บทที่ ๑ อุ้งมือมัจจุราช(๔)

1900 คำ
สลิลลาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก เพราะอย่างไรเสีย เธอก็ไม่สามารถกักขังตัวเองอยู่เพียงในห้องได้ เธอต้องออกไปดำเนินชีวิตเฉกเช่นปกติ เธอต้องทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่มีสิทธิ์ก้าวออกจากบ้านหลังนี้ หากเขาไม่อนุญาต เพราะเธอเป็นได้เพียงนางทาสตัวน้อยๆ มีเขาเป็นเจ้าชีวิต ควบคุมแม้กระทั่งลมหายใจเข้าออก ทั้งๆ ที่ความจริง เวลานี้ เธอควรอยู่ในชุดนักศึกษา เตรียมพร้อมรับปริญญาในอีกหนึ่งปีข้างหน้า แต่ทุกอย่างก็ดับมืดลงภายในพริบตา ทุกอย่างของเธอสูญสิ้น อิสรภาพหมดลง และทุกวันต้องเผชิญหน้ากับคนใจยักษ์ใจมาร ยามดึงบานประตูให้เปิดออกกว้าง เธอก็แอบกลั้นใจด้วยความหวาดหวั่น แต่เมื่อไม่มีเขาอยู่ตรงหน้า กลีบปากบางถึงกับแย้มบางๆ ด้วยความโล่งอก แต่เพียงเธอดันประตูให้เปิดสนิทเช่นเดิม ผู้ชายเย็นชาคนนั้นก็ก้าวอาดๆ ออกจากที่ซ่อน พกพาใบหน้าตึงเครียดก้าวดุ่มๆ ตรงมาหา หญิงสาวอยากจะหมุนกายหันหลังกลับเข้าห้องเหลือเกิน แต่ก็ถูกข่มด้วยเสียงกร้าวแกมกระด้าง “ถ้าเธอคิดหนีฉันอีก ฉันจะให้คนมารื้อบ้านหลังนี้ทิ้งให้วอด!” ลมหายใจอุ่นร้อน ถูกสูดเพื่อรวบรวมความกล้า เธอไม่มีทางหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาได้เลย “คุณภพมีอะไรจะใช้ลูกหว้าคะ” กัดฟันถาม ดวงตาหลุบต่ำมองเพียงปลายเท้าของตัวเอง “มีอะไรอย่างนั้นหรือ...” ปลายลิ้นของคนพูด ถูกดุนไปไว้ยังกระพุ้งแก้มซีกซ้าย ปลายเท้าแข็งแรง ก้าวอาดๆ มาประชิดตัว จ้องร่างบางระหงราวกับจะฉีกเป็นชิ้นๆ “เธอถามฉันว่า ฉันจะใช้ให้เธอทำอะไรใช่ไหม” อุ้งมือร้อนผ่าว วางทาบทับแขนเล็กข้างซ้ายถนัดถนี่ ออกแรงที่ปลายนิ้วบีบจนเนื้อขาวๆ นั้นเป็นปื้นแดง ใบหน้าคมๆ โน้มเฉียดแก้มนิ่มไปมา “ถ้าใช้ให้เธอไปนอนรอรับสวาทบนเตียงตอนนี้! เธอจะไปไหมล่ะ” “คุณภพ!” เรียกชื่อเขาด้วยความเจ็บปวดไปทั้งใจ “ใช่! ฉันคนนี้ คือคุณภพที่เธอเรียก แล้วอย่าลืมล่ะ ว่ามีตำแหน่งสามี อ้อ! ถ้าจะเรียกให้สั้นๆ แล้วเธอจดจำใส่สมองกลวงๆ มันคงต้องใช้คำว่าผัวสินะ หรือจะใช้เพียงคำว่าคนซื้อบริการทางเพศดี” เค้นเสียงลอดไรฟัน เอ่ยใกล้ๆ ปลายจมูกเชิดรั้น ตอกและย้ำให้เธอรวดร้าว แม้ไม่ต้องลงมือฆ่าให้ตาย แต่ก็ตรอมใจอย่างทุกข์ทรมาน “เข้าห้อง! แล้วไปนอนแก้ผ้ารอฉันอยู่บนเตียง” สั่งพลางพยักพเยิด ลงมือเปิดประตูออกว้าง ไม่ลืมผลักร่างแน่งน้อยเข้าไปด้านในอย่างแรง