น มีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นเปลือยเปล่าพักพิงอิงแอบ แนบเนื้อกายอย่างสนิทกัน เธอนอนอยู่บนร่างของเขา
รับรู้ได้ถึงแก่นกายร้อนบนหน้าท้องแบนราบ แข็งขึงเต็มการขยายตัวของมัน
‘เพลานี้จิตน้องมีพี่อยู่เท่าใด... แม่คนงาม...’
หญิงสาวส่ายหน้าไปมาช้า ๆ พริ้มปิดตาลงเมื่อถูกฝ่ามือหนาดึงรั้งต้นคอ เรียวปากหนาหยักได้รูปประกบปิดริมฝีปาก มอบจุมพิตดูดดื่มโหยหา สอดแทรกปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปาก กวาดเลียไปทั่วแม้แต่ไรฟันขาว ซอกลิ้นก็ไม่ว่างเว้น
ดูเขาช่างตะกละตะกลาม มือยังปัดป่ายก่ายกอดเอว อีกข้างบีบก้อนกลมกลึงอย่างไร้ความเกรงใจ คราวมอบจุมพิตแสนวิเศษ สุดแสนจะพรรณนา ก็ไม่เลิกเอาเปรียบเธอแม้สักนาที เขาเหมือนคนไม่รู้จักพอ ได้คืบจะเอาศอก
กว่าจะผละริมฝีปากออกพร้อมลมหายใจหอบสั่น นัยน์ตาคู่สวยสีแดงสั่นไหว
จวบจนรุ่งอรุณจะพาดวงจิตน้องกลับไป ขอให้พี่ชิมชมดมกลิ่นหอมเนื้อแม่สักนิด
‘แม่แก้วกัญญา’
อีกฝ่ายไม่สามารถตอบคำถาม เมื่อตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์มนตร์อันไร้ศีลธรรมจรรยาของเจ้าของวังทอง ซึ่งกลายเป็นผู้บุกรุกในค่ำคืนนี้