เธอเงยหน้ายิ้มหวานเจี๊ยบ ยิ้มแบบที่เรืองฤทธิ์ถึงกับถอนใจ เขาเข้าใจว่าหวานตายอมรับข้อเสนอของเขา
“คุณม่านแก้ว” หวานตาครางในใจ ผู้หญิงคนใหม่ของผู้ชายของเธอ...ชื่อม่านแก้ว เธอปล่อยให้เรืองฤทธิ์พูดต่อ “เธอไม่ได้อยากเข้ามาขวางระหว่างหวานกับผมหรอกนะ แต่เธอก็ไม่อยากเสียผมไปด้วยเช่นกัน”
หวานตาแอบเบ้ปาก ยังมีผู้หญิงคิดแบบนั้นเหรอ ต้องการความสัมพันธ์ลับๆ หวานตาชักอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นแบบไหนแล้วสิ
“หวานไม่โอเคค่ะ” หลังยิ้มจนเมื่อยปาก และเบื่อที่จะต้องฟังคำพูดระคายหู
หวานตาพูดขัดขึ้นมา เธอหยิบแก้วกาแฟมาถือไว้ ก่อนจะ...ไม่ดีกว่า หญิงสาวเปลี่ยนใจ หากเธอทำเหมือนที่คิด เธอคงต้องฟังภูมิบ่นไปอีกหลายวัน เธอควรเชิดเข้าไว้ หวานตาแน่ใจ ทุกการกระทำของเธอจะต้องมีใครสักคน คาบไปบอกภูมิ เขาจะต้องยินดีที่เธอเปลี่ยนนิสัยใจร้อนได้ หวานตาอมยิ้ม เวลานี้เธอควรปวดหัวกับวีรกรรมของเรืองฤทธิ์ไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอถึงคิดถึงภูมิขึ้นมาได้ล่ะ
หญิงสาวขมวดคิ้ว หมู่นี้ผู้ชายที่เธอวางเขาไว้ในตำแหน่งเพื่อน ชอบเข้ามากวนใจเธอบ่อยเกินไปแล้วล่ะ
“หวาน”
“สรุปเลยแล้วกันค่ะเรืองฤทธิ์ หวานกับคุณคงเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นเนอะ”
ท่าทางเหมือนไม่มีความเสียใจ แววตามีแววผิดหวังนิดหน่อย เรืองฤทธิ์เลยรู้สึกอึ้งๆ เกือบ1ปีที่อยู่ในฐานะคนรู้ใจ เขาทำให้หวานตาฟูมฟายไม่ได้เลยเหรอ เมื่อความสัมพันธ์ในฐานะคนพิเศษจบลง...เธอเย็นชาเกินไปแล้ว...
“หวาน!!”
หวานตาลุกขึ้นยืน เธอปรายตามองเรืองฤทธ์ครั้งสุดท้าย ก้มลงหยิบแล็ปท็อปมาถือไว้ แล้วจึงเดินไปหน้าเคาน์เตอร์เพื่อจ่ายค่าเครื่องดื่ม เป็นการบอกลาที่ชายหนุ่มรู้สึกผิดคาด หวานตาไม่ได้ฟูมฟาย เธอนิ่งจนเขาพูดอะไรไม่ออก
“แกรู้มาก่อนใช่มั้ย?!!”
หลังจากเผ่นแนบมาจากสถานที่นัดกับเรืองฤทธิ์ หวานตาก็รีบแจ้นมาหาชลดา เธอโวยวายทันทีที่เห็นหน้าเพื่อน
“หวานใจเย็นๆ นั่งก่อน ทำใจดีๆ กินน้ำอะไรก่อนมั้ย เผื่อแกจะใจเย็นขึ้น”
ชลดาวางมือจากงานที่ทำ เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เดินมารั้งหวานตาไปนั่งที่มุมรับแขกส่วนตัวในห้องทำงานของเธอนั่นแหละ
“ฉันไม่เข้าใจว่ะแก เห้ย!! มันใช่หรอ?”