จนร่างเล็กๆ เซถลาล้มฟุบอยู่กลางพื้นห้อง ปลายเท้าหนักๆ จึงก้าวย่างด้วยท่าทีคุกคาม เมื่อร่างบางยังนั่งตัวสั่นเทา ก็โน้มใบหน้าไปใกล้ๆ กราดเสียงตะเบ็งก้องใส่อีกชุดใหญ่ “ไปสิ! โน่น บนเตียง อย่ามานั่งสำออย!” สลิลลาได้แต่นั่งกอดเข่าตัวเองไว้แน่น เธอช้อนดวงตากลมแป๋ว ซึ่งเจือไปด้วยวาวน้ำร้อนๆ มองผู้ชายใจยักษ์ใจมาร ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เขาแค้นเคือง เขาถึงได้ทำลายชีวิตจนย่อยยับแบบนี้ “ฉันบอกให้ไปนอนบนเตียงไง เลิกนั่งซื่อบื้อสักที!” ถ้อยคำกรรโชกมาพร้อมกับอุ้งมือร้อนผ่าวเขย่าร่างทั้งร่างจนหัวสั่นหัวคลอน ก่อนจะยึดลำแขนทั้งสองข้าง แล้วเหวี่ยงร่างอรชรไปหล่นแอ้งแม้งจมอยู่กลางที่นอนนุ่ม “ฮือ...ลูกหว้าเจ็บ...” หญิงสาวครวญออกมาด้วยน้ำตานองหน้า “เจ็บสิดี เจ็บให้มากๆ ยิ่งเธอเจ็บ ฉันยิ่งมีความสุข” เสียงหัวเราะเยาะหยัน ปะปนมากับรอยยิ้มมาดร้าย เรือนกายหนาใหญ่ถาโถมลงมาแนบชิด คลุกปลายจมูกโด่งๆ ไปตามซอกคอเล็กทั้งสองข้าง ฝ่ามือร้ายกาจขยับไปตามจุดอ่อนไหวของเรือนกายแน่งน้อย เน้นหนักๆ บนบั้นท้ายงอนๆ บีบเคล้นราวกับร่างเล็กๆ นี้ เป็นเพียงสิ่งของที่ไร้ชีวิตและจิตใจ ‘แม่จ๋า พ่อจ๋า...ช่วยลูกหว้าด้วย ลูกหว้ากลัว...’ ในยามที่ตัวเองเผชิญหน้ากับความทารุณกรรม ซึ่งผู้ชายใจร้ายคนหนึ่งสาดลงตามเนื้อตัวอย่างบ้าคลั่ง หญิงสาวก็ได้แต่อ้อนวอนอยู่ภายในอก เฝ้าภาวนาให้ชีวิตแบบนี้จบสิ้น แต่แล้วเสียงเสื้อผ้าฉีกขาด กับอาการครางแหบห้าว แฝงเร้นด้วยอารมณ์วาบหวามรวยรินรดไปตามเรือนกาย ทำให้สลิลลาต้องหลับตาแน่น นึกเสียว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเกิดมาแล้วจากอดีตผันผ่านมา มันเป็นเพียงฝันร้าย ฝันร้ายซึ่งเธอพลั้งเผลอตกไปสู่ก้นเหวลึก สักวัน...เธอต้องป่ายปีนแล้วพบกับอิสรภาพอันงดงาม แม้มันจะมาในบั้นปลายชีวิตเพียงวินาทีเดียวก็ตามที ‘เขาหายไปแล้ว’ นี่คือสิ่งเดียวที่บอกเธอได้ในเวลานี้ ไม่รู้ว่าเธอสลบไสลจากฤทธิ์ย่ำยีของคนตัวโตไปนานแค่ไหน ร่างบางมีเพียงผ้าห่มผืนบางคลุมเรือนกายเปลือยเปล่า ค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่ง มองรอบห้องแสงจ้าเคยครองห้อง พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ จนเกือบมืดมิด พื้นห้องบริเวณปลายเตียง มีพัดลมตัวโตส่ายไปมาหันกลับมามองข้างๆ กายแล้ว น้ำตาก็พลันตกแหมะ เปื้อนผ้าห่มขึ้นมาดื้อๆ แต่สักพักมันก็เหือดแห้งไปเอง นั่งข่มความเจ็บไปทั้งสรรพางค์กายเอาไว้ ภายใต้สีหน้าเย็นชาและเรียบเฉย ค่อยๆ เดินไปคว้าเสื้อผ้าขาดวิ่นมาพับไว้บนเตียง เธอคงต้องใช้เข็มกับด้ายที่มีติดบ้าน ซ่อมมันเองกับมือ ถึงเวลาคว้าเสื้อผ้ามาถือไว้ แล้วกอดมันแนบอก เธอก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลพราก และยิ่งเจ็บเจียนตาย เมื่อเดินไปยังตู้เสื้อผ้า และเปิดออกกว้าง ทุกชิ้น ทุกตัว ล้วนผ่านการฉีกขาดและซ่อมแซม มือบางขยับลูบไล้เสื้อผ้าทุกตัวด้วยความอาลัย บางชุดเธอเพิ่งจะได้รับมาจากคุณป้าอรัญญา ใส่เพียงครั้ง หากต้องป่นปี้ ขาดวิ่นจนน่าเวทนา ก้อนสะอื้นเล็กๆ ลอยละลิ่วมาจุกถึงลิ้นปี่ อยากร้องไห้โฮให้ดังลั่น หากมีเพียงกายบางสั่นเทา กับดวงตาแดงก่ำเท่านั้นที่บ่งบอกความเจ็บร้าวซึ่งเธอได้รับจากน้ำมือของคนหน้ายักษ์ใจสกปรก รูปร่างหน้าตา และการศึกษาสูงส่ง ไม่ได้ทำให้เขา เห็นเธอเป็นผู้หญิงน่าสงสารเลยสักนิด เขาคงเห็นเธอเป็นเพียง เศษฝุ่นไร้ค่าเท่านั้น ถึงได้ย่ำยีอย่างเลือดเย็น! กะพริบตา ข่มความเจ็บร้าวอยู่หลายสิบหน กระทั่งแพขนตางามเหือดแห้งจากหยาดน้ำใสแจ๋ว มือบางจึงคว้าเอาเสื้อยืดกับกระโปรงยาวเลยเข่าสีน้ำตาล เดินช้าๆ ไปยังห้องน้ำ และอยู่ในนั้นร่วมชั่วโมงเต็ม ก่อนจะกลับออกมาพร้อมเสื้อผ้าถูกสวมติดกายเรียบร้อย เครื่องสำอางเคยแต่งแต้มผิวกาย ไม่ได้รับการเหลียวแล จัดการเก็บทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย ก็มุ่งออกจากห้อง ร่างระหง ในสภาพหน้าตาเหม่อลอย เดินเอื่อยๆ ไปยังห้องครัว จัดการหุงข้าว และเตรียมทำอาหาร เธอคงต้องทานไข่เจียวกับข้าวสวยร้อนๆ สักจานรองท้อง ก่อนจะคว้าจอบด้านหลังบ้าน ยกแปลงผักสักสองสามแปลง อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องรอคอยเศษเงินจากคนใจยักษ์ ซึ่งเขากักขังเธอไว้ที่นี่ หากเธอก้าวออกไปจากบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต คลิปอื้อฉาว ที่เขาเคยถ่ายเอาไว้ คงลอยกลาดเกลื่อนอยู่ในโลกไซเบอร์ เพราะฉะนั้น เธอต้องอดทน น้ำตามันก็ยังแอบไหล ขณะมือบางกดหม้อหุงข้าวให้ทำงาน ยืนตัวสั่นและขยับฝ่ามือปิดกั้นเสียงสะอื้นตัวเองอยู่แบบนั้นร่วมห้านาที แต่ต้องสะดุ้งจนตัวโก่ง เมื่อประตูบ้านด้านหลังถูกเคาะเบาๆ “หนูลูกหว้า อยู่หรือเปล่าลูก” น้ำคำช่างกระซิบกระซาบจนแทบไม่ได้ยิน คิ้วโก่งราวคันศร ย่นยู่จนแนบชิดติดกัน สูดหายใจเข้าปอดลึก กลืนก้อนสะอื้นลงคออย่างลวกๆ ก่อนจะปรี่ไปยังบานประตูไม้หนาทึบ ปลดกลอนเหล็กและดึงมันให้เปิดกว้าง “ป้าหวาน” ร้องเรียก พร้อมยิ้มดีใจ “มีอะไรให้ลูกหว้าช่วยหรือคะ” “ป้าไม่มีอะไรให้หนูทำหรอกลูก ป้าน่ะไม่ใช่คุณภพ” ท้ายประโยค หญิงวัยกลางคนเอ่ยเหน็บคุณหนูเหนือหัว แล้วยกปิ่นโตเหล็กยื่นให้ “วันนี้ป้าทำแกงเลียง แล้วก็ต้มยำปลากะพง หนูเอาไว้ทานนะลูก” ขอบตาที่มีริ้วรอยแห่งวัย มองด้วยความอาทรแกมสงสาร “แต่ว่า...” “ไม่ต้องแต่หรอกลูก หนูไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น วันนี้คุณภพจะกลับค่ำๆ หนูทานกับข้าวพวกนี้ได้อย่างสบายใจเลยนะจ๊ะ” ปากเล็กเม้มแน่นเป็นแถบตรง เธอพูดไม่ออก ได้แต่ยกมือไหว้ขอบคุณแล้วรับปิ่นโตมาถือไว้ มองผู้หญิงมีใจอารีด้วยความซึ้งใจ ทุกครั้ง ที่คนใจยักษ์ออกจากบ้าน เธอมักจะได้รับข้าวของเครื่องใช้ อาหารและเครื่องดื่ม จากบ้านหลังใหญ่เสมอ อย่างน้อยที่นั่น ก็มีคนสงสารเธอด้วยกันถึงสองคน “ไม่ต้องร้องไห้หรอกนะ ไม่ต้องขอบคุณด้วย คุณผู้หญิงกับป้า อยากให้หนูได้กินของดีๆ ได้อยู่ที่ดีๆ แต่ป้าก็...” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลูกหว้าทนได้” บอกพร้อมฝืนยิ้ม ยกมือกราบผู้ใหญ่ตรงหน้าอีกครั้ง “ลูกหว้าขอบคุณมากนะคะ และก็ลูกหว้าฝากกราบขอบพระคุณคุณป้าอรัญญาด้วยนะคะ ลูกหว้าซาบซึ้งบุญคุณของท่านเสมอ” “โธ่ลูก...” ฝ่ามือนุ่มหยุ่นได้แต่แตะเรียวแขนเล็กแผ่วเบา ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ย “ป้ากลับก่อนนะลูก เอาไว้ถ้าป้ามีของอร่อยเมื่อไร ป้าจะนำมาฝากหนู หนูต้องดูแลตัวเองดีๆ นะลูก อย่าทำให้คุณภพเธอโมโห เพราะจะเป็นหนูเองที่เจ็บปวด อะไรยอมเธอได้ ก็ยอมๆ เธอนะลูก” “หนูคงทำได้แค่นั้นค่ะ” เรียวปากจิ้มลิ้มสีซีดเอ่ยอย่างปลงตก ก้มหน้าลงด้วยความทดท้อ หากเธอหนีออกไปได้ก็คงจะดีกว่านี้ อย่างน้อยเธอก็ไม่ถูกย่ำยีจนป่นปี้ สลิลลาได้แต่พยักหน้า เฝ้ามองแผ่นหลังของคนหวังดีกับเธอ เดินหายออกไปอย่างช้าๆ เมื่อต้องอยู่ลำพังอีกครั้ง น้ำตาที่เหือดหายไป มันก็ไหลผ่านแก้มนิ่มเป็นทางยาว เสียงหม้อหุงข้าวดีดเมื่อสุกเป็นข้าวสวย ทำให้ร่างบางสะดุ้งเบาๆ กลีบปากอิ่มคลี่ยิ้มพอใจ รีบจัดการเตรียมข้าวและอาหารวางบนโต๊ะ เรียบร้อยก็หย่อนสะโพกลงนั่งบนเก้าอี้ มองอาหารฝีมือป้าหวานหน้าตาหน้าทาน และข้าวสวยที่มีไอร้อนพวยพุ่งออกมา พลันขอบตาก็แดงก่ำขึ้นซะดื้อๆ อาหารรสอร่อยๆ จึงต้องทานคลุกเคล้ากับหยาดน้ำตา และก็ชวนให้อิ่มตื้ออย่างง่ายดาย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม