“กินข้าวเลยไหมแก้ม”
“กินเลยพี่เมฆ” ฉันเดินเซ็งลงมาจากชั้นบน เดินกลับมาที่ห้องพักพนักงานแล้วก็กินข้าวก่อนทำงาน
กลืนแทบไม่ลงแต่ก็ต้องฝืนกิน ไม่กินได้ตายแน่เพราะแค่นี้ก็แทบล่วงอยู่แล้ว
“เหมือนเธอจะไม่ค่อยไหว”
“หืม? เราเหรอ”
“จะใครล่ะยืนอยู่กันสองคน”
“ฮ่า ๆๆ นั่นสิ” ฉันกำลังยกเก้าอี้ลงซึ่งที่ตรงนี้มีแค่ฉันกับทิวสองคนแค่นั้นก็ต้องถามฉันอยู่แล้ว
“แล้วตกลงไหวไหม”
“ไหวสิ” ฉันยิ้มให้ทิวแล้วก็ยกเก้าอี้ต่อ
“ไปพักก่อนไป เดี๋ยวยกเอง”
“ไม่ได้หรอก เก้าอี้ตั้งเยอะ” ฉันบอกทิวแล้วก็ทำต่อ ฉันไม่เอาเปรียบเพื่อนร่วมงานหรอกถึงฉันจะเป็นผู้หญิงก็ตาม
“แต่... / ไหวน่า” ฉันหันไปยิ้มให้ทิวอีกครั้งแล้วเดินยกเก้าอี้ลงต่อ
ยกไปเรื่อย ๆ ผับที่นี่มันใหญ่ ใหญ่มากไม่รู้จะใหญ่ไปไหน พนักงานก็เยอะแหละแต่แบ่งโซนกัน แค่โซนนี้ที่ฉันรับผิดชอบก็เยอะแล้ว ยกไปยกมาก้ม ๆ เงย ๆ ไงคะ จากที่ไหวแต่คนนอนน้อยหรือจะเรียกว่าไม่ได้นอนเลยก็ได้อย่างฉันเลยเริ่มวูบ
“...” ฉันยืนเรียกสติหลังจากที่รู้ตัวว่าเมื่อกี้หน้ามืด พอค่อยยังชั่วแล้วถึงได้ทำต่อ
ยกเก้าอี้ต่อเพราะอีกนิดเดียวก็เรียบร้อยแล้ว
อีกนิด...เดียว~
“เฮ้ย! แก้มใส!”
-เวลาต่อมา-
“อือ~”
“แก้ม ๆ พี่เมฆไอ้แก้มฟื้นแล้ว”
“เออ ๆ เรียกน้องมันหน่อยมันโอเคไหม” ฉันได้ยินเสียงคนคุยกันเลยค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ
“...พี่แป๋ม~”
“ไงแก เป็นลมรู้ตัวรึเปล่า”
“แก้มวูบค่ะพี่แป๋ม” จำได้ว่าสติสุดท้ายคือฉันยกเก้าอี้ลงแล้วก็ได้ยินเสียงทิวตะโกนเรียกจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
“พวกพี่ก็เห็นอาการแกไม่ค่อยดีตั้งแต่กินข้าวแล้วแก้ม พักผ่อนน้อยใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ดีนะทิวมันวิ่งไปทันไม่งั้นหัวแกฟาดโต๊ะแน่ ๆ”
“แก้มสลบไปนานไหมพี่แป๋ม”
“เกือบชั่วโมงแล้ว”
ตึก ๆๆ
“ไปนอนอะไรตรงนั้น”
“...” ฉันกับพี่แป๋มหันไปตามเสียง เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่หน้าประตูท่าทางดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“...น้องมันเป็นลมน่ะเฮีย” พี่แป๋มตอบคำถามเจ้าของผับที่เดินดูความเรียบร้อยตามปกติของเขานั่นแหละ เดินมาเห็นฉันนอนอยู่ในห้องพักพนักงานในเวลางานใครมันจะไม่ถาม
“เป็นลม?”
“ค่ะ”
“เด็กในร้านเป็นลมแต่ไม่มีใครบอกกู?” เขาไม่ได้คุยกับพี่แป๋มแต่หันไปคุยกับพี่เมฆที่เดินเข้ามาพอดีต่างหาก
“เอ่อ...ขอโทษครับเฮีย”
“แล้วเป็นอะไร ทำไมถึงเป็นลม” คราวนี้เขาหันกลับมาถามฉัน
“พักผ่อนน้อยค่ะเลยวูบ”
“แล้วไม่รู้ตัวเลยรึไงวะว่าตัวเองไหวหรือไม่ไหว”
“ก็คิดว่าไหว”
“แล้วมันไหวไหม?”
“...” เสียงแข็งดุดันสวนกลับมาทำให้ฉันเงียบ เงียบกันทั้งสามคนนั่นล่ะทั้งฉัน พี่แป๋ม แล้วก็พี่เมฆ
“ถ้าไม่ไหวก็ลาไม่ใช่มาแล้วทำงานไม่ได้ อย่ามาเอาเปรียบคนอื่น เขาทำงานกันแล้วยังต้องวุ่นวายมาดูแลคนป่วย กลับห้องไปไม่ต้องมานอนป่ยขวางหูขวางตาคนอื่นเขา”
“...” แค่ป่วย ไม่ได้ตั้งใจให้ป่วย มันไม่มีใครอยากให้ตัวเองป่วยหรอกแล้วฉันผิดอะไรวะ?
“ถ้าป่วยแล้วมาทำงานแต่ทำได้ไม่เต็มที่เอาเปรียบคนอื่นอีกกูจะไล่ออกคอยดู”
“เฮีย น้องมันไม่ได้ตั้งใจ มันทำเต็มที่แล้ว ตอนก่อนจะเป็นลมแก้มมันก็ตั้งใจทำงาน ยกเก้าอี้เยอะเลยวูบ น้องมันไม่ได้เอาเปรียบใครเลยเฮีย”
“แล้วไง? แล้วความตั้งใจของน้องมึงมันทำให้อยู่ทำงานได้จนผับปิดไหมไอ้เมฆ” เขาหันไปถามพี่เมฆ เสียงเอาเรื่องเลยที่พี่เมฆกล้าขัดเขา
“ไม่ไหวก็กลับไป อย่ามาขวางหูขวางตาคนอื่น”
“แก้มไหวค่ะเฮีย” ฉันลุกขึ้นนั่ง เดี๋ยวจะไปทำงานให้ดูว่าคนอย่างแก้มใสไม่เอาเปรียบใครหรอก
“คำพูดกูไม่มีความหมายเหรอ?”
“...ค่ะ เดี๋ยวกลับตอนนี้ล่ะ”
ฉันพูดจบเขาก็เดินออกไป ไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์แม้แต่นิดเดียว
จะสบอารมณ์ได้ยังไง คนแบบนั้นชอบให้ใครมาเถียงที่ไหน เขามันหมาบ้ากัดคนไปทั่ว
“จะกลับยังไงแก้ม พี่ว่านอนพักก่อนดีกว่า ดีขึ้นแล้วค่อยกลับเดี๋ยวไปเป็นลมข้างนอก”
“นอนต่อก็โดนด่าว่าขวางหูขวางตาสิพี่แป๋ม ไม่เอาหรอกแก้มไม่อยากโดนด่า”
“เฮ้อ! เฮียแกก็ห่วงนั่นแหละแค่ปากร้ายไปหน่อย แกก็รู้ว่าเฮียไคน์ดุ”
“แก้มไปก่อนนะคะพี่แป๋ม” ฉันแค่ยิ้มให้พี่แป๋ม ไม่ขอออกความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับนิสัยเจ้าของผับนี้ เพราะที่ฉันสัมผัสมาสันดานเขามันหมากว่านี้อีก
“กลับเลยเหรอแก้ม”
“ค่ะพี่” ฉันเปลี่ยนชุด หยิบกระเป๋าจะเดินออกด้านหลังร้านก็มีพี่ ๆ ทักขึ้น
“กลับไหวเหรอวะ”
“ไหวพี่”
“เออ ๆ โชคดีเว้ย”
“เดี๋ยวไปส่ง” พอเสียงพี่ในร้านพูดจบเสียงของทิวก็พูดขึ้นมาทันที
“ไม่เป็นไร เวลางานเดี๋ยวโดนเฮียด่า”
“ระหว่างไปส่งเธอแล้วโดนเฮียด่า กับปล่อยให้คนไม่สบายกลับเองทั้งที่มีปัญญาไปส่งได้ เธอคิดว่าฉันจะเลือกอะไร”
“แต่...”
“ไปได้แล้ว ฉันจะส่งแค่แป๊บเดียวจะโดนด่าก็ช่างแม่งเถอะ ดีกว่าปล่อยให้เธอกลับเองแล้วกัน”
“...แล้วใครบอกมึงว่ากูจะให้กลับเองไอ้ทิว”