ฉันจิกนิ้วระบายความรู้สึกซับซ้อนลงกลางอุ้งมือเสมือนว่านี่เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่พอจะทำได้ แม้ร่างกายจะเกร็งเครียดเกือบครบทุกส่วนแล้วก็ตาม
ระหว่างนั้นไม่ลืมแม้กระทั่งลองควบคุมเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงจนน่าโมโห จวบจนรู้ว่าไม่สามารถคอนโทรลมันได้ จึงแค่ภาวนาไม่ให้มีใครอื่นนอกจากตัวเองได้ยินมัน
แค่นี้ก็อายจนจะบ้าอยู่แล้ว
ขณะสู้รบตบตีกับปฏิกิริยาตามธรรมชาติ ฉันพลันสัมผัสถึงลมหายใจกรุ่นร้อนเจือกลิ่นบุหรี่จากด้านหลัง มันเป่ารดใบหูอย่างหมิ่นเหม่ทว่าเด่นชัดจนน่าใจหาย
เพราะอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ประสาทสัมผัสจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพคงไม่แปลกหรอก
แต่ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
จริงว่าฉันชอบเขา แต่เจอแบบนี้เข้ายอมรับว่าวางตัวลำบาก ไม่รู้เลยว่าต้องทำหน้ายังไง ต้องแสดงออกแบบไหนถึงจะเหมาะสม
“...” ครามไม่ขยับตัว เขาสงบนิ่งเหมือนรูปปั้น ทว่าลมหายใจร้อนร้ายยังคงเป่ารดตำแหน่งนั้นอย่างต่อเนื่อง
“มึงอย่าเบียดมากดิ๊ พี่ผู้หญิงจะตายแล้วนั่น” สักพักนักศึกษาผู้ชายคนหนึ่งพลันโพล่งขึ้น หลังหันมาเห็นภาพที่ฉันกำลังถูกอัดทั้งจากข้างหน้าและข้างหลัง
“แหม กูก็เห็นแฟนเขาโอบเอวอยู่นั่น ตายอะไรกั๊นนน”
อะไรนะ?
คำพูดของนักศึกษาอีกคนส่งผลให้ฉันหลุบตาลงต่ำทันควัน ทว่าสิ่งที่พบกลับปกติดีทุกอย่าง
ร่างกายเราแนบชิดกันจริง แต่แขนครามแทบไม่เคลื่อนไหว เด็กคนนั้นตาฝาดเองมากกว่า คนอย่างครามเหรอจะแตะต้องฉัน
…คนที่เขาขยะแขยงอย่างกับอะไร
ให้ยืนเบียดเสียดกันแบบนี้ก็พะอืดพะอมจะแย่แล้วมั้ง
“อะ พอกูพูดปุ๊บ พี่ผู้ชายก็ปล่อยกอดเลยน้า” เด็กคนนั้นแซว “จะว่าไป...คุ้น ๆ แฮะ”
อยู่ดี ๆ เด็กคนเดิมก็ทำหน้าอยากรู้อยากเห็น หรี่ตาพิจารณาครามเหมือนคลับคล้ายคลับคลาทว่านึกไม่ออก
จะไม่ให้คุ้นได้ยังไงในเมื่อครามเป็นถึงอดีตเดือนคณะ เขาโด่งดังและเป็นที่รู้จัก แต่ด้วยองศาไม่เอื้ออำนวยละมั้ง ซ้ำคนในนี้ก็เยอะมากเลยมองไม่ถนัดเท่าที่ควร
“อย่าไร้มารยาทดิมึง รู้จักเขาเหรอไอ้ห่านี่”
หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาปรามเพื่อน ไม่นานหลังจากนั้นเสียงสัญญาณพลันดังขึ้น ตามด้วยประตูลิฟต์ที่เปิดกว้าง
ครั้นทยอยออกไปบางส่วน ภายในนี้จึงเหลือนักศึกษาเพียงสี่คนเท่านั้น
ฉันรีบถอยห่างจากจุดอันตราย ทว่าวูบหนึ่งไม่วายชำเลืองมองครามด้วยใจที่อยากรู้ ก่อนจะพบว่าเขายังคงทำหน้าเฉยเมย นัยน์ตาคมกริบราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์
ฉันจ้องหน้าเขาเพียงสามถึงสี่วินาที พอดีกับที่ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นหกจึงก้าวเท้าออกมา แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ลองหันหลังกลับไปอีกครั้ง
เสี้ยววินาทีก่อนประตูลิฟต์จะปิด ฉันทันเห็นเขาเคลื่อนสายตามาทางนี้
เราสบตากันเพียงชั่วอึดใจ เพราะหลังจากนั้นประตูลิฟต์ก็ขวางกั้นทุกสิ่ง
จนถึงตอนนี้ ยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าต้องรู้สึกยังไง
เดี๋ยวดูถูก เดี๋ยวช่วยเหลือ ปากบอกรังเกียจแต่ไม่เห็นผลักไส
หรือสถานการณ์มันบีบบังคับให้ต้องทำ? หากคิดแบบนั้นก็คงพอเข้าใจได้…ละมั้ง
เอาเถอะ…
ฉันสลัดศีรษะไปมา ขับไล่ความสับสนทิ้งชั่วคราว ก่อนรีบจ้ำเท้าไปยังลานกว้างที่มีม้านั่งและร้านขายอาหารขนาดเล็ก ตึกคณะวิศวฯ มีทั้งหมดสิบสองชั้น เพราะแบบนั้นชั้นหกเลยกลายเป็นศูนย์กลางของเด็กคณะนี้ เวลาใครรีบ ๆ จึงไม่ต้องไปไกลถึงโรงอาหารใหญ่ ซึ่งกว่าจะเดินถึงคงผลาญเวลาไปมากโข
“ฮัลโหลสีเพลิง~”
ไม่ทันไรพลันเห็นแดนซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะ (ย้ำนะว่าบนโต๊ะ) โบกมือไปมา ทั้งยังส่งยิ้มหวานสุดกวนประสาทมาให้
“เรียกมามีไร” ฉันถามเสียงห้วนเมื่อเดินมาถึงที่หมาย
“ทำเสียงดี ๆ หน่อย ทำหน้าให้มันน่ารักด้วย” นายลูกครึ่งปรับเสียงเคร่งเข้มพร้อมยื่นมือมายืดแก้มฉัน คงอยากให้ฉันยิ้มเลยต้องใช้วิธีนี้บังคับกันสินะ
“ไม่น่ารักก็เรื่องของฉันน่า” ฉันปัดมือเขาออก
“เย็นชาเกินไปละ” ทำปากยื่นปากยาวเล็กน้อยพอให้น่าสงสาร แต่สักพักก็เข้าประเด็น “เออ ที่เรียกมาอะ พอดีศุกร์นี้ฉันมีแข่งรถเว้ย อยากชวนเธอไป”
และประเด็นที่ว่า ทำเอาคนฟังอย่างฉันมุ่นคิ้วกลับไปในทันที
แดนเป็นอดีตนักแข่งรถ ปัจจุบันเขาไม่ได้ทำอาชีพนั้นแล้ว ทว่าก็มีบางโอกาสที่เขาลงสนามเพื่อความสนุก
“นึกครึ้มอะไรขึ้นมาล่ะ” ฉันถามเพราะตั้งแต่รู้จักกัน…แดนลงสนามประมาณสามครั้ง และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวเอ่ยปากชวนด้วยตนเอง
“ไปเหอะน่า แมตช์นี้สำคัญมากนะ”
“ยังไง สมาคมเรียกตัวนายเหรอ” ฉันทิ้งตัวลงนั่ง แดนเลยลงมานั่งข้าง ๆ กัน
“เปล่า แข่งเอามัน”
“แล้ว?”
“ไอ้ครามก็แข่ง”
“...” เหตุผลนั้นทำเอาเส้นเสียงฉันเป็นอัมพาตฉับพลัน
ครามเป็นหลานชายของนักแข่งเก่า ด้วยมีแววให้เจียระไน ทางสมาคมจึงทาบทามพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ ครามในตอนนั้นไม่ลังเลที่จะตอบตกลง ทว่าคร่ำหวอดในวงการเพียงปีเศษ ๆ ก็ออกมาเพราะค้นพบว่าไม่ใช่ทางที่ตัวเองต้องการ
ไม่คิดว่าปีนี้เขาจะ…
“ให้เวลาตัดสินใจนะ แต่จริง ๆ อยากให้เธอไป” รับรู้เป็นนัยว่าคำพูดของแดนมีจุดประสงค์เคลือบแฝง อย่างว่าแหละ…ครามกับแดนไม่ถูกกัน หากนี่ไม่ใช่การล่าถ้วย คงเป็นการลงสนามด้วยเหตุผลอื่น “อะนี่ ฉันกินไม่หมด”
แดนยัดช็อกโกแลตทรงสี่เหลี่ยมใส่มือฉัน แน่นอนว่าการกระทำนั้นฉุดฉันออกจากภวังค์ได้อย่างไม่ยากเย็น
ว่าแต่ กินไม่หมดเหรอ? หมายความว่าเป็นของเหลือใช่ไหม?
ไอ้ฝรั่งกวนบาทา...มันน่าตบหัวทิ่ม
“...”
พอฉันมองตาขวาง ส่งรังสีฆ่าฟันใส่เจ้าของช็อกโกแลต แทนที่แดนจะหวาดกลัว กลับหัวเราะคิกคักเหมือนชอบอกชอบใจที่ได้เห็นฉันปั้นหน้ายักษ์
“ล้อเล่น กิน ๆ ไปเหอะ ถือว่าเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ไง”
อ้อ เพิ่งผ่านวาเลนไทน์มาสองวันนี่นะ ปีนี้ตรงกับวันเสาร์...ยังจำได้อยู่เลยว่าเช้าวันนั้นมีคนส่งตุ๊กตาหมีมาให้ยัยเอยด้วย
ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่าใคร
“ขอบใจ” ฉันกล่าวเสียงเรียบ แต่ต้องชะงักซ้ำสองเมื่อได้ยินสิ่งที่แดนพูด
“ไม่เป็นไรน่า ฉันรู้ว่าขี้เหร่อย่างเธอไม่มีผู้ชายคนไหนให้ดอกไม้หรือช็อกโกแลตแน่ ๆ กร๊าก”
หมดอารมณ์! หลังจากนั้นแดนถูกฉันไล่กวดเหมือนหมาที่หากไม่ได้กัดให้เลือดสาดจะไม่รามือ แต่แล้วหมอนั่นกลับหนีเอาตัวรอดด้วยการแทรกกายเข้าไปในลิฟต์ โบกมือบ้ายบ่ายท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาที่แน่นขนัดอัดเป็นปลากระป๋อง
ดังนั้น ไม่กี่วินาทีก่อนประตูลิฟต์จะปิดสนิท ฉันจึงยกมือขึ้นชูนิ้วกลาง ขยับปากเป็นคำว่า “ฟัคยู”