หวานตายังบ่นไม่หยุด ชลดายิ้มขำ เพื่อนของเธอไม่มีน้ำตาซักหยด สรุปนี่หวานตาอกหักจริงๆ ใช่ไหม
แก้วน้ำหวานเย็นเฉียบถูกวางไว้ตรงหน้า หวานตาฉวยมายกขึ้นดื่มอักๆ เธอบ่นจนคอแห้ง บ่นจนหมดคำบ่น จนป่านนี้หวานตาก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง เธอไม่ได้เสียใจ แค่โมโห
“แกจะเดือดไปทำไมล่ะ ผู้หญิงคนนั้น...นางก็ไม่ได้รักผู้ชายของแกจริงจังหรอกนะ” ชลดาเกริ่นนำ การเป็นเจ้าของแม็กกาซีนเรื่องความสวยความงามของผู้หญิง ทำให้เธอรู้เรื่องลึกๆ ในของสังคมไฮโซไฮซ้อไปด้วย...เรื่องลับๆ ที่ซุกไว้ใต้พรมที่พยายามปิดกันให้แซ่ด... ม่านแก้ว เป็นไฮโซสาวที่เพิ่งตกพุ่มหม้าย ต่อให้รักเรืองฤทธิ์หมดทั้งใจจนแทบแหกก้นดม นางก็ไม่กล้าถลำเปิดตัวเขาในช่วงนี้หรอก สังคมคงรุมบลูลี่นางอย่างหนัก ไหนจะอายุที่ห่างกันเหมือนน้ากับหลาน ไหนจะเรื่องที่สามีของนางเพิ่งจะสิ้นลมไปไม่นานนั่นอีก
ดังนั้น ทางออกสวยๆ ของไฮโซสาวหม้าย คงไม่แคล้วต้องหลบๆ ซ่อนๆ ผู้ชายคนใหม่ไปก่อน
หวานตาจะเป็นเกราะกำบังให้เรืองฤทธิ์อย่างดี ในขณะที่แอบคบกับนางไปด้วย ผู้ชายคนนั้นจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง
มันขึ้นอยู่ว่าหวานตาจะเลือกทางไหน และการที่หวานตาโวยวาย แสดงท่าทางฉุนเฉียวอยู่ตอนนี้ มันหมายถึงทางเลือกที่เรืองฤทธิ์เกร็งไว้ปิดฉากลงแล้ว
เพื่อนของเธอไม่ยอมเป็นโล่กำบังให้ผู้ชายคนนั้นแน่นอน
“หมายความว่าไงยะยัยชล?”
“เห้อ! แก่น่าจะรู้จัก ตระกูลอัครเทพโพทินนะ” ชลดาเริ่มอธิบายให้หวานตาฟังช้าๆ พยายามสื่อสารให้เพื่อนเข้าใจก่อนที่หวานตาจะวีนแตก
“เกี่ยวอะไรกับคนตระกูลนั้น เท่าที่รู้... ไม่มีคนในตระกูลนั้นคนไหนที่โสดนี่หว่า” หวานตาคิดตาม ก่อนจะแย้งเบาๆ
“เหอะ!” ชลดาเบ้ปาก หัวเราะหยันๆ “แล้วใครบอกว่าโสดล่ะ! แกลืมเศรษฐีนีที่เพิ่งตกพุ่มหม้ายคนนั้นไปได้ยังไงล่ะ”
“ว้าย...ไม่หรอก แกกำลังจะบอกฉันว่า คนที่เรืองฤทธิ์คบ คือคุณป้าม่านแก้ว” หวานตาอุทานเสียงหลง เธอกลืนน้ำลายฝืดๆ สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ใช่...คนนั้นแหละ เขาลือกันให้หึ่ง”
ชลดากล่าวเสียงแข็ง เธอเองก็ไม่คิดว่าผู้ชายอย่างเรืองฤทธิ์จะเลือกเดินทางรัด
“งั้นก็เอาไปเถอะ ฉันยกให้ อี๋!!” หวานตาฉวยแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอีกครั้ง ความรู้สึกขยะแขยงเกิดขึ้นมานิดๆ เธอทนคบกับคนเห็นแก่ได้แบบนั้นมาได้ยังไงเป็นปี
“ในบรรดาผู้ชายที่ฉันรู้จักมา คงไม่มีใครดีเกินคุณภูมิของแกอีกแล้วล่ะหวาน”
ชลดาเปรย งานนี้เธอขอเป็นเจ้ดัน ดันภูมิให้หวานตามองเห็น เขาแฝงตัวเป็นมดแดงเฝ้าผลมะม่วงสุกนานเกินไป นานเสียจนมะม่วงสุกผลนั้นเกือบถูกกระรอกโง่ๆ ตัวหนึ่งเจาะเนื้อฉ่ำๆ กินไปเสียแล้ว
“นึกไงถึงชมหมอนั่นขึ้นมาได้?”
หวานตาถามยิ้มๆ เธอรู้สึกโล่งขึ้น
“ฉันไม่ได้ชมยะ ฉันพูดเรื่องจริง บอกเลยยัยหวาน หากคุณภูมิของแกสนฉันนะ ฉันจะโดดใส่เลยบอกตรงๆ”
“อิๆ” หวานตาหัวเราะคิก “ฉันเอาใจช่วยแกก็แล้วกัน”
หวานตารู้ดีชลดาไม่มีทางเฉียดเข้าใกล้หัวใจของภูมิได้เลย เพื่อนชายที่เธอสนิทด้วยคนนี้ดูยาก เดาความคิดของเขาไม่ออก ที่บอกได้คำเดียว ภูมิฉลาดเป็นกรด เขาซ่อนความร้ายกาจไว้ใต้สีหน้านิ่งๆ ภูมิรู้จักจัดการกับคนที่เขาไม่พอใจได้แบบเนียนๆ ไม่มีใครจับได้ว่าถูกเขาเอาคืน ผู้ชายอย่างภูมิน่าจะชอบผู้หญิงเรียบร้อยเหมือนสายใจมารดาของเขา ซึ่งห่างไกลกับความประพฤติของเธอและชลดา
เธออิ้นดี้ ทำตามความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง ยืนหนึ่งเรื่องความรั้น ชลดาเองก็เป็นสาวแกร่ง เธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเพศตรงข้าม ไม่สนิมสร้อยเพราะแค่เปิดขวดน้ำยังทำไม่ได้ เหมือนผู้หญิงหลายคนที่คิดว่าความอ่อนแอของตัวเองจะทำให้ฝ่ายชายภาคภูมิใจ
นั่นเป็นความคิดโง่เขลาสิ้นดี แค่เปิดน้ำกินเองยังทำไม่ได้ สาวๆ พวกนั้นคิดได้ยังไงว่านั่นคือข้อได้เปรียบ การแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อให้ฝ่ายชายดูเป็นคนเข้มแข็ง ตลกล่ะ!!
“ไม่ต้องเลย ฉันหาของฉันเองได้ แต่ไม่น่าใช่คุณภูมิของแก”
ชลดาตอบ เพื่อนของเธอเดินไปที่มุมห้อง “กาแฟสักแก้วไหม?” ชลดาชูกาแฟซอง...
และที่หวานตาสะดุดใจ เธอไม่ได้รู้สึกไปเอง หมู่นี้ชลดาชอบพูดเน้น ‘คุณภูมิของเธอ’ หวานตาอยากจะแย้ง แต่มันจะดูเป็นการร้อนตัว
“ก็ดีนะ”
ถึงเธอจะเพิ่งกินกาแฟที่ร้านของภูมิ แต่แค่เพิ่มคาเฟอีนอีกแก้วฆ่าเวลา คงไม่ทำให้เธอนอนตาแข็งทั้งคืนหรอก
ภูมิวางโทรศัพท์ลง เขายิ้มมุมปาก ในที่สุดความสัมพันธ์ของหวานตากับเรืองฤทธิ์ก็ปิดฉากลง ผู้ชายคนนั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะดูแลหวานตาตั้งแต่แรก เขาไม่อยากแย้ง... เมื่อเป็นการตัดสินใจของหล่อน ภูมิแค่มองอยู่ใกล้ๆ และรอเวลาที่ความสัมพันธ์ครั้งนั้นจบลง เขาถอนใจแรงๆ ความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้น และกำลังจางหายไป บ่าของเขาไม่ได้หนักอึ้งเหมือนเก่า เมื่อสถานะคนข้างกายของหวานตา... ว่างลงอีกครั้ง
“อารมณ์ดีอะไรหึ...พ่อเห็นภูมินั่งยิ้มนานแล้วนะ”
เสียงบิดาทำให้ชายหนุ่มกระเด็นออกมาจากความคิดในใจ
ชายหนุ่มยิ้มมากขึ้น เขาทรงตัวลุกขึ้นยืนและเดินออกมาจากหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เมื่อภาคทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวใหญ่แทนการลากเก้าอี้มานั่งหน้าโต๊ะทำงานของเขาเหมือนทุกครั้ง
“ปีนี้...อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเรา?”
คำถามแรกยังไม่ได้คำตอบ ภาคก็ถามคำถามถัดมาเสียแล้ว
“25ปีครับ” ภูมิยังไม่เข้าใจความคิดของบิดา ท่านรู้อยู่แล้วว่าเขาอายุเท่าไหร่ แล้วทำไมถึงถาม
“ไม่คิดไปเรียนต่อแล้วเหรอ?”