บทที่ ๑ อุ้งมือมัจจุราช(๓)

1374 คำ
“คุณแม่รู้ไว้เถอะครับ ว่าผมจะเป็นคนใจอาฆาตต่อไป จนกว่าตระกูลนั้น จะย่อยยับคามือ!" "ตาภพ!" ดวงตาที่มีริ้วรอยแห่งวัย ได้แต่จ้องมองหน้าลูกอย่างคาดไม่ถึง "ขอตัวนะครับคุณแม่" กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ปลายเท้าหนักๆ ก็นำพาเรือนร่างสูงกำยำเดินลิ่วๆ ผ่านบันไดวนขึ้นสู่ชั้นสองของบ้าน เพียงแทรกกายแกร่งพ้นเข้าอาณาจักรส่วนตัวเรียบร้อย ข้าวของซึ่งวางอยู่ขวางหูขวางตาก็ถูกมือหนากรวดลง จนไปหล่นแอ้งแม้งกองอยู่บนพื้นห้อง ชิ้นไหนที่เป็นแก้ว ก็แตกกระจัดกระจาย นัยน์ตาสีนิล วาวโรจน์ด้วยไฟแค้นสั่งสุมอยู่ในอก ยิ่งคิดถึงสภาพหลานรัก แขวนคอตายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ท้ายสวน เขาก็ยิ่งเจ็บปวด แต่มันก็ไม่ทุกข์ทรมานเท่ากับ หลานตัวเล็กๆ ถูกคร่าไปตั้งแต่อายุครรภ์เพียงสามเดือน “ฉันจะฆ่าเธอ...ฆ่าเธอให้ตาย ให้สาสมกับที่พี่ชายชั่วๆ ของเธอกระทำ!” เค้นเสียงด้วยใบหน้าเยือกเย็น กลีบปากหยักได้รูปแม้มแน่นจนเป็นแถบตรง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เสียงฟันเรียงซี่กระทบกันดังกรอดๆ “ฉันจะทำให้เธอทรมานไม่ต่างจากตายทั้งเป็น!” กระซิบบอกตัวเองด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว ใช้สมองอันแสนฉลาดปราดเปรื่องครุ่นคิดหาทางทำลายน้องศัตรูให้ย่อยยับยิ่งขึ้น เพราะเท่าที่ผ่านมาร่วมปี เขาปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้น มีความสุขมามากเกินทน แค่การรองรับรสสวาทบนเตียง มันคงไม่ทำให้ไฟแค้นนี้สลายลงได้ “เธอต้องเจ็บปวดเหมือนยัยกี้ จำไว้ลูกหว้า!” คำขู่น่าสะพรึงกลัว มาพร้อมกับกำปั้นหนักๆ กระทบลงบนโต๊ะใกล้ๆ จนเลือดสีแดงฉานไหลซึมเลอะพื้นพรม ปล่อยให้ตัวเองนั่งจมปลักอยู่อย่างนั้น ร่วมสิบนาทีช่วงขาทรงพลังถึงได้ก้าวหายเข้าไปในห้องน้ำ ใช้สายน้ำเย็นๆ ราดรดให้เนื้อตัวเปียกชุ่ม ก่อนจะดึงทึ้ง เสื้อผ้าเปียกแนบติดกาย โยนไปกองระเนระนาดอยู่บนพื้นกระเบื้องหินอ่อน นำพาร่างเปลือยเปล่าแช่นิ่งอยู่ในอ่างน้ำวน ให้ความเย็นสบาย ทลายไฟแค้นซึ่งสุมจนร่างเกือบมอดไหม้ แต่หลับตาพริ้มครั้งใด ภาพดิ้นทุรนทุรายของหลานรักกลับตอกย้ำ จนนาทีนี้ต้องดีดผึงออกจากอ่าง พร้อมกำปั้นหนักๆ ทุบลงบนศีรษะตัวเองนับสิบๆ ครั้ง ภีรภพก้าวออกมา พร้อมกับผ้าเช็ดตัวพันเอวสอบไว้หลวมๆ อวดเรือนกล้ามเนื้อล้อเครื่องปรับอากาศแสนเย็นฉ่ำ ก่อนจะเดินอาดๆ ไปคว้าชุดนอนลายสก็อตผ้านิ่มลื่นมือมาสวมใส่ เรียบร้อยก็ขยับผ้าผืนนุ่มมาซับผมเปียกให้แห้งหมาด ก่อนจะโยนทุกอย่างที่ติดมือทิ้ง เดินเร็วๆ ไปหย่อนสะโพกลงนั่งบนปลายเตียง ใบหน้าคมๆ ยังยับย่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเครียดขรึม พ่นหายใจทิ้งนับร้อยๆ ครั้ง ก็นำพาร่างตัวเองออกจากห้อง จุดมุ่งหมายในค่ำคืนนี้ คือบ้านของศัตรูตัวฉกาจ ผู้หญิงที่เขาควรหักคอแล้วโยนทิ้งข้างถนน เฉกเช่นสิ่งไร้ค่าอันไม่ต้องการ ช่วงขาแข็งแรง เดินลอดผ่านรั้วกั้นด้วยความเคยชิน ไฟสลัวรอบกาย ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเยื้องย่างเลยแม้แต่น้อย ทุกพื้นที่ในบริเวณบ้านสองหลังนี้ เต็มไปด้วยความคุ้นชิน ใช้เวลาเพียงสิบนาที ภีรภพก็สามารถนำพาเรือนกายหนั่นแน่น ซึ่งผ่านการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เดินเร็วๆ มาหยุดอยู่บริเวณบานประตูบนชั้นสองของบ้านหลังเล็ก มุมปากได้รูปคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างลำพองใจ อุ้งมือหนาคว้าหมับเข้าที่ลูกบิดประตู พร้อมหมุนเบาๆ หากคิ้วทั้งสองข้างถึงกับย่นเข้าหากัน ลมหายใจร้อนๆ ระบายทิ้งผ่านรูจมูกโด่งคมด้วยความขัดใจ เขย่าบานประตูและใช้กำปั้นทุบอย่างแรง “ลูกหว้า เปิดประตูเดี๋ยวนี้!” ตะเบ็งเสียงสั่งการดังลั่น “ฉันรู้ว่าเธอได้ยินฉัน ฉันสั่งให้เธอเปิดประตู ไม่อย่างนั้นฉันจะหักคอเธอทิ้ง” ท้ายๆ ประโยคไม่วายวางอำนาจและข่มขู่เฉกเช่นทุกครา ร่างแน่งน้อย ซึ่งงีบหลับไปเพียงชั่วครู่ ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นนั่ง สะโพกงอนๆ กระถดถอยจนชิดหัวเตียง คว้าผ้าห่มมาผืนโตมากัดไว้ เพื่อกั้นเสียงร้องตกใจของตัวเอง เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับคนใจร้ายในเวลานี้ แต่ยิ่งทำเป็นนิ่งเฉย ตัวเธอก็ยิ่งสั่นเทิ้มอย่างหนัก เพราะแรงทุบประตูเพิ่มขึ้นจนเกรงว่ามันจะล้มพังลงเค้เก้ “ลูกหว้า ฉันสั่งให้เธอเปิดประตู ไม่ได้ยินหรือไงฮ้า!” กำปั้นหนักๆ ยังคงทุบต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ตะเบ็งเสียงก้องจนลำคอเริ่มแหบแห้ง ใบหน้าบึ้งๆ อยู่นั้น ฉาบด้วยอารมณ์โกรธมหึมา เพราะคนอยู่ด้านในยังคงเงียบกริบ ไม่มีการตอบสนองใดๆ แม้แต่น้อย “ลูกหว้า...” เสียงครางแหบห้าว สลับกับอาการพ่นลมหายใจทิ้ง ปากหยักเม้มแน่นด้วยความขัดใจ สุดท้ายเมื่อไม่สามารถพังประตูห้องเข้าไปได้ ภีรภพก็นำพาร่างสูงหล่อของตัวเอง เดินเร็วๆ ตรงไปยังห้องข้างๆ ผลักประตูเข้าไปโครมใหญ่ ปรี่ไปยังผนังกั้นกลางระหว่างสองห้อง ทุบกำปั้นลงแรงๆ “เธอกล้ามากนะลูกหว้า หากเธอออกจากห้องนั้นเมื่อไร ฉันจะฆ่าเธอให้ตายคามือ” ขู่เสียงกร้าว แล้วเอื้อมไปคว้าแจกันใบเขื่องมาถือไว้ ก่อนจะฟาดเปรี้ยง กระทบกับผนังห้อง จนแตกกระจัดกระจาย ด้านสลิลลา เธอสะดุ้งสุดตัว แล้วหวีดร้องออกมาดังลั่น ร่างแน่งน้อยคว้าผ้าห่มมาคลุมเอาไว้จนมิดศีรษะ กอดตัวเองร้องห่มร้องไห้จนน่าสงสาร นั่งกอดเข่าสั่นเทิ้ม ปล่อยให้น้ำตาอุ่นร้อนไหลกระทบเข่ามน เสียงสั่นเครือที่เล็ดลอดออกมานั้น ถูกกลีบปากบางของผู้เป็นเจ้าของกัดไว้ จนเกินรอยช้ำสีแดงสลับชมพู ร่างทั้งร่างต้องนั่งขดคู้อยู่แบบนั้น นานแสนนาน กระทั่งล้มคอพับคออ่อน เผลอหลับไปเอง เช้าของวันใหม่ สลิลลางัวเงียตื่นจากที่นอนด้วยอาการปวดเมื่อยไปทั้งตัว ดวงตากลมๆ กะพริบปริบๆ เพื่อปรับรับกับแสงแดดอ่อนๆ ซึ่งสาดจ้าลอดช่องผ้าม่านเข้ามา ม่านตากลมๆ นั้นขยายกว้าง เมื่อนึกได้ว่ามีใครบางคนอยู่ร่วมบ้านหลังนี้ด้วย และป่านนี้ เขาคงโกรธจนแทบจะหักคอเธอทิ้งคามือ กลีบปากเต้นระริก ถูกผู้เป็นเจ้าตัวเม้มแน่น ค่อยๆ กระวีกระวาดขยับตัวลงจากเตียง พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น ไม่ต้องหวาดกลัวผู้ชายคนนั้น เพราะในห้องนี้ มีเพียงเธอลำพังคนเดียว คนใจร้ายนั่นไม่อาจก้าวเข้ามาได้โดยเด็ดขาด ยกเว้นก็แค่การปีนหน้าต่างเข้ามา คิดถึงจุดนี้ ดูเหมือนปลายเท้าเล็กจะปรี่ไปยังขอบหน้าต่าง แล้วชะเง้อมองด้านล่างอย่างสำรวจตรวจตรา เมื่อรอบๆ เงียบกริบ ลมหายใจอุ่นร้อนถึงกับพวยพุ่งผ่านรูจมูกเล็กอย่างโล่งอก จากนั้น เรือนร่างสะโอดสะองก็หายเข้าไปจมปลักอยู่ในห้องน้ำ ร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็ม ถึงได้ก้าวออกมา พร้อมกับชุดคลุมตัวใหญ่ มัดปมผ้าบริเวณเอวคอดกิ่วแน่นๆ ก่อนจะเยื้องย่างไปคว้าเอาเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เรียบร้อย นาทีนี้ ร่างสะโอดสะองในชุดเสื้อยืดสีเทาซีดกับกางเกงขาสั้นเคลียเข่ามน กำลังทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบครีมประทินโฉมมาบำรุงหน้าตาและเรือนร่าง เส้นผมนุ่มสลวยถูกมัดรวบไว้ ปล่อยเพียงส่วนปลายให้ปลิวไสวไปตามจังหวะก้าวเดิน ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง ใบหน้าผุดผาด ก็ผ่านการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาเรียบร้อย เรือนกายแน่งน้อยดูน่ารักน่าปรารถนาไปทั้งเนื้อทั้งตัว ทว่า...เมื่อมือเล็กคว้าหมับเข้าที่ลูกบิด ร่างทั้งร่างก็เกิดสั่นเทิ้มขึ้นมาซะดื้อๆ เธอกลัวเหลือเกิน ยามต้องดึงบานประตูให้เปิดกว้าง แล้วเจอเข้ากับร่างยักษ์ยืนหน้าตึง กลัวเหลือเกิน หากต้องสบสายตากับผู้ชายใจหินคนนั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